บทที่ 802 ระฆังเก้าเกลียวไท่เออ
บทที่ 802 ระฆังเก้าเกลียวไท่เออ
ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้ามั่นคงดังก้องอยู่ในบรรยากาศที่บีบคั้นและเงียบงัน ส่งผลให้ทุกคนรู้สึกตัว
ผมสีขาวของเฉินซีพลิ้วไหว จิตสังหารพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา และยันต์ศัสตราในมือก็ปกคลุมไปด้วยเงาสลัวภายใต้แสงแรกของรุ่งอรุณ ทำให้มันดูรุนแรงและน่าสะพรึงกลัวจนทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน
“เฉินซี!”
“เป็นเขาจริง ๆ!”
“สวรรค์! เขาสามารถเดินออกจากค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารได้!”
ขณะที่จ้องมองไปยังร่างสูงกลางอากาศ และนึกถึงข่าวลือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มคนนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ไม่สามารถยับยั้งความตกตะลึงในใจได้ และระเบิดความโกลาหลออกมาทันที
ในขณะนี้ รุ่งอรุณได้มาเยือนโลกแล้ว และวันที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นั้น ชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งสังหารผู้ครองบาปมหันต์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งแปดด้วยพลังของเขา ก่อนจะทำให้เจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่ตกตะลึง และทำลายธงเทพโลหิตผสานจนแตกสลาย!
ส่วนตอนนี้ ชายหนุ่มได้ฝ่าออกมาจากค่ายกลสังหารที่เลื่องชื่อของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และการปิดล้อมได้สำเร็จ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความแข็งแกร่งของเขาได้ท้าทายสวรรค์ไปอีกขั้น!!
ในขณะนี้ จะมีใครสำรวมท่าทาง ในขณะที่เผชิญหน้ากับอัจฉริยะที่ไร้เทียมทานและร้ายกาจเช่นนี้ได้อีก?
“เจ้า… ยังมีชีวิตอยู่!” ร่างกายของเหลิ่งฉานเอ๋อร์สั่นเทา ในขณะที่ใบหน้าอันงดงามของนางซีดเผือด
นางเคยพบกับเฉินซีครั้งหนึ่งเมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว ครานั้นนางได้แสดงท่าทีที่หยิ่งยโสเพื่อเกลี้ยกล่อมเฉินซีไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้
แต่ในเวลานั้น นางก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำให้เกิดความโกลาหลในเหวเงาทมิฬ กระทั่งทำให้เยี่ยนสือซานผู้เป็นศิษย์พี่ของนางต้องสิ้นชีพอย่างน่าสังเวช!
ต่อมาปิงซื่อเทียนได้ลงมือด้วยตัวเอง และทำให้แดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีพิการ ซึ่งในขณะเดียวกัน ตัวนางก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนางรู้ว่าการทำลายอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ก่อนถึงเวลาอันควรนั้น ไม่ต่างกับการกำจัดเภทภัยในอนาคตของนิกายวิถีกระแสสวรรค์
แต่โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ชายหนุ่มไม่เพียงจะรอดชีวิตเท่านั้น เฉินซียังสามารถฟื้นฟูแดนฮุ่นตุ้น ทำให้การบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก เมื่อเขาปรากฏตัว ก็ลงมือสังหารศิษย์พี่เยี่ยนสือซาน กระทั่งบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงจากเขาวิญญาณนิรันดร์ ส่งผลให้ใต้หล้าต้องตกตะลึงอีกครั้ง
แต่เหลิ่งฉานเอ๋อร์ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเวลาเพียงแค่ห้าปี การบ่มเพาะของเฉินซีจะก้าวหน้าเสียจนผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกันไม่อาจเทียบได้ …อีกฝ่ายได้บรรลุถึงระดับที่คาดไม่ถึง และความสำเร็จในการทำลายล้างผู้ครองบาปมหันต์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งแปดคน ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ทั้งหมดนี้!
เมื่อเผชิญกับคนอย่างเฉินซี เหล่าอัจฉริยะในใต้หล้าจะถูกบดบังจนอยู่ในเงามืด เพราะการจะหาใครสักคนในใต้หล้ามาต่อกรกับเขานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย!
ด้วยเหตุนี้ นางจึงร่วมมือกับผู้อาวุโสในนิกายเพื่อทำลายล้างเฉินซีในครั้งนี้ และมันก็เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ส่งแค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสิบกว่าคน แต่ยังหยิบยืมอาวุธสังหารที่ยอดเยี่ยมอย่างค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมาร เมื่อรวมกับปัจจัยเหล่านี้ มันย่อมสามารถล้างบางนิกายระดับสูงในแดนภวังค์ทมิฬได้!
อย่างไรก็ตาม… พวกเขายังคงพ่ายแพ้!
เฉินซีไม่เพียงรอดชีวิต แม้แต่ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารก็ยังถูกขัดเกลาและถูกชิงไป
หากไม่เห็นด้วยสองตาของนางเอง เหลิ่งฉานเอ๋อร์ก็คงรู้สึกว่าทุกอย่างที่ประสบในวันนี้เป็นเหมือนฝันร้ายที่ไร้สาระอย่างยิ่ง เนื่องจากมันไม่มีทางเป็นเรื่องจริงและยอมรับได้ยาก
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงหรือ?” นี่เป็นคำถามที่ไม่จำเป็น และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความตกตะลึงที่อยู่ในใจของเหลิ่งฉานเอ๋อร์นั้นรุนแรงเพียงใด
“แน่นอน ข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสของเจ้านั้นตายไปแล้ว” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมย ดวงตาซึ่งกำลังจ้องมองเหลิ่งฉานเอ๋อร์อย่างเย็นชาของเขาเป็นราวกับสายฟ้าฟาด “เมื่อหลายปีก่อน แม้ปิงซื่อเทียนจะทำให้แดนฮุ่นตุ้นของข้าพิการ แต่มันก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้ แล้วเจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารข้าโดยพึ่งพาพวกแพะแก่นี่หรือ? เจ้าไม่คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไปหน่อยหรือไร?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็เป็นต้องประหลาดใจ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าปิงซื่อเทียนได้ลงมือทำลายแดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีด้วยตัวเองเมื่อหลายปีก่อน!
แต่ชายหนุ่มกลับยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เขายังมีพลังการต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์อีกด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่เพียงไม่ได้พิการเท่านั้น แต่ยังได้สร้างแดนฮุ่นตุ้นขึ้นมาใหม่และพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวภายในเวลาไม่กี่ปี!
จิตใจของทุกคนต่างสั่นสะท้าน เพราะเรื่องนี้มันน่าสะพรึงกลัวเกินไป หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มันอาจสร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกแห่งการบ่มเพาะ หรือแม้กระทั่งทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายวิถีกระแสสวรรค์และนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้ก็น่ารังเกียจจริง ๆ ปิงซื่อเทียนเป็นถึงเซียนสวรรค์ที่สง่าผ่าเผย แต่เขากลับไม่สนใจศักดิ์ศรีของตนเอง และหันมาลงมือกับศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองโดยตรง หากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่ตอบโต้เหตุการณ์นี้ แล้วจะแบกหน้าอยู่ในฐานะสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?
สีหน้าของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ซีดเผือดอย่างน่ากลัว เหตุการณ์นี้ถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด และแม้ว่าจะอยู่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ก็มีเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อนางเห็นเฉินซีเปิดเผยต่อหน้าทุกคนในตอนนี้ ความกลัวและความโกรธของนางจึงเด่นชัดขึ้นมา
“ไอ้หนู เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้ใส่ร้ายใต้เท้าปิงซื่อเทียนถึงเพียงนี้ โทษของเจ้าต้องชดใช้ด้วยความตายเท่านั้น!” ทันใดนั้น ผู้อาวุโสอวิ๋นจูพลันตะโกนอย่างดุเดือดพร้อมกับพุ่งตัวออกไป จากนั้นเขาก็ใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติ ซึ่งในพริบตาต่อมา ตัวคนก็มาถึงตรงหน้าเฉินซี และนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายก็เหมือนตะขอเหล็กที่ตวัดเกี่ยวศีรษะของชายหนุ่มอย่างดุเดือด
ปัง!
แม้จะเป็นแค่นิ้วทั้งห้า แต่กลับทรงพลังเหมือนสมบัติวิเศษ เพราะพวกมันอาบไล้ด้วยปราณเซียนและปลดปล่อยสนามพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา เข้าปกคลุมทั่วร่างกายของเฉินซีโดยหมายมั่นจะสังหาร เพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะกล่าววาจาไร้สาระอีก
“สุนัขเฒ่า เจ้าคิดจะฆ่าคนปิดปากหรือ? ไสหัวไปซะ!” เฉินซีตะโกนอย่างดุดันราวกับเสียงฟ้าร้อง จากนั้นเขาก็เงื้อมือขึ้น และฟาดไปที่การโจมตีซึ่งมาจากอวิ๋นจู!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักบาดหูดังก้องออกมา ผู้อาวุโสอวิ๋นจูกระเด็นกลับไปโดยตรง ร่างของเขาโงนเงน ในขณะที่ใบหน้าสลับไปมาระหว่างสีหน้าซีดเผือดและเขียวคล้ำ ยิ่งไปกว่านั้น มือขวาของเขายังถูกฟาดจนกระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เหลิ่งฉานเอ๋อร์อ้าปากค้าง เพราะเฉินซีสามารถตอบโต้อวิ๋นจูจนถอยกลับด้วยการเงื้อมือฟาดเท่านั้น!
ต้องไม่ลืมว่า อวิ๋นจูมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ซึ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา จะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีสักกี่คนในใต้หล้าที่สามารถทำร้ายเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้?
ในขณะนั้น หญิงสาวพลันเข้าใจความจริงเรื่องหนึ่งทันที และมันได้พัดพาความหวังสุดท้ายของนางไป เพราะนางคิดว่าท่านอาจารย์จิ้งคงและคนอื่น ๆ คงถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว…
“รนหาที่ตาย!” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูก็คาดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีจะท้าทายสวรรค์ได้ปานนี้ และมันก็ทรงพลังดุจตัวตนในตำนาน!
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ เขาจึงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ในขณะเดียวกัน ปราณเซียนก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้แขนขวาฟื้นคืนสู่สภาพเดิมในทันที หลังจากนั้น เจ้าตัวจึงควักระฆังทองแดงที่เปล่งแสงแห่งสวรรค์ออกมา ก่อนจะทุบมันใส่เฉินซี
นี่คือสมบัติอมตะของเขา ‘ระฆังเก้าเกลียวไท่เออ’ มันคือสมบัติอมตะที่แท้จริง ซึ่งอัดแน่นด้วยพลังแห่งการทำลายล้างไว้ โดยแต่ละเกลียวเป็นดั่งนรกอเวจี หากใครถูกสะกดอยู่ภายในนั้น แม้ว่าจะไม่ตายทันที แต่ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการถูกโยนลงไปในนรกทั้งสิบแปดขุม คนผู้นั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จบ และทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความกลัวจนหน้าซีดเมื่อกล่าวถึงมัน
ผู้อาวุโสอวิ๋นจูใช้สมบัติอมตะชิ้นนี้สร้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ให้กับตนเองในโลกแห่งการบ่มเพาะ เขาทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าเกรงขามไปนับไม่ถ้วน และพวกเขาทั้งหมดต่างถูกทรมานจนตายโดยระฆังเก้าเกลียวไท่เออนี้!
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกเรียกว่า ‘เทพอสูร’ เนื่องจากวิธีการของเขานั้นเย็นชาและไร้ความปรานียิ่ง ทำให้เหล่าศัตรูเกลียดชังเข้ากระดูกและหวาดกลัวเข้ากระดูกดำเช่นกัน
โอม!
ระฆังทองแดงตกลงมาจากท้องฟ้า ในขณะที่ร่างของมันเปล่งแสงสีแดงเข้มและสีแดงเลือดออกมามากมาย คลื่นเสียงที่ราวกับพายุโหมกระหน่ำพลันดังกึกก้อง และเพียงแค่คลื่นเสียงไร้รูปร่างก็สั่นคลอนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจนเลือดลมปั่นป่วน ขณะที่วิญญาณก็ดูเหมือนใกล้จะถูกกระชากออกมา
ฟึ่บ!
ทว่าเฉินซีไม่แม้แต่จะเหลือบมอง จากนั้นเขาก็ฟันกระบี่ออกไปโดยตรง ส่งปราณแห่งการรังสรรค์กวาดฟันออกไป!
โครม!
มันฟันเข้าใส่ระฆังจนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แม้ว่าระฆังใบนี้จะดูน่าเกรงขาม แต่ยันต์ศัสตราที่เขาครอบครองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ซึ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าชายหนุ่มได้ใช้เคล็ดระเบิดสังหารเทวะ และความแข็งแกร่งของเขาก็ทวีคูณขึ้นสูงล้ำ ดังนั้นชายหนุ่มจำเป็นต้องกลัวจะได้รับบาดเจ็บอีกหรือ?
“เกลียวทั้งเก้าจงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และทำลายล้างโลก! ตายซะ!” นอกจากความตกใจและโกรธเกรี้ยวแล้ว สีหน้าของผู้อาวุโสอวิ๋นจูก็หนักอึ้งเมื่อเห็นสิ่งนี้ ทำให้เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
ในขณะนี้ เขามองว่าเฉินซีเป็นศัตรูตัวฉกาจ และไม่กล้าประเมินฝีมือของอีกฝ่ายต่ำอีกต่อไป
แคร้ง!
ระฆังเก้าเกลียวไท่เออสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่ปรากฏการณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลจำนวนมากได้กลืนกินพื้นผิวระฆัง ซึ่งมีทั้งภาพของภพมนุษย์ วิหารโบราณ… รัศมีที่พร่างพราวและเจิดจรัสนับไม่ถ้วนได้บรรจบกันภายในระฆังใบนี้
ราวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นอาณาจักรที่ขับไล่ความชั่วร้ายทั้งมวล
“ศาสนสมบัตินิกายพุทธ! นี่เป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธที่ลึกลับจริง ๆ!” ใครบางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมรับรู้ได้ถึงความเป็นมาของสมบัติอมตะชิ้นนี้ในทันทีี ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความตกใจ
ทุกคนต่างตกใจกลัว เนื่องจากไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าผู้อาวุโสอวิ๋นจูจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์จะครอบครองศาสนสมบัติของนิกายพุทธ!
แม้แต่ในภพทั้งสาม นิกายพุทธก็เป็นการดำรงอยู่ที่ลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนเร้นลับอย่างสันโดษ บำเพ็ญทุกขกิริยาและปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก พวกเขาใช้เจตจำนงอันยิ่งใหญ่และความอุตสาหะเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตน โดยจะคอยแสวงหาแดนสุขาวดีที่ปราศจากพันธนาการอย่างมุ่งมั่น
พวกเขาสร้างแนวทางการบ่มเพาะเป็นของตัวเองและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง แม้ผู้คนจะไม่ได้ยินชื่อนี้ในใต้หล้ามานานแสนนาน แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามการมีอยู่ของพวกเขา
ตัวอย่างเช่น เคล็ดวิชาอวตารเทพ เนตรเชื่อมสวรรค์ เคล็ดวิชาอ่านใจ ฝ่ามือพุทธโลกา สยบภูผาปทุม แสงธรรมส่องหล้า และพลังอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกมากมายในภพทั้งสามนั้น ล้วนมาจากผู้บ่มเพาะนิกายพุทธ
นอกจากนั้น ศาสนสมบัติที่อยู่ในมือของผู้บ่มเพาะนิกายพุทธ ยังเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่คล้ายกับสมบัติจ้าววิญญาณ ศาสนสมบัติทุกชิ้นต่างต้องการ ‘พุทธเจตนา’ และ ‘พุทธรัศมี’ เพื่อขัดเกลา ซึ่งอานุภาพของมันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
โดยเฉพาะศาสนสมบัติที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในทำเนียบสมบัติอมตะ พวกมันมีความสามารถในการทำลายสิ่งชั่วร้ายและขับไล่ความชั่วร้าย อีกทั้งพวกมันยังทำให้ฟ้าดินถูกอาบด้วยแสงแห่งพุทธะ กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงบร่มเย็นและเปี่ยมล้นด้วยความสุข
หากศาสนสมบัติถูกใช้อย่างสุดกำลัง ก็จะเหมือนกับถูกนักรบบริวารของพุทธองค์เข้าสิง ทำให้พระพุทธองค์เสด็จลงมายังโลกด้วยอานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“สมบัตินิกายพุทธชิ้นเล็ก ๆ จะทำอะไรข้าได้!” ทันใดนั้น ร่างของเฉินซีก็กลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์เมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ และเขาใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่รังสรรค์อีกครั้ง ทำให้ปราณกระบี่หลายพันเล่มฟันออกไปและพุ่งเข้าใส่ระฆังเก้าเกลียวไท่เออ
การประชันเพื่อสิทธิ์ในการสร้างโลก!
ความขัดแย้งนี้เสมือนเทพเจ้าสององค์ที่ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมและปกครองโลก!
ไม่มีใครสามารถอธิบายถึงอานุภาพของการปะทะกันในครั้งนี้ได้ ฟ้าดินทั้งมวลต่างสั่นสะท้าน เมื่อเสียงกัมปนาทดังสนั่นอยู่ในอากาศและแผ่ขยายออกไป หลังจากที่อากาศกว้างใหญ่แตกสลาย
ผู้บ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียงซึ่งมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอยู่ในหมู่พวกเขา ล้วนได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังนี้ ร่างกายของพวกเขาโงนเงนไปมา ในขณะที่ใบหน้าซีดเซียว และจู่ ๆ บางคนที่มีการบ่มเพาะอ่อนด้อยก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนจะล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้นได้บังเกิดเสียงกัมปนาทที่รุนแรงราวกับเสียงฟ้าร้อง และแสงเจิดจ้าก็ปกคลุมบริเวณโดยรอบ ทำให้ทุกคนมองเห็นไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
“ใครเป็นผู้ชนะในที่สุด?”
แม้ว่าทุกคนจะประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ดวงตาของพวกเขายังคงจับจ้องไปที่สนามรบด้วยสมาธิสูงสุด เนื่องจากพวกเขากลัวอย่างยิ่งที่จะพลาดรายละเอียดไป