บทที่ 814 สัตว์อสูรจักรวาล
บทที่ 814 สัตว์อสูรจักรวาล
เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปจับมือของเหลียงปิง และจากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ยะ…ยินดีที่ได้พบ ข้าเฉินซี”
มือที่เรียวขาวของเหลียงปิงนั้นอ่อนนุ่มและละเอียดอ่อนยิ่ง มันให้ความรู้สึกคล้ายถือซาลาเปาอุ่น ๆ ที่เนียนนุ่ม ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ทว่าความรู้สึกแปลกประหลาดกลับผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี และเขายังคงรู้สึกว่า การแตะเนื้อต้องกายเช่นนี้ดูจะไม่เป็นการล่วงเกินมากไปหน่อยหรือ?
โชคดีที่มันกินเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น
หลียางสังเกตเห็นทั้งหมดนี้จากทางด้านข้าง นางจึงได้กะพริบตาใส่เฉินซีด้วยท่าทางเย้าแหย่ ก่อนที่จะกล่าวกับเหลียงปิงว่า “เอาล่ะ ข้าขอฝากศิษย์หลานของข้าไว้กับเจ้าด้วย แล้วข้าจะกลับมารับเขา เมื่อเขาขึ้นไปยังเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้แล้ว”
“เจดีย์ต้าเหยี่ยน?”
เฉินซีตกตะลึง “มันคือที่ใดกัน?”
ดวงตาของเหลียงปิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางพลันมองไปที่หลียาง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
รูปโฉมของนางทั้งงดงามและเย็นชา แต่รูปร่างกลับเร่าร้อนและเย้ายวน ที่แค่เพียงยืนนิ่งเฉยเอามือกอดอก หญิงสาวก็ดูราวกับราชินีผู้กำลังตรวจตราอาณาจักรของตน ซึ่งได้แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพวกเขากำลังจะจากไป เฉินซีที่ไม่อาจระงับความสงสัยได้อีก จึงเอ่ยถามผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์พี่ แม่นางเหลียงปิงคือใครกันหรือขอรับ?”
“นางเป็นบุตรีของตระกูลเก่าแก่ในภพต้นกำเนิด อ้อ เจ้ายังไม่รู้ว่าภพต้นกำเนิดคือสิ่งใดสินะ ข้าจะกล่าวอย่างไรดี… ที่นั่นเรียกอีกอย่างว่า ‘ภพบรรพชน’ มันให้กำเนิดตัวตนที่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ซึ่งบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋ามากมาย” หลียางกล่าวอย่างรวดเร็วผ่านกระแสปราณว่า “เมื่อเจ้าบรรลุเป็นเซียนสวรรค์แล้ว เจ้าจะสามารถท่องไปในภพบรรพชนได้ มันเป็นภพที่มีเอกลักษณ์ที่สุดท่ามกลางพิภพกว่าสามพันแห่ง และมรดกมากมายก็ถือกำเนิดขึ้นจากที่นั่น ใช่แล้ว อารยธรรมของที่นั่นก็ไม่เลวเช่นกัน”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลียางก็ยิ้มบาง ๆ ดวงตาที่สดใสของหญิงสาวเผยประกายแปลก ๆ และเสียงที่แผ่วเบาของนางก็แฝงด้วยความเย้ายวน “ศิษย์น้องเล็ก เหลียงปิงในชุดนี้ถือว่ามากไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนมิใช่หรือ? หากเจ้าสามารถล่อลวงนางและพานางกลับไปด้วยได้ละก็ เจ้าจะสามารถขอให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าหลากหลายแบบให้แก่เจ้าได้ และมันจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเจ้าให้กว้างขึ้นอย่างแน่นอน”
เฉินซี “…”
เมื่อนางเห็นท่าทางที่จนปัญญาของอีกฝ่าย หลียางพลันยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น จากนั้นก็ตบไหล่เขาเบา ๆ “เอาล่ะ รีบไปเถิด อย่าให้ปิงปิงน้อยต้องรอนานเกินไป”
“ปิงปิงน้อย…”
เหลียงปิงซึ่งแต่เดิมเอามือกอดอกเหมือนราชินี พลันโงนเงนทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ ก่อนที่นางจะแสดงความโกรธที่หาได้ยากออกมา พร้อมกับจ้องเขม็งมายังหลียางอย่างเย็นชา
ทว่าผู้เป็นศิษย์พี่ของเขากลับยิ้มอย่างเฉยเมย และไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนที่หญิงสาวจะโบกมือให้กับเฉินซี ซึ่งในพริบตาต่อมา ร่างของนางก็กลายเป็นแสงดาวเย็นยะเยือกที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตามข้ามา” เมื่อหลียางจากไป เหลียงปิงก็กลับมามีท่าทีเย็นชาอีกครั้ง และด้วยหนึ่งโบกมือ สมบัติวิเศษรูปทรงกระสวยสีเงินพลันส่องประกายระยิบระยับ และสาดแสงห่อหุ้มร่างของทั้งสองคนไว้
ครืน! ครืน!
สมบัติวิเศษรูปทรงกระสวยสีเงินนี้ราวกับสัตว์ร้ายที่เฝ้ารออย่างกระวนกระวายมานานแล้ว จากนั้นมันก็ระเบิดพลังออกมาทันที พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวชั้นแล้วชั้นเล่า และมุ่งหน้าไปยังพิภพยันต์อักขระที่อยู่ไกลแสนไกล
“นี่คือสมบัติอมตะระดับจักรวาล ‘กระสวยแสงเงิน’ มันสามารถทลายกำแพงเวลาและมิติให้แยกออกจากกัน ส่งผลให้มันสามารถบินเป็นระยะทางไกลถึงปีแสงได้ในพริบตา เราจะไปถึงพิภพยันต์อักขระในอีกราวหนึ่งก้านธูป” เสียงของเหลียงปิงดังก้องอยู่ข้างหูของเฉินซี มันประหนึ่งหยดน้ำค้างแข็งที่เยือกเย็นจนหนาวไปถึงกระดูก!
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่งดงามและเย็นชาคนนี้ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและไม่ได้กล่าวอันใดอีก
เฉินซีพอจะแยกแยะได้ว่า ความประทับใจของเหลียงปิงที่มีต่อตัวเขานั้นไม่ถือว่าดีหรือเลวร้ายนัก ไม่เย็นชาหรือเป็นกันเอง แต่เป็นเชิงในที่มีผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่า กระทั่งชายหนุ่มยังนึกสงสัยว่า หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หลียาง หญิงสาวผู้เย็นชาและเย่อหยิ่งราวกับราชินีคนนี้ คงจะไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย!
เมื่อเฉินซีคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ‘ความแข็งแกร่งของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมเพียงใด ถึงเป็นสหายกับศิษย์พี่หลียางได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่า นางจะเป็นศิษย์เอกของผู้ยิ่งใหญ่บางคน? หรือบางทีนางอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลที่ไม่ธรรมดา?’
‘ว่าแต่ภพต้นกำเนิดเป็นสถานที่น่าอัศจรรย์เช่นใด?’
ข้อมูลทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ และทำให้เฉินซีตระหนักลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้น หากวิสัยทัศน์ของเขาจำกัดอยู่ที่แดนภวังค์ทมิฬ ชายหนุ่มก็ไม่ต่างจากกบในบ่อที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
อันที่จริงมันก็ชัดเจนนัก มีโลกใบใหญ่ถึงสามพันแห่ง และโลกใบเล็กอีกนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วสวรรค์และโลก อีกทั้งยังมีอารยธรรมและเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ดังนั้นใครจะกล้ากล่าวว่า ตนนั้นเป็นสัพพัญญูผู้รอบรู้ทุกสิ่ง?
“อาหลีไม่ได้บอกข้าถึงเหตุผลที่เจ้ามายังพิภพยันต์อักขระแห่งนี้ และข้าก็ไม่ต้องการรู้เช่นกัน หน้าที่ของข้าก็คือ เป็นผู้นำทางและอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพิภพยันต์อักขระให้เจ้าทราบเท่านั้น” เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบมาตลอดทาง เหลียงปิงก็หาได้สนใจไม่ นางกล่าวเพียงว่า “เจ้าควรฟังอย่างเงียบ ๆ และอย่าได้ขัดจังหวะ เมื่อข้าอธิบายเสร็จแล้ว ข้าจะให้เวลาเจ้าได้ซักถาม”
น้ำเสียงของนางชัดเจนและเยือกเย็น ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับอยู่เหนือเหตุผล อีกทั้งยังตัดสินใจโดยพลการด้วยท่าทีที่เอาแต่ใจยิ่งนัก
แน่นอนว่าเฉินซีเพียงยิ้ม และไม่รังเกียจท่าทีของนางแต่อย่างใด
“พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้นในสนามรบแนวหน้าของภพทั้งสาม และมันนำไปสู่จักรวาลที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ทำให้ชีวิตของเจ้าตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา”
“ภัยคุกคามในพิภพยันต์อักขระแบ่งออกเป็นสองประการ อย่างแรกคือถูกสัตว์อสูรจักรวาลฆ่า และนี่คือภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อชีวิตของเจ้า ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่กำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ในพิภพยันต์อักขระ ต่างก็ต้องล้มตายภายใต้คมเขี้ยวของสัตว์อสูรจักรวาล”
“ส่วนประการที่สองคือถูกผู้อื่นฆ่า นี่ถือเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเจ้าเช่นกัน เนื่องจากไม่มีกฎและข้อจำกัดอยู่ในพิภพยันต์อักขระ ดังนั้นผลลัพธ์จึงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่ละคน ดังนั้นตราบเท่าที่เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่ง ก็จะไม่มีใครในพิภพยันต์อักขระมาสนใจเจ้า แม้เจ้าจะทำให้เซียนสวรรค์เป็นทาสรับใช้ จับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นทาส หรือสยบมังกรให้เป็นเพียงสัตว์พาหนะก็ตาม”
เฉินซีฟังเงียบ ๆ แม้ในใจของเขาจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ใบหน้าของชายหนุ่มก็ยังคงสงบเหมือนเช่นเคย
เหลียงปิงชำเลืองมองมาที่เขาและกล่าวต่อไปว่า “กฎแห่งเต๋าสวรรค์ในพิภพยันต์อักขระนั้นแตกต่างจากที่อื่น ๆ ของภพทั้งสาม และมันถูกสร้างโดยผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ ดังนั้นภัยพิบัติ ทัณฑ์สวรรค์และความทุกข์ยากอื่น ๆ จะไม่เกิดขึ้นที่นี่ ส่วนเหตุผลที่เจ้าควรเข้าใจก็คือ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่แตกต่างกันย่อมแสดงอานุภาพของสวรรค์ที่แตกต่างกันไป”
“ตัวอย่างเช่น กฎแห่งเต๋าสวรรค์ในพิภพยันต์อักขระ มันได้หลอมรวมเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ที่สร้างมันขึ้นมา ดังนั้นในขณะที่คนผู้หนึ่งอยู่ในพิภพยันต์อักขระ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนบาปที่ชั่วช้าสามานย์ในโลกภายนอกหรือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนตัวจากชะตาสวรรค์ คนผู้นั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทำลาย”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าเย็นชาของนางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจังมากขึ้น จากนั้นจึงกล่าวเน้นทีละคำว่า “จงจำไว้ว่าภายใต้กฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่มีอยู่ภายในพิภพยันต์อักขระ สิ่งเดียวที่เจ้าต้องกังวลก็คือจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร!”
“มีชีวิตรอดหรือ?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เพราะชายหนุ่มเคยประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมามากมาย นอกจากนี้ ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาก็ได้รับการบ่มเพาะจนควบแน่นเป็น ‘แก่นหัวใจ’ ดังนั้นดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีจึงไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดไม่กี่คำของเหลียงปิง
“เจ้าจะได้รู้ว่าข้ากล่าวเกินจริงเพื่อทำให้เจ้ากลัวหรือไม่ ก็หลังจากที่เจ้าได้เข้าสู่พิภพยันต์อักขระแล้ว” รูปร่างของเหลียงปิงนั้นเพรียวบางและสง่างาม มือที่กอดอกของนางทำให้ปทุมถันอันอวบอิ่มถูกบีบรัด จนเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่สั่นคลอนหัวใจและจิตวิญญาณ ซึ่งแม้แต่เฉินซีก็ยังทนจ้องมองนางตรง ๆ ไม่ได้
แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้สังเกตเห็นว่า รูปร่างหน้าตาของตนมีเสน่ห์เพียงใด ทั้งยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าจะพาเจ้าไปที่โถงอันดับที่เก้า และการเดินทางของเจ้าจะเริ่มต้นที่นั่น”
วูบ!
ขณะที่นางกล่าว มือเรียวขาวของหญิงสาวพลันปัดออก ทำให้แผนที่เสมือนจริงปรากฏขึ้นกลางอากาศทันที และมันเต็มไปด้วยทุกสิ่งที่คาดว่าจะพบในแผนที่ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ดวงดาว หรือสิ่งอื่น ๆ
“นี่คือแผนที่มิติของพิภพยันต์อักขระทั้งหมด ส่วนนี่คือเจดีย์ต้าเหยี่ยน มันตั้งอยู่ที่ใจกลางของพิภพยันต์อักขระ ซึ่งอยู่ภายในนครหลวงสี่จักรพรรดิ” เหลียงปิงชี้ไปที่กึ่งกลางของแผนที่แล้วกล่าว
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าโครงสร้างของพิภพยันต์อักขระทั้งหมดนั้นมีเอกลักษณ์มาก มันดูราวกับภาพวาดทรงกลม ซึ่งมีทั้งหมู่บ้าน เมือง แคว้นกระจายอยู่รอบ ๆ และมีนครหลวงสี่จักรพรรดิตั้งอยู่ตรงกลาง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดระหว่างหมู่บ้านกับเมือง ระหว่างเมืองกับแคว้น และระหว่างแคว้นกับนครหลวงสี่จักรพรรดิ คือภูเขากับทะเลสาบจำนวนมากที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยสีดำสนิทบนแผนที่
ในขณะที่หมู่บ้าน เมือง แคว้นและนครหลวงสี่จักรพรรดิถูกทำเครื่องหมายด้วยสีขาวราวหิมะ เมื่อมองจากระยะไกล แผนที่มิตินี้ดูเหมือนประกอบขึ้นด้วยวงกลมจำนวนมากที่สลับระหว่างสีดำกับสีขาว
วงกลมเป็นตัวแทนของความไร้ที่ติ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความไร้ขอบเขต
พิภพยันต์อักขระทั้งหมดดูจะมีโครงสร้างในลักษณะนี้ ทำให้มันดูเป็นระเบียบและถูกจัดสรรเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็ดูกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และมีกลิ่นอายของความไร้ที่ติแอบแฝงอยู่
ว่ากันว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่เจิ้น จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ และบรรพบุรุษอสูรหลัวซางได้ให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อครั้งที่พวกเขาสร้างพิภพยันต์อักขระขึ้นมา
แต่ความลึกล้ำของมันก็ไม่สามารถแยกแยะได้โดยการมองดูแผนที่มิติเพียงอย่างเดียว บางทีเขาอาจจะเข้าใจมันได้มากขึ้นเมื่อได้เข้าสู่พิภพยันต์อักขระแล้ว พร้อมทั้งจดจ่อทำความเข้าใจมันอย่างสุดซึ้ง
“เจดีย์ต้าเหยี่ยนตั้งอยู่ใจกลางของพิภพยันต์อักขระ เป็นไปได้หรือไม่ว่า การที่ศิษย์พี่หลียางขอให้ข้าไปที่นั่น ก็เพราะมันมีเคล็ดวิชาที่สามารถทำให้ข้าบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างราบรื่น?” เฉินซีจ้องมองลึกลงไปที่ตำแหน่งตรงกลางของแผนที่มิติ มันเป็นจุดแสงสีทอง และมีคำว่า ‘เจดีย์ต้าเหยี่ยน’ เขียนด้วยตัวอักขระโบราณด้วยลายมือที่ทรงพลังและมั่นคง
วูบ!
เหลียงปิงเก็บแผนที่มิติ ก่อนที่นางจะหันกลับมาและมองไปที่เฉินซีเป็นครั้งแรก แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ เจ้ามีสิ่งใดจะถามอีกหรือไม่?”
เฉินซีกล่าวโดยไม่ต้องคิด “ข้าต้องการทราบองค์ประกอบของกองกำลังในพิภพยันต์อักขระ”
“มันง่ายมาก เป็นชาวพื้นเมืองราวสองส่วน ในขณะที่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็เหมือนกับเจ้า พวกเขาต่างมาจากโลกโบใหญ่ทั้งสามพันแห่ง” เหลียงปิงตอบกลับ “หากว่ากันในแง่ของกองกำลังแล้ว มันก็สามารถแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้บ่มเพาะและชาวพื้นเมืองทั้งหมดภายในพิภพยันต์อักขระ และส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือสัตว์อสูรจักรวาล”
“เหตุผลเดียวที่พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้นที่แนวหน้าของสนามรบ ก็เพื่อต้านทานการรุกรานของสัตว์อสูรจักรวาล แต่เมื่อเทียบกับสถานที่อื่น ๆ ที่ชายแดนของภพทั้งสาม พิภพยันต์อักขระอาจถือได้ว่าปลอดภัยที่สุด”
“แน่นอน เจ้าสามารถใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อบ่มเพาะอย่างเต็มที่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ค่ายทหารที่มีระเบียบวินัย อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ดังนั้นความขัดแย้งและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตเจ้าได้”
เฉินซีตกตะลึงและไม่สามารถหักห้ามใจได้ “ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระมิใช่หรือ?”
เหลียงปิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง ยิ่งมีการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระสูงเพียงใด การเอาตัวรอดก็ง่ายขึ้นเท่านั้น และมันก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการมาอย่างง่ายดาย สำหรับเหตุผล เมื่อเจ้าไปถึงโถงอันดับที่เก้า ย่อมมีใครบางคนบอกเจ้าอย่างแน่นอน”
“โถงอันดับที่เก้าเป็นขุมกำลังเช่นไรหรือ?” เฉินซีกล่าวต่อ
“โถงอันดับที่เก้าเป็นดั่งยักษ์ใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งพิภพยันต์อักขระทั้งหมด และมันถูกควบคุมโดยสี่ตระกูลใหญ่ หน้าที่เพียงอย่างเดียวก็คือการมอบหมายภารกิจและดำเนินการแลกเปลี่ยนอย่างชอบธรรม ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ห้ามล่วงเกินเป็นอันขาดก็คือผู้คนจากโถงอันดับที่เก้า”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็เงยหน้าขึ้น ในขณะที่ความเกลียดชังได้ปรากฏอยู่ในดวงตาของหญิงสาว
ในขณะนี้ เฉินซีเองก็ได้สังเกตเห็นสัตว์ร้ายมหึมาที่มีความยาวเกือบสองลี้ และมันก็เหมือนกับภูเขาที่กำลังลอยซึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
ดวงตาของมันเป็นสีแดงเข้ม ในขณะที่ผิวหนังของมันดูเหมือนทำจากเหล็กหลอมเหลว ซึ่งส่องประกายแวววาวดั่งโลหะ ทั่วทั้งร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยหนามแหลมสีขาวดุจหิมะที่น่าสะพรึง และพวกมันก็เหมือนกับหอกจำนวนมากที่ถูกปกคลุมด้วยแสงเยียบเย็น
มันส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่พุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า และบดขยี้อุกกาบาตมหึมามากมายในจักรวาลได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของมันก็ร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง!
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจของชายหนุ่มอย่างช่วยไม่ได้ ‘นี่ต้องเป็นสัตว์อสูรจักรวาลอันดุร้ายที่นางว่าอย่างแน่นอน!’