บทที่ 820 เริ่มต้นการฝึกฝน
บทที่ 820 เริ่มต้นการฝึกฝน
เฉินซีไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นจริง เพราะเขาเพิ่งได้ถุงมือสยบมารแสงทมิฬ และพัดหัวใจครามพิฆาตวิญญาณจากเวิ่นเทียนเซี่ยว แต่กลับถูกจัดให้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกับอีกฝ่าย
แน่นอนว่ายังมีเหยาลู่เวยด้วย!
ในแง่ของภูมิหลัง หญิงสาวที่งดงามคนนี้ไม่ได้ด้อยกว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวเลยแม้แต่น้อย และนางก็เป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่เป็นดั่งพระอาทิตย์แผดเผาในท้องฟ้ายามเที่ยงภายในภพบ่อวิญญาณ ซึ่งต้นกำเนิดของนางก็ยิ่งใหญ่มาก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภายในกลุ่มนี้ ตัวตนของเฉินซีดูจะด้อยกว่าอีกสองคน แต่เมื่อพวกนางได้ยินว่าเขามาจากแดนภวังค์ทมิฬ มันก็ทำให้คนทั้งสองประหลาดใจทันที
แดนภวังค์ทมิฬเป็นทวีปที่กว้างใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุดในบรรดาโลกทั้งสามพันแห่ง และมันได้ให้กำเนิดผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภพทั้งสาม จนเกิดตำนานเล่าขานออกมามากมาย
นอกจากนี้ แดนภวังค์ทมิฬยังห่างไกลจากพิภพยันต์อักขระเป็นอย่างมาก ไม่ต้องกล่าวถึงเซียนสวรรค์ แม้แต่ตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตเซียนสวรรค์ ก็ยังพบว่าการสำรวจจักรวาลอันไร้ขอบเขตเพื่อมาถึงพิภพยันต์อักขระก็ยังยากมาก
ทว่าเฉินซีกลับมาถึงพิภพยันต์อักขระจากแดนภวังค์ทมิฬ แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
โอม!
คลื่นเสียงพึมพำดังขึ้น จากนั้นภาพตรงหน้าพลันวูบวาบไปมา ในชั่วพริบตาจากนั้น พวกเขาได้หายเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของเมืองพยัคฆ์กระโจน
…
“หมู่บ้านจินซางตั้งอยู่ที่ชายแดนทางใต้ของพิภพยันต์อักขระ และภูมิประเทศก็เต็มไปด้วยภยันตราย มีชาวบ้านอาศัยอยู่มากกว่าสามพันคน และสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมากต่างเคลื่อนไหวอยู่ในบริเวณโดยรอบของหมู่บ้าน ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้อยู่ที่ประมาณขอบเขตสถิตกายา แต่การมีอยู่ของสัตว์ร้ายที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีใช่ว่าจะไม่มีหลุดรอดมาบ้าง” เถิงหลานกล่าวอย่างชัดเจน ในขณะที่เขาแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้านจินซางให้เฉินซีฟัง เขาเป็นตัวแทนของโถงอันดับเก้า ซึ่งหมัวเจียงได้ส่งมาโดยมีหน้าที่พาเฉินซีและคนอื่น ๆ ไปยังหมู่บ้านจินซาง
“จำไว้ว่า พิภพยันต์อักขระไม่เหมือนแดนดินอื่น ข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการฆ่าชาวบ้าน เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เต๋าแห่งสวรรค์จะริบเอาพลังธรรมเทพของเจ้าไป และเจ้าจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งบางคนที่มีความผิดร้ายแรงจะถูกฆ่าตายทันที”
“ด้วยความแข็งแกร่งของสหายเต๋า จะใช้เวลาอย่างมากที่สุดก็ราว ๆ สามปี ก่อนที่เจ้าจะเก็บสะสมพลังธรรมเทพเพียงพอจนสามารถออกจากหมู่บ้านจินซางและมาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด นั่นคือเมืองนกนางแอ่นแดง!”
…
เมื่อเถิงหลานแนะนำสถานการณ์โดยรวมของหมู่บ้านจินซางเสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าของพวกเขาวูบวาบ ก่อนที่ทุกคนจะมาปรากฏตัวในหมู่บ้าน
ทุกที่ที่สายตาสาดส่องถึง จะเห็นเข้ากับมีต้นหม่อนโบราณสีทองอร่าม ใต้ร่มเงาของต้นไม้มีที่อยู่อาศัยมากมาย ในขณะที่มีหอคอยสูงตระหง่านตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่ายิ่ง
หอคอยทั้งหลังดูจะทำจากทองสัมฤทธิ์ และอาบไล้ด้วยประกายโลหะท่ามกลางแสงอาทิตย์ ยิ่งกว่านั้น มันยังเปล่งคลื่นพลังที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม และควบแน่นคลื่นพลังยิ่งใหญ่ ซึ่งปกคลุมหมู่บ้านทั้งหมดไว้
นี่คือหอคอยยันต์อักขระ หอคอยนี้มีความสูงถึงสิบห้าลี้ ทำหน้าที่คล้ายกับค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ ทั้งหมู่บ้าน เมือง และมณฑลทั้งหมดในพิภพยันต์อักขระ ล้วนได้รับการปกป้องโดยหอคอยยันต์อักขระที่ว่านี้
“ฮึ่ม! มีคนอีกกลุ่มที่เอาชีวิตมาทิ้งอีกแล้ว!” ที่ปากทางเข้าของหมู่บ้าน มีชายชราใบหน้าซีดเซียว ซึ่งดูราวกับเขาจะรออยู่ที่นี่มานานแล้ว และเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียง เมื่อเห็นเถิงหลานปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มสามคนของเฉินซี
“มารดามันเถอะ! ระวังคำพูดหน่อยตาเฒ่า!” เวิ่นเทียนเซี่ยวโกรธมาก เขาชี้ไปที่ชายชราขณะที่ก่นด่า
“ข้าผิดหรือ? มีผู้บ่มเพาะสามสิบเจ็ดกลุ่มถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงตอนนี้ พวกมันกลับไม่สามารถจัดการกับหายนะในหมู่บ้านจินซางของข้าได้ และพวกมันต่างก็ถูกฆ่าโดยสัตว์อสูรจักรวาล หรือหนีไปอย่างสุนัขหางตก พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขยะและไร้ประโยชน์!”
ชายชรากล่าวเยาะเย้ย และไม่สนใจคำขู่ของเวิ่นเทียนเซี่ยวโดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้เวิ่นเทียนเซี่ยวจ้องเขม็ง และโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่เถิงหลางเคยกำชับไว้ว่า ห้ามฆ่าชาวบ้านที่นี่เป็นอันขาด มิฉะนั้นเขาจะต้องรับโทษจากเต๋าแห่งสวรรค์ เจ้าตัวจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่ง ในหัวคิดว่าคนธรรมดาดันกลายเป็นคนน่าเกรงขามที่ผู้บ่มเพาะต้องเกรงอกเกรงใจตั้งแต่เมื่อไรกัน?
“สหายเต๋า นี่คือเซวียหมิง ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจินซาง หากพวกเจ้าขาดแคลนวารีวิญญาณหรือหินอมตะในช่วงที่เจ้าบ่มเพาะ เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของจากเขาโดยใช้พลังธรรมเทพที่เจ้าครอบครองอยู่ได้” เถิงหลานแนะนำตัว “นอกจากนี้ ทุกท่านสามารถถกปัญหาต่าง ๆ กับผู้อาวุโสเซวียหมิงได้”
ทันทีที่กล่าวจบ เถิงหลานก็ประสานมือคำนับให้แก่เฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับชัยชนะ!”
…
“ไปกันเถิด เหล่าผู้บ่มเพาะที่น่านับถือ” หลังจากเถิงหลานจากไป ผู้อาวุโสเซวียหมิงพลันตะโกนออกมาอย่างประชดประชัน จากนั้นเจ้าตัวก็หันหลังกลับและเดินไปที่หมู่บ้าน
“ถ้านี่คือโลกภายนอก ข้าคงตัดลิ้นแพะแก่นี่ไปแล้ว!” เวิ่นเทียนเซี่ยวแค่นเสียง
“เหตุใดเจ้าไม่ฆ่าเขาไปเลยเสียเล่า?” เหยาลู่เวยชำเลืองมองไปยังเขา
“ไร้สาระ! ข้าดูเหมือนคนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจหรือไม่? หากเขากล้าด่าทอข้า ข้าจะตัดลิ้นเขา และถ้าเขากล้าต่อต้านข้า ข้าก็จะฆ่าเขา! นี่คือคติที่นายน้อยคนนี้ ข้าเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการให้รางวัลและการลงโทษอย่างเหมาะสม” เวิ่นเทียนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะพึงพอใจในขณะที่เขากล่าว
“มาทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนที่พวกเราจะเคลื่อนไหวกันเถอะ” เฉินซีครุ่นคิดสั้น ๆ ก่อนจะเดินตามผู้อาวุโสเซวียหมิงไป หลังจากกล่าวสิ่งนี้
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า หัวใจของผู้อาวุโสเซวียหมิงนี้ดูจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และจากสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่มายังหมู่บ้านจินซางล้วนประสบเภทภัยจริง ๆ!
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้เฉินซีไม่กล้าที่จะประมาทหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า
“นั่นคือหอคอยยันต์อักขระ มันคอยต้านทานการโจมตีจากสัตว์อสูรจักรวาลอยู่ทุกค่ำคืน ทว่าโครงสร้างภายในของมันได้รับความเสียหายอย่างหนัก และหากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มันก็จะถูกทำลายในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้”
ผู้อาวุโสเซวียหมิงหยุดอยู่ที่ใจกลางหมู่บ้าน และชี้ไปยังหอคอยยันต์อักขระที่ตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งที่แฝงไปด้วยความเศร้าโศกว่า “หากหอคอยยันต์อักขระถูกทำลาย เมื่อเป็นเช่นนั้น หมู่บ้านจินซางทั้งหมดจะถูกทำลายไปพร้อมกับมัน และจะกลายเป็นสถานที่ที่สัตว์อสูรจักรวาลออกอาละวาด ดังนั้น แม้ข้าจะไม่ได้รู้สึกดีกับพวกเจ้าสักเท่าใด แต่ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถช่วยสังหารเหล่าสัตว์อสูรจักรวาลและช่วยเหลือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ได้”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นสายตาของเขาจึงกวาดมองออกไป และสังเกตเห็นว่ามีผู้คนมากมายปรากฏตัวขึ้นรอบ ๆ หอคอยยันต์อักขระ มีทั้งคนแก่และเด็กอยู่ท่ามกลางพวกเขา ซึ่งทุกคนต่างก็มีสีหน้าหนักใจ
พวกเขาเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านจินซาง และถูกเรียกว่าชนพื้นเมือง ด้วยพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนที่พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้น
“ผู้อาวุโสเซวียหมิง ท่านช่วยอธิบายสถานการณ์ของหมู่บ้านได้หรือไม่” เฉินซีถาม
“เฮ้อ เรื่องมันยาวที่จะกล่าว ตามข้ามา” เซวียหมิงถอนหายใจ และนำกลุ่มของเฉินซีเดินลัดเลาะผ่านทางด้านข้างของหอคอยยันต์อักขระ ก่อนจะเข้าสู่ลานบ้านที่เก่าแก่และทรุดโทรมแห่งหนึ่ง
แสงของดวงอาทิตย์ที่ตกดินเป็นเหมือนกับสีของเลือด และมันได้ย้อมต้นหม่อนสีทองทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ หมู่บ้านให้เป็นสีแดง ทำให้มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งโศกนาฏกรรมของการจากไป
“เดิมทีหมู่บ้านจินซางมีชาวบ้านอยู่ราวสี่พันหกร้อยคน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากพลังของหอคอยยันต์อักขระลดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีคนตายเกือบทุกวัน…” เสียงแหบแห้งของผู้เฒ่าเซวียหมิงดังสะท้อนอยู่ในห้องที่มีแสงสลัวจากแสงเทียน ซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยความเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง และความโกรธที่ซับซ้อน
ตามคำบอกเล่าของเขา เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ได้เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในทันที
ปรากฏว่าการดำรงอยู่ของหอคอยยันต์อักขระนั้นคล้ายกับกำแพงเมือง มันคอยต้านทานการรุกรานของสัตว์อสูรจักรวาลจากด้านนอกของหมู่บ้าน ดังนั้นความสมบูรณ์ของหอคอยยันต์อักขระจึงเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของชาวบ้านในหมู่บ้านโดยตรง
ในช่วงเวลานี้ สัตว์อสูรจักรวาลที่อยู่ด้านนอกหมู่บ้านจินซางได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อวันเวลาผันผ่าน และจำนวนของพวกมันก็น่าตกใจยิ่ง พวกมันมักบุกโจมตีหมู่บ้านทุกคืน และเนื่องจากพลังของหอคอยยันต์อักขระลดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ชาวบ้านมากมายได้รับผลกระทบ และเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชภายใต้คมเขี้ยวของสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะที่ส่งมาจากโถงอันดับที่เก้าล้วนไร้ประโยชน์ พวกเขาต่างล้มตายจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรจักรวาล หรือไม่ก็หลบหนีไป
แต่ตามที่ผู้อาวุโสเซวียหมิงกล่าว มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกชาวบ้านที่จะหลบหนีจากชะตากรรมแห่งความตาย เนื่องจากฟ้าดินในพิภพยันต์อักขระนั้นปราศจากร่องรอยของปราณวิญญาณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเผชิญกับการโจมตีของสัตว์อสูรจักรวาลเมื่อเดินทางออกจากหมู่บ้าน และแม้จะหนีไปยังเมืองใกล้เคียง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้
เหตุผลก็ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะพวกเขามีพลังธรรมเทพไม่เพียงพอ!
ลองคิดดูสิว่า หากผู้บ่มเพาะประสบกับการถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรจักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่ขาดแคลนปราณวิญญาณเพื่อเติมเต็มพลังของพวกเขา แล้วพวกเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?
เมื่อทราบข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้เฉินซีค่อย ๆ ตระหนักถึงกฎการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐานในพิภพยันต์อักขระ
พิภพยันต์อักขระนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ก็เป็นระเบียบมาก จากพื้นที่รอบนอกจนถึงศูนย์กลาง มีหมู่บ้าน เมือง มณฑล และนครหลวงสี่จักรพรรดิอยู่ตรงกลาง
มีภูเขาและแม่น้ำมากมายหลายแห่งที่แทบอาศัยไม่ได้ ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านกับเมือง เมืองกับมณฑล และมณฑลกับนครหลวงสี่จักรพรรดิ ซึ่งในเวลานั้นเป็นเหมือนกับดินแดนรกร้างที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ มันจึงถูกเรียกว่า ‘แดนจำกัดรกร้าง’
เขตหวงห้ามดังกล่าวเป็นสถานที่ที่สัตว์อสูรจักรวาลท่องไปมา!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเพียงหมู่บ้าน เมือง มณฑล และนครหลวงเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุดในพิภพยันต์อักขระ
เนื่องจากสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่เหล่านี้ ล้วนได้รับการปกป้องจากหอคอยยันต์อักขระ แต่พลังของหอคอยยันต์อักขระจะถูกใช้อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรจักรวาล
เมื่อหอคอยยันต์อักขระถูกทำลายลง หมายความว่าหมู่บ้านหรือเมืองจะประสบกับภัยคุกคามร้ายแรง และคงถูกทำลายล้างก็เพราะสาเหตุนี้
แต่วิธีการซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระนั้นง่ายดายมาก มันต้องการแค่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระในการซ่อมแซม
‘เนื่องจากสถานการณ์ของมันในขณะนี้ พิภพยันต์อักขระจึงกลายเป็นสถานที่ชั้นยอดในการฝึกฝนสำหรับผู้บ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะไม่เพียงจะได้รับพลังธรรมเทพจากการสังหารสัตว์อสูรจักรวาล แต่ยังสามารถขัดเกลาการบ่มเพาะและเคล็ดวิชาการต่อสู้ของพวกเขาได้อีกด้วย และการซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระก็จะทำให้ได้รับพลังธรรมเทพ ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระอย่างมาก…’
เฉินซีดูจะตกอยู่ในห้วงความคิด จุดประสงค์เดียวในการมาที่พิภพยันต์อักขระของเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อจัดการกับปัญหาในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี และถ้าต้องการบรรลุความปรารถนา เขาต้องไปให้ถึงนครหลวงเสียก่อน จึงจะขึ้นไปบนเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้ขัดกับการฝึกฝนของเขาในหมู่บ้านจินซางแต่อย่างใด
เพราะมีเพียงการขัดเกลาตัวเองเท่านั้น จึงจะทำให้ชายหนุ่มได้รับพลังธรรมเทพเพียงพอที่จะเข้าสู่เมือง มณฑล และนครหลวงทีละขั้น
ด้วยวิธีนี้ เขาจึงสามารถช่วยหมู่บ้านจินซางให้พ้นจากวิกฤตได้ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
โฮกกกกกก! โฮกกกกกก!
ทันใดนั้น คลื่นเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าก็ดังก้องมาจากระยะไกล จากนั้นทั่วทั้งโลกพลันเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับกองทัพที่ทรงพลังกำลังมุ่งเข้ามาหาหมู่บ้านจินซางจากทั่วทุกสารทิศ
ใบหน้าของผู้อาวุโสเซวียหมิงพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่เขาร้องออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “สัตว์เดรัจฉานพวกนั้นกำลังจะบุกมาอีกแล้ว”
“เข้ามาเลย! ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว!” เวิ่นเทียนเซี่ยวตะโกนออกมาเสียงดัง ในขณะที่เจ้าตัวยืนขึ้นและก้าวยาวออกไป
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีกับเหยาลู่เวยก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ทั้งคู่อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่า ความแข็งแกร่งและขนาดของสัตว์อสูรจักรวาลที่อยู่ด้านนอกหมู่บ้านจินซางนั้นเป็นเช่นไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้อาวุโสเซวียหมิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ผู้บ่มเพาะทั้งสามที่มาช่วยหมู่บ้านจินซางในครั้งนี้ดูจะแตกต่างจากที่เคยมา…!