บทที่ 823 จะอยู่หรือจะไป
บทที่ 823 จะอยู่หรือจะไป
เฉินซีไม่คุ้นเคยกับหอคอยยันต์อักขระมาก่อน เขาจึงไม่กล้ารับปากว่าตนจะสามารถซ่อมแซมมันได้ แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ปรารถนาที่จะลองดูก่อนสักครั้ง
ทว่าคำพูดของเขาก็ทำให้เวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยแปลกใจ ช่วยไม่ได้ พวกเขาสองคนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดสหายผู้น่าเกรงขามอย่างเฉินซี ถึงยอมสละเวลาอันมีค่ามาศึกษาเต๋าแห่งค่ายกลยันต์อักขระ
อย่างไรเสีย ท่ามกลางโลกทั้งสามพันแห่ง เต๋าแห่งค่ายกลยันต์อักขระก็เป็นที่เลื่องชื่อว่าเป็นมหาเต๋าที่ซับซ้อนที่สุด ความสำเร็จในการบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นหาใช่สิ่งที่ทำได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน
ดังนั้น นักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้หลอมศัสตรา และผู้ฝึกสัตว์อสูร จึงหาได้ง่ายมากในโลกต่าง ๆ ทว่ามีเพียงเซียนค่ายกลยันต์อักขระเท่านั้นที่หาตัวได้ยากประหนึ่งขนปักษาเพลิงเขากิเลน
แม้แต่ผู้อาวุโสเซวียหมิงก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปีติยินดี “ลองได้เลย ๆ และถ้าเจ้าสามารถซ่อมมันได้ ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว!”
ในตอนนี้ชายชราไม่ได้สนใจสิ่งอื่น เพราะอย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายแล้ว และการโน้มน้าวให้เฉินซีอยู่ รวมถึงลองดูสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากว่าเขาสามารถซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระได้ หมู่บ้านจินซางก็จะไม่ต้องเผชิญกับหายนะอีกต่อไป
…
หอคอยยันต์อักขระนั้นถูกสร้างขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดและมีขนาดที่สูงมาก มันเก่าแก่โบราณเกินกว่าจะคะเนอายุคร่าว ๆ ได้เช่นเดียวกับแท่นบวงสรวงลึกลับ
เฉินซีไม่รอช้า เขาเดินตรงเข้าไปด้านในหอคอยพร้อมกับเซวียหมิง
ชายหนุ่มต้องกลับไปที่แดนภวังค์ทมิฬภายในสามปี เนื่องจากไป๋หว่านฉิงมีโอกาสที่จะกลับมาจากสมรภูมิด้านนอกสามภพในช่วงนั้นพอดี หากเขาพลาดโอกาสที่จะได้พบกับนาง ชายหนุ่มจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
เนื่องจากเป้าหมายหลักที่เขาเข้าไปในแดนภวังค์ทมิฬนั้นก็เพื่อพบกับไป๋หว่านฉิง และถามไถ่เกี่ยวกับบิดามารดาของตน ทว่าตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ชายหนุ่มกลับยังไม่ได้พบหน้านางเสียที จริงอยู่ที่ความอดทนเขามีมากมายเหลือคณานับ แต่ก็ใช่ว่าเฉินซีจะไม่วิตกกังวลเลยเสียทีเดียว
ดังนั้น เขาจึงจำเป็นจะต้องรวบรวมพลังธรรมเทพให้เพียงพอเพื่อเข้าไปยังนครหลวงสี่จักรพรรดิและเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยนให้ได้ภายในสามปีนี้ เพราะนั่นเป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้เขาบรรลุขอบเขตเซียนปฐพี!
ในความคิดของเฉินซี การซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระไม่เพียงมอบพลังธรรมเทพให้แก่ตัวเขาเท่านั้น ทว่ามันอาจจะยังมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเจดีย์ต้าเหยี่ยนอีกด้วย
ภายในหอคอยยันต์
ทันทีที่เข้าไปด้านใน เฉินซีก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งยันต์อักขระ
ที่รอบกำแพงสัมฤทธิ์ ยันต์อักขระอันสลับซับซ้อนถูกจารึกไว้มากมาย พวกมันลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ จรดถึงยอดหอคอย ค่ายกลยันต์อักขระนี้เปล่งแสงพร่ามัว ประดุจดวงดาวริบหรี่ที่เกลื่อนกลาดเต็มฟากฟ้าไกล แสงเลือนรางเหล่านี้ดั่งมีมนต์ขลังดึงดูดสายตาของผู้คน
หากนิยามว่าภาพความงดงามนี้เป็นสายธารแห่งดวงดาวก็คงไม่ผิดนัก
เฉินซีหยุดฝีเท้าลง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อพินิจอย่างถ้วนถี่
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหอคอยนั้นรุนแรงเกินไป ยันต์อักขระพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ อีกไม่นานเท่าไร มันคงจะทลายสิ้นไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย… เนื่องจากเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีอยู่ในจุดที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า ภายในหอคอยยันต์อักขระนั้นเต็มไปด้วยค่ายกลยันต์อักขระที่ได้รับความเสียหายนับไม่ถ้วน มันเหมือนกับท่อนไม้ผุพังที่รอเวลาเฉาตาย ไม่อาจกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกต่อไป
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้เร่งร้อนที่จะซ่อมแซมในทันใด เขาเลือกที่จะตรวจสอบในแต่ละชั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่ปล่อยให้สิ่งใดหลุดรอดสายตาไปได้ ซึ่งเพียงแค่ขั้นตอนนี้ เวลาก็ล่วงเลยไปสามวันเต็ม
ที่เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ที่สุด และจะได้ไม่มีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องไป
ไม่เลวเลย ที่นี่มีค่ายกลยันต์อักขระมากมายที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน หากสามารถซ่อมแซมมันได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเต๋าแห่งยันต์อักขระของตัวเขาอย่างมาก… เมื่อตรวจสอบค่ายกลยันต์อักขระสุดท้ายที่ชั้นบนสุดของหอคอยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินซีพลันถอนใจยาว เขาครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเริ่มซ่อมแซมมันอย่างไรดี
แม้หอคอยยันต์อักขระนี้จะมีความสูงราวหกสิบลี้ และเต็มไปด้วยยันต์อักขระเหลือคณานับที่ซับซ้อนยิ่ง ทว่ามันก็หาใช่เรื่องยากไม่ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการซ่อมแซม
เรื่องที่น่าลำบากใจสำหรับเขาก็คือ หากซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระให้สมบูรณ์ตามร่องรอยเดิม มันจะต้องเผชิญกับความเสียหายอีกครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสามปีนี้อย่างแน่นอน
สำหรับเฉินซีแล้ว ถ้าหากเขาจะซ่อมแซมมัน เขาก็ต้องทำให้มันอยู่ในสภาพที่ไร้ที่ติที่สุด อย่างน้อย พลังและความแข็งแกร่งของมันจะต้องคงทนไปเป็นเวลากว่าร้อยปี!
จริงอยู่ที่ไม่มีใครขอให้เขาทุ่มความพยายามมากมายเช่นนั้น ทว่าความหลงใหลที่มีต่อเต๋าแห่งยันต์อักขระของชายหนุ่มก็ฝังลึกไปถึงกระดูกดำ ดังนั้นเฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะตั้งมาตรฐานอันเข้มงวดต่อผลงานของตนเอง
เป็นเพราะความเพียรในการไล่ตามขีดจำกัดความสามารถของตนเอง ที่ทำให้เต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีมาได้ไกลถึงขนาดนี้
‘ควรทำอย่างไรดี…?’ เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนพื้นขณะกำลังจมดิ่งลงในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง ค่ายกลยันต์อักขระจำนวนมากมายก่อตัวขึ้นเป็นภาพซ้อนทับจนเต็มทะเลแห่งมโนสำนึก
ถ้าใช้ยันต์เทวะสยบปฐพีเป็นฐานราก แล้วหลอมรวมค่ายกลยันต์อักขระทั้งหลายเข้าด้วยกัน พลังในการป้องกันของมันจะรุนแรงมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าขอบเขตการป้องกันของมันก็จะมีวงแคบลง โดยหมู่บ้านจินซางมากกว่าครึ่งหนึ่งจะถูกผลักออกไปอยู่นอกแนวป้องกันนี้…
เอ… ข้าสามารถใช้ยันต์เทวะคงคาทมิฬเป็นแกนกลางได้นี่… ไม่ได้ ๆ เจ้านี่จะทำให้พลังป้องกันของมันลดลง
…
เมื่อวิธีการสร้างค่ายกลยันต์อักขระถูกลบล้าง ย่อมหมายถึงการที่โครงสร้างของอักขระยันต์มากมายเหล่านั้นถูกลบล้างไป หากเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดา ก็อาจจะไม่สามารถค้นคว้าวิธีการสร้างค่ายทั้งหมดด้วยขั้นตอนเดียวภายในหนึ่งเดือน
แต่เฉินซีกลับสามารถทำสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเค่อเท่านั้น และถ้าหากว่าเขาไม่ได้สนใจที่จะรักษาค่ายกลยันต์อักขระเดิมซึ่งมีอยู่ให้ได้สมบูรณ์ที่สุดแล้วละก็ เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเร็วขึ้นไปอีก!
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปยี่สิบวัน
หมู่บ้านจินซางถูกสัตว์อสูรจักรวาลโจมตีอีกสองครั้ง เนื่องจากเวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยอยู่ด้วย ภัยร้ายในครั้งนี้จึงได้รับการจัดการในเวลาอันสั้น โดยพวกเขาได้รับพลังธรรมเทพจำนวนมากจากการกระทำในคราวนี้
“เจ้ามีเท่าไรแล้ว” เหยาลู่เวยชำเลืองมองแผ่นป้ายธรรมเทพในมือก่อนจะหันไปถามเวิ่นเทียนเซี่ยว
“เอ่อ ข้ายังเหลืออีกร้อยแปดสิบดวงจึงจะรวบรวมได้ครบสาร้อย” เวิ่นเทียนเซี่ยวตอบด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาได้รับพลังธรรมเทพมาทั้งหมดสี่สิบห้าดวงระหว่างการโจมตีสัตว์อสูรจักรวาลทั้งสองครั้ง เมื่อพิจารณาจากอัตราความเร็วนี้ หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ภายในหนึ่งเดือนนี้เขาก็น่าจะรวบรวมจำนวนพลังธรรมเทพได้เพียงพอสำหรับมุ่งหน้าไปยังเมืองนกนางแอ่นแดง
“ไม่เลว ๆ” เหยาลู่เวยพยักหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ
เวิ่นเทียนเซี่ยวรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย “แล้วเจ้าเล่า?!”
“ข้ายังขาดอีกร้อยห้าสิบดวง” นางตอบ
เวิ่นเทียนเซี่ยวเม้มปากสนิท เป็นการดีกว่าหากจะไม่พูดอะไรแล้วทำให้ตัวเองต้องอับอายไปมากกว่านี้
กระนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ “หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เฉินซีไม่อยู่ การได้รับพลังเทพที่มากมายเช่นนี้ก็คงเป็นเพียงความฝัน!”
เหยาลู่เวยเถียงไม่ออก “ตั้งแต่เขาเข้าไปข้างในหอคอยยันต์อักขระก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ปรากฏขึ้นเลย ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าว่าหากเรารวบรวมพลังธรรมเทพได้มากเพียงพอแล้ว พวกเราควรออกไปก่อนดีหรือไม่” นางถามอย่างตรงไปตรงมา
เวิ่นเทียนเซี่ยวชะงักค้างด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามเขาเช่นนี้ “เอ่อ แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาอดถามกลับไม่ได้
“ข้าน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องออกไป” เหยาลู่เวยมองหน้าเวิ่นเทียนเซี่ยวก่อนจะตอบโดยไม่ลังเล “การไปจากที่นี่คือหนทางที่ดีที่สุด เจ้าไม่สังเกตหรือว่าจำนวนสัตว์อสูรจักรวาลที่พบในทั้งสองคราวนี้ไม่เพียงเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทว่าความแข็งแกร่งของมันก็มากขึ้นด้วย”
เวิ่นเทียนเซี่ยวตบเข่าฉาด “ข้านึกว่าข้ารู้สึกไปเองคนเดียวเสียอีก”
“ข้าเกรงว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จำนวนสัตว์อสูรจักรวาลที่มาโจมตีหมู่จินซางรังแต่จะเยอะขึ้น แข็งแกร่งขึ้น หากเรายังทนอยู่ต่อไป เห็นทีจะมีแต่ยิ่งอันตราย” ยามหญิงสาวพินิจพิเคราะห์ ดวงตากระจ่างใสของนางพลันทอประกายสงบนิ่งดั่งผืนธารา ชวนให้รู้สึกว่าทรงภูมิไม่น้อย “อีกหน่อยก็คงเริ่มมีสัตว์อสูรจักรวาลที่มีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีออกมาเพ่นพ่านไปหมด ข้าแนะนำว่าเราควรรีบออกไปทันทีที่มีพลังธรรมเทพเพียงพอสำหรับเดินทางไปเมืองนกนางแอ่นแดง”
เวิ่นเทียนเซี่ยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “แล้วชาวบ้านที่นี่ละ”
“ให้ตายสิ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณชายน้อยเวิ่นผู้เลื่องชื่อจะมีจิตใจงดงาม ห่วงใยอาณาประชาราษฎร์เช่นนี้” หญิงสาวหัวเราะลั่น
ไม่นาน เหยาลู่เวยก็แสดงสีหน้าจริงจัง “ก็เพียงคนธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้น พอตายไปแล้ว พวกเขาก็แค่กลับไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่ตามสังสารวัฏ ไม่เห็นมีสิ่งใดที่เราต้องกังวล” น้ำเสียงของนางเรียบเฉยยิ่ง
เวิ่นเทียนเซี่ยวกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่มันไร้หัวใจเกินไปแล้ว”
คนถูกตำหนิไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย “หึ แล้วตกลงเจ้าจะไปหรือไม่?”
“ข้า…” เวิ่นเทียนเซี่ยวอึกอัก ครู่หนึ่งเขาก็พลันนึกบางอย่างได้ “แล้วเฉินซีล่ะ? เขายังอยู่ด้านในหอคอยยันต์อักขระ เจ้าจะไม่ถามความเห็นเขาก่อนหรือ?”
เหยาลู่เวยมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเวทนา ก่อนจะถอนหายใจแรง “คุณชายน้อยเวิ่น เจ้าคิดว่าเฉินซีจะได้รับพลังธรรมเทพจากการซ่อมแซมหอคอยนั่นเพียงพอหรือไม่”
เวิ่นเทียนเซี่ยวชักหงุดหงิด “เอาไว้เราค่อยมาพูดกันเรื่องนี้หลังจากที่รวบรวมพลังธรรมเทพได้พอแล้วเถอะ บางทีสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“เจ้าอย่าลืมสิว่าเจดีย์ต้าเหยี่ยนกำลังจะเปิดในไม่ช้า หากเจ้าไม่เร่งไม่ร้อนก็ตามใจเจ้าเถอะ” สายตาที่นางมองเวิ่นเทียนเซี่ยวเต็มไปด้วยความเฉยชา หญิงสาวหมดอารมณ์จะเสวนาและตั้งใจจะเดินจากไป
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่” ชายหนุ่มอยากรู้คำตอบ
“ข้าอยากจะพูดอะไรอย่างนั้นหรือ? นี่คุณชายน้อยเวิ่นกำลังจะบอกข้าว่า เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพราะสิ่งที่อยู่ในเจดีย์ต้าเหยี่ยนหรอกหรือ” เหยาลู่เวยหยุดฝีเท้า น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความเย้ยหยัน
เวิ่นเทียนเซี่ยวเงียบปาก ไม่ตอบโต้อะไรอีก
…
ผู้อาวุโสเซวียหมิงยืนอยู่เบื้องหน้าหอคอยยันต์อักขระ สายตาที่มองออกไปเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
นี่ก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว ทว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ภายในหอคอย สรุปแล้วผู้บ่มเพาะนามว่าเฉินซีผู้นั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
ถ้าเขาซ่อมมันไม่ได้ เหตุใดเขาจึงไม่ยอมรามือ?
หากเขาเป็นผู้มีฝีมือจริง เหตุใดจึงยังไม่ลงมือทำอะไรเสียที?
ผู้อาวุโสเซวียหมิงอยู่ที่นี่มายาวนาน เขามีประสบการณ์ในการต้อนรับผู้บ่มเพาะทั้งหลายเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเหลือล้น ดังนั้นชายชราจึงตระหนักแก่ใจดีว่า เมื่อผู้บ่มเพาะทั้งสองได้รับพลังธรรมเทพเพียงพอ พวกเขาก็จากไปโดยไม่หวนกลับมาเป็นครั้งที่สอง
ความจริงที่เจ็บปวดนี้บีบให้ผู้อาวุโสเซวียหมิงต้องซุกซ่อนความหวังเล็ก ๆ ไว้เพียงในใจ
ตอนนี้เขาได้แต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฉินซี แม้มันจะดูเลือนราง ทว่าเจ้าตัวก็ยังภาวนาให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ชีวิตของชาวบ้านธรรมดานั้นช่างทุกข์ลำเค็ญและเจ็บปวด หากพวกเขาต้องสูญเสียทั้งหอคอยยันต์อักขระและการคุ้มครองจากบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์จากบุกโจมตีที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า มันย่อมเป็นหายนะที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้น หมู่บ้านจินซางคงต้องเผชิญกับการล่มสลาย…
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ช่างสูงส่งนัก ในขณะที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ เป็นเพียงแค่มดปลวก เต๋าแห่งสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม! ข้าเกลียดตัวเองเหลือเกินที่เกิดมาอ่อนแอ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับคนอื่น เจ็บใจ! เจ็บใจนัก!” เซวียหมิงระบายความอัดอั้นผ่านลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาหอบร่างหลังค่อมที่ผอมแห้งของตนเองเดินจากไป
ทว่าตอนนั้นชายชราไม่ได้สังเกตเลยว่าขณะที่ตนกำลังเดินกลับ แสงประหลาดหนึ่งพลันฉายวาบขึ้นบนผนังของหอคอยยันต์อักขระซึ่งอยู่ด้านหลัง