บทที่ 825 กระแสจิตอันน่าประหวั่น
บทที่ 825 กระแสจิตอันน่าประหวั่น
ท่ามกลางม่านราตรีที่ดำสนิทดั่งสีหมึก หอคอยยันต์อักขระที่สูงกว่าหกสิบจั้งได้ปลดปล่อยแสงสว่างทั่วฟ้า เหมือนประกายทองขนาดเล็กที่ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน เป็นภาพที่ดูงดงามตระการตายิ่ง
บรรดาชาวบ้านต่างดีใจถึงขนาดออกมาเต้นรำด้วยความยินดี
ขณะที่ผู้อาวุโสเซวียหมิงร้องไห้ด้วยเสียงขมขื่น เขาแหงนมองฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่ได้พูดอะไร
เฉินซีถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ นี่แลหนาคือปุถุชนคนธรรมดา หากมีหวังให้ได้เอาชีวิตรอดเท่านั้นก็พอใจแล้ว
ขณะเดียวกัน เฉินซีได้เหลือบมองป้ายหยกที่เหยาลู่เวยทิ้งไว้ในมือ จากนั้นก็เดินทางออกจากหมู่บ้านจินซางเงียบ ๆ อย่างไม่ลังเล
หลังจากซ่อมแซมหอคอยยันต์อักขระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลังธรรมเทพสามร้อยดวงพลันสว่างขึ้นบนแผ่นป้ายธรรมเทพของเขา เมื่อรวมกับพลังธรรมเทพที่สะสมมาก่อนหน้านี้ มันก็มีมากกว่าสามร้อยยี่สิบดวงเข้าไปแล้ว มากพอให้เข้าเมืองเมืองนกนางแอ่นแดงได้
อีกทั้งชายหนุ่มยังไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของหมู่บ้านจินซาง เพราะหลังจากซ่อมแซม หอคอยยันต์อักขระก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน หากไม่ถูกการโจมตีจากเซียนสวรรค์ซัดใส่แล้ว อีกสิบปีก็ไม่มีใครสะท้านมันได้ รากฐานมั่นคงไปอีกร้อยปีเลยทีเดียว!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถช่วยหมู่บ้านจินซางได้ และเมื่อเขาทำสำเร็จในตอนนี้ มันก็ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว!
ตุบ!
เมื่อทุกคนรู้ว่าเฉินซีกำลังจะไปแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายต่างคุกเข่าลงพร้อมกันภายใต้การนำของผู้อาวุโสเซวียหมิง คำนับให้ชายหนุ่มสามครั้งด้วยความซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่สีหน้าเผยแววจริงจังและจริงใจออกมา
พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา เกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ แก่ชราที่นี่ ชั่วชีวิตไม่อาจรู้ว่าเหนือฟ้าไปจะมีเทพเจ้าอยู่จริงหรือไม่
แต่ตอนนี้สถานะเฉินซีในใจของพวกชาวบ้านไม่ได้แตกต่างกับเทพเจ้าองค์หนึ่ง!
พวกเขารู้สึกซาบซึ้งต่อชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง และจะไม่ลืมสิ่งที่เขาช่วยเหลือหมู่บ้านจินซางไปชั่วชีวิต
ฝนแสงสีทองโปรยปรายลงมาจากทั่วฟ้า ในขณะที่หอคอยยันต์อักขระซึ่งตั้งตระหง่านมานานนับปีได้ส่องประกายด้วยแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ มันปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านจินซางและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ภายในนั้น
หากหอคอยยันต์อักขระมีจิตวิญญาณขึ้นมา ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นคำขอบคุณสำหรับชายหนุ่มที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของมันกระมัง?
…
บนที่ราบรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่งมีเพียงความเปล่าเปลี่ยวเข้าปกคลุมพื้นที่ มันเต็มไปด้วยพื้นหินสีน้ำตาลแดงและหุบเขาสูงชันน่ากลัวทั้งยังแห้งแล้ง ลมแรงหวีดหวิว พัดพาทรายบนพื้นฟุ้งกระจาย คล้ายซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง
หลังเขาเดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว ภาพทิวทัศน์ในป่าก็เป็นเช่นนี้ มันทั้งเยือกเย็น อ้างว้าง เหมือนเส้นทางแห่งความตาย พื้นดินทั่วทิศถูกสัตว์อสูรจักรวาลเหยียบย่ำจนแทบจำของเดิมไม่ได้
เฉินซีเหินร่างมาถึงที่นี่เหมือนลำแสงเส้นหนึ่ง เขาเดินทางเพียงลำพังและมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปยังสุดฟ้าไกล
และด้วยความที่ชายหนุ่มไม่ได้ถูกพลังแห่งหอคอยยันต์อักขระล้อมกายไว้ เขาจึงสัมผัสท้องฟ้าเหนือศีรษะได้อย่างชัดเจน มันไม่ได้มีสิ่งใดขวางกั้นจากห้วงอวกาศเลย หากมีอุกกาบาตตกลงมาก็คงร่วงลงถึงพื้นโดยไร้อุปสรรคใด
ไม่ได้ว่าสัตว์อสูรจักรวาลรุกล้ำพิภพยันต์อักขระด้วยวิธีการนี้กระมัง?
เฉินซีราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์
หลังจากเหินร่างมาเกือบเค่อหนึ่ง ร่างกายก็หยุดชะงักเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
เบื้องล่างคือลำธารที่ปกคลุมไปด้วยหินขรุขระกระจายตัวอยู่ทั่ว เฉินซีจึงบินเข้าไปตรงลำธารและตรวจดูรอบข้างว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น จิตสัมผัสเทพของชายหนุ่มก็ตรวจพบเงาดำขนาดเล็กที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าไกล
เงาดำนี้ไม่สูงนัก มันอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทจึงไม่อาจเห็นร่างได้ชัดเจน ดูจากรูปร่างแล้วคล้ายจะเป็นมนุษย์ แต่เมื่อจิตสัมผัสเทพของเฉินซีสัมผัสบุคคลประหลาดผู้นั้น ก็เหมือนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ทันที และก้มมองมายังทิศที่เขาอยู่!
เฉินซีจึงดึงจิตสัมผัสเทพกลับตามสัญชาตญาณ และด้วยความรู้สึกกลัว เขาจึงดึงกลิ่นอายทั้งหมดกลับคืน พร้อมทั้งโคจรวิชาลึกล้ำเพื่อปิดบังกลิ่นอาย อุณหภูมิ แม้กระทั่งจิตสัมผัสทั้งหลายเพื่อให้ร่างกายเป็นเหมือนหินก้อนหนึ่ง
ทันทีที่เพิ่งจะทำทุกกระบวนการเสร็จ กระแสจิตอันกว้างขวางของอีกฝ่ายก็พุ่งผ่านเขาไปทันที!
กระแสจิตสายนี้น่ากลัวและเยือกเย็นอย่างยิ่ง ทำให้เฉินซีรู้สึกเหมือนร่วงลงไปในเหวไร้ก้น เขาไม่อาจต่อกรได้เลย และทำให้แทบหยุดหายใจอย่างไม่รู้ตัว
ในใจของเขารู้สึกเพียงว่าหากกระแสจิตสายนั้นค้นพบเขา ตัวเขาต้องไม่รอดแน่!
เฉินซีพยายามปิดกั้นจิตของตนเองเข้ามาภายในร่าง พยายามตั้งจิตให้สงบไม่เจือมลทิน ทว่าลางร้ายที่รู้สึกภายในใจกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับว่าหากผ่อนคลายลงอีกนิด เขาก็จะร่วงลงสู่เหวลึกและไม่อาจตื่นขึ้นได้อีก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร กระแสจิตอันน่าสะพรึงกลัวเหมือนคลื่นน้ำใหญ่และความรู้สึกสิ้นหวังเหมือนร่วงสู่เหวทมิฬจึงค่อย ๆ หายไป
เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำและถูกช่วยขึ้นมาได้ เฉินซีหอบแฮ่กขณะสูดอากาศเข้าร่าง ความกลัวในจิตใจค่อย ๆ คลายลงและกลับคืนสู่ความสงบหลังจากใช้เวลาอยู่นาน
น่ากลัวจริง!
มันเป็นกระแสจิตที่มีแต่ผู้อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์หรือแข็งแกร่งกว่านั้นเท่านั้นที่จะสามารถมีได้!
เฉินซีทั้งตกใจและตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้เจอตัวตนอันน่าเกรงขามท่ามกลางพื้นที่รกร้างในพิภพยันต์อักขระเข้า อีกฝ่ายเกือบทำลายดวงจิตแห่งเต๋าอันมั่นคงที่เขากลั่นเกลาด้วยเลือดและการต่อสู้มานมนานด้วยกระแสจิตเพียงคราเดียวไปแล้ว ความแข็งแกร่งเช่นนั้นแทบจะเหนือกว่าเซียนสวรรค์ด้วยซ้ำ!
‘คนในชุดดำต้องมีฝีมือแกร่งกล้ายิ่งแน่นอน แต่เหตุใดคนเช่นนั้นถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดนพิภพยันต์อักขระได้? หรือจะเป็นสัตว์อสูรจักรวาล?’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แต่เขากลับไม่อาจหาบทสรุปได้
ดูท่าเขาจะต้องระวังตัวให้มากขึ้นเมื่ออยู่ในพิภพยันต์อักขระเสียแล้ว… เฉินซีไม่กล้าเสียเวลาเอง รีบมุ่งหน้าออกไปทันที
…
ภายในเรือนหลังเล็กที่สวยงามและแยกตัวออกมาเป็นอิสระในนครหลวงสี่จักรพรรดิ
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมนุ่มสีทองที่กลัดไว้บนศีรษะ พร้อมด้วยท่าทางงดงามกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง มันเป็นโต๊ะตัวสีแดงเข้ม ซึ่งสร้างมาจากไม้ปะการังชั้นหนึ่งอายุกว่าหมื่นปี
มีที่แขวนพู่กันทำจากหยกเขียวตั้งอยู่บนโต๊ะ พู่กันมากมายแขวนเรียงรายอยู่ อีกด้านคือตราสีทองและป้ายหยกที่ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ห้องอันงดงามนี้ทั้งสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง และแทบไร้การตกแต่งใด มีเพียงคัมภีร์ม้วนเดียวที่ห้อยลงมาจากผนังข้างกายหญิงสาวเป็นเครื่องประดับ โดยบนนั้นมีคำเขียนไว้ว่า ‘ก้าวไปอย่างกล้าหาญ’
รอยหมึกตามตัวอักษรซึมเข้าไปในกระดาษ เป็นลายเส้นที่ทรงพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทุกเส้นตรงที่ขีดขวางล้วนแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ดั่งมีกระบี่คมนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากม้วนคัมภีร์นั้น
บรรยากาศภายในห้องนิ่งสนิท เหลียงปิงนั่งหลังตรง ป้ายหยกที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งอยู่ตรงหน้า เบื้องหน้านางเหลือเพียงป้ายหยกแผ่นหนึ่งที่โถงอันดับที่เก้าเพิ่งส่งมาวันนี้วางอยู่
นางมีผิวเนียนนุ่มสีขาวกระจ่าง บนหน้าผากเป็นประกายระยับ อีกทั้งหญิงสาวยังมีนัยน์ตาสะอาดบริสุทธิ์ ริมฝีปากแดง เป็นความงามสง่าทว่าก็เย็นชาในเวลาเดียวกัน ที่หว่างคิ้วแฝงด้วยแววสงบสุข ในขณะที่ท่าทางในวันนี้ของนางดูเยือกเย็นกว่าปกติเล็กน้อย
นางเอื้อมมือไปหยิบป้ายหยกที่ส่งมาจากโถงอันดับที่เก้า ก่อนหยิบขึ้นอ่านด้วยสายตาไร้ความสนใจ
โถงอันดับที่เก้าจะคอยส่งป้ายหยกแผ่นใหม่ที่บันทึกทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในทุกหมู่บ้าน ทุกเมือง ทุกมณฑล แล้วส่งมาให้นางทุกสองสามวัน ถึงขนาดมีข้อมูลจากในเมืองหลวงรวมอยู่ด้วย
ยิ่งช่วงที่ผ่านมานี้มีผู้บ่มเพาะจากโลกอื่นที่เดินทางเข้ามาในพิภพยันต์อักขระเป็นจำนวนมากขึ้นเกือบร้อยเท่ากว่าแต่ก่อน ดังนั้นจึงมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ล้วนเป็นเรื่องเล็กสำหรับเหลียงปิง ไม่คุ้มค่าให้นางมาสนใจ อีกทั้งหญิงสาวยังมีเรื่องให้ต้องกังวลเยอะเกินไป นางจึงไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย
ทว่าทันใดนั้นก็มีชื่อหนึ่งวาดเข้ามาในแนวสายตา…
‘เฉินซี’
เหลียงปิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะตั้งสมาธิได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากเย้ายวนก็ปรากฏวงโค้งเล็ก ๆ คล้ายกับผู้เป็นเจ้าของกำลังตกอยู่ในภวังค์ พู่ทองแห่งความโกลาหลหรือ? เขาไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
เป็นตอนนั้นเองที่มีคนมาเคาะประตู จากนั้นผู้ดูแลหน้าประตูก็แจ้งชื่อผู้ที่ต้องการเข้าพบ
เหลียงปิงวางป้ายหยกที่จัดการแล้วเงียบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายเยือกเย็นเกินหยั่งดั่งองค์ราชินีอีกครั้ง โดยไม่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเองแต่อย่างไร
“ว่ามา” นางมองชายชราที่เข้ามาด้วยท่าทางให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง แล้วจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“คุณหนูใหญ่ คุณชายรองตระกูลหลัว…” ชายชราเอ่ยคำ ทว่ายังไม่ทันจบประโยคก็ถูกนางขัดขึ้นว่า “เจ้าเสเพลนั่นยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดชั่วร้ายอีกหรือไร?” เป็นน้ำเสียงที่เผยแววรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
ชายชราพยักหน้าแล้วดูลังเล “แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม หลัวจื่อเซวียนขู่ว่าเขาจะลงมือหากคุณหนูใหญ่ยังไม่คิดตัดสินใจ”
คิ้วงามดั่งหมึกวาดของเหลียงปิงขมวดเข้าด้วยกัน “จำเป็นต้องรายงานคำขู่ไร้สาระเช่นนี้ให้ข้าฟังด้วยหรือ?”
ชายชราสะดุ้งไปทั้งตัว จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ข้าต้องรายงานขอรับ ช่วงนี้ผู้อาวุโสในตระกูลสังเกตว่ามียอดฝีมือจากโลกภายนอกเข้ามาในพิภพยันต์อักขระเป็นจำนวนมาก และมีหลายคนที่…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ชายชราพลันกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยกมือชี้ขึ้นไปข้างบน
เหลียงปิงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ น้ำเสียงจึงแฝงด้วยจิตสังหาร “ก็แค่พวกตัวเล็กตัวน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวไม่แน่ไม่นอนในภพเซียน คิดฉวยโอกาสเมื่อคราวสามภพใกล้เกิดวิบัติมาปล้นชิงพิภพยันต์อักขระ ไม่คิดสนใจผลที่ตามมาเลยจริง ๆ”
ชายชราได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นถามขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ เราควร…ลงมือหรือไม่ขอรับ?”
เหลียงปิงยกมือขึ้นกอดอกตามความเคยชิน เวลาครุ่นคิดนางจะทำท่านี้ และเป็นเช่นนี้มานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นท่าทางที่คล้ายกับสืบทอดต่อกันมา
หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน นางจึงได้ส่ายหัวในที่สุด “ไม่จำเป็น ยิ่งน้ำขุ่นก็ยิ่งดี พวกนั้นอยากได้ของภายในเจดีย์ต้าเหยี่ยนหรือ? หึ! ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกมันจะรอดชีวิตจนได้ของมาหรือเปล่า”
ชายชราได้ยินจึงคิดจะออกไป “หากคุณหนูใหญ่ไม่มีคำสั่งอื่นใดแล้ว…”
เหลียงปิงขัดขึ้นอีกครั้ง “ช่วยข้าจับตาดูคนสักหน่อย เขาชื่อเฉินซี ตอนนี้เจ้าตัวคงไปถึงเมืองนกนางแอ่นแดงแล้ว อย่าให้เขารู้ตัวได้ ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมดกลับมาก็พอ”
ชายชราติดตามข้างกายเหลียงปิงมานาน จึงรู้วิธีการทำงานของนางเป็นอย่างดี นั่นคือเมื่อหญิงสาวตัดสินใจทำสิ่งใด นางจะแน่วแน่ยิ่งนัก!
ชายชราจึงรับคำสั่งมาเงียบ ๆ จากนั้นถอยออกมาด้วยท่าทางเคารพ
‘อาหลีต้องปิดบังตัวตนและแอบเข้ามาในพิภพยันต์อักขระเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่คิดว่าข้าไม่รู้ตัวตนของเจ้าหรือไร? ในเมื่อข้าเคยช่วยเจ้าในอดีต พอยามนี้เกิดปัญหาเล็กน้อยขึ้น ให้เจ้าช่วยสักหน่อยคงได้…’ เหลียงปิงนั่งลงหน้าโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง แล้วหยิบแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลของหมู่บ้านจินซางขึ้นมา จากนั้นก็นึกย้อนถึงชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งที่เก็บตัวเงียบและมีท่าทีสุขุมผู้นั้น