บทที่ 830 ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ
บทที่ 830 ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ
หลิงชิงโม่
นี่คือชื่อของหญิงสาวคนก่อนหน้านี้แน่นอน
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางแผ่นป้ายธรรมเทพกลับคืนยังที่ที่เขาพบ การสูญเสียแผ่นป้ายธรรมเทพในพิภพยันต์อักขระเปรียบได้กับการสูญเสียความสามารถในการอยู่รอด ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถทำอันใดในพิภพยันต์อักขระได้อีกเลย
เขาเชื่อว่าสาวน้อยขี้หลงขี้ลืมผู้ดูงดงามบริสุทธิ์อ่อนโยน ทว่าแท้จริงกลับฉุนเฉียวง่ายผู้นั้นจะต้องย้อนกลับมาแน่นอน
ครู่ถัดมา เฉินซีหยุดความคิดลง เขาหยิบพู่กันยันต์อักขระสีเขียวขึ้นมาหมุนเล่นอยู่สองสามรอบ ก่อนจะบรรจงวาดลงบนม่านแสงผังอักขระยันต์
หลิงชิงโม่รู้สึกหดหู่…หดหู่ยิ่ง! นางพยายามซ่อมแซมม่านแสงผังอักขระยันต์ที่ชำรุดนี่มาแปดสิบเก้าครั้งแล้ว ทว่ากลับไม่มีครั้งใดที่ทำสำเร็จ ทำเอานางไม่อาจจะเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง!
การบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระของนางเรียกได้ว่าไม่เลวร้ายนัก แต่มันก็ยังไม่พอ! หญิงสาวขบริมฝีปากสีชมพูระเรื่อด้วยหงุดหงิดใจ นางแทบจะถูกจัดให้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระอันดับต้น ๆ ด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังคลุกคลีอยู่กับเต๋าแห่งยันต์อักขระมาตั้งแต่เด็กและมีพรสวรรค์ติดตัว ทั้งยังได้รับการชื่นชมจากบรรดาปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระมากมาย
หญิงสาวเดินวนไปมาอยู่ที่หน้าห้องโถงใหญ่ ท้ายที่สุด นางเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองมีฝีมือจริง ๆ หรือไม่
“น่าสมเพชชะมัด!” หลิงชิงโม่กัดฟันกรอด
“ชิงโม่ เจ้าได้รับพลังธรรมเทพกี่ดวงแล้ว” ขณะที่นางกำลังเดินครุ่นคิดไปมา เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านข้าง ครั้นมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นก็คือพี่ชายของนาง หลิงชิงซานที่กำลังส่งยิ้มมาให้
“พลังธรรมเทพ? เหอะ อย่าไปพูดถึงมันเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้แม้แต่ดวงเดียว!” หลิงชิงโม่เม้มปากด้วยความขุ่นเคือง ไม่นาน นางจึงนึกถึงบางสิ่งออก เดี๋ยวสิ! แผ่นป้ายธรรมเทพของข้าล่ะ!
วูบ!
เพียงชั่วพริบตา นางก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วดั่งลมกระโชก
ห้องโถงอันโอ่อ่าเต็มไปด้วยฝูงชน โดยภายในนั้นประกอบด้วยปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระอยู่ประมาณหลักพันต้น ๆ เนื่องจากหลายคนรู้แล้วว่าพวกเขาสามารถรวบรวมพลังธรรมเทพจำนวนมากได้จากที่แห่งนี้ พร้อมทั้งยังสามารถบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระได้ในขณะเดียวกัน
ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แผ่นป้ายธรรมเทพอันเป็นส่วนสำคัญในการได้รับพลังธรรมเทพ
ส่วนการซ่อมแซมโครงสร้างของม่านแสงผังอักขระยันต์ ผู้ที่ต้องการซ่อมแซมจะต้องวางแผ่นป้ายธรรมเทพไว้บนม่านแสง ด้วยวิธีนี้ พลังธรรมเทพที่ได้รับจากความสำเร็จในการซ่อมแซมผังอักขระยันต์จะถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้หากคนก่อนหน้านี้ไม่ได้นำแผ่นป้ายธรรมเทพออกจากม่านแสง ซึ่งถ้าคนที่เข้ามาตามหลังได้ใช้มัน ผลลัพธ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อยากจะคาดคิด
อย่างไรก็ตาม จำนวนปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระในห้องโถงนี้ก็มีมากเกินไป พวกเขาเดินเข้าออกกันไปมาแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นหากมีผู้ใดทำแผ่นป้ายธรรมเทพของตนหายไป ก็แทบไม่มีความหวังในการติดตามเอาคืน
หลิงชิงโม่เร่งฝีเท้าอย่างกระวนกระวาย ภาพที่นางเห็นก็คือสหายเต๋าที่พบก่อนหน้านี้กำลังใช้แผ่นป้ายธรรมเทพของนางขณะกำลังซ่อมแซมผังอักขระยันต์บนม่านแสงอย่างพิถีพิถัน
ไม่เพียงเท่านั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับม่านแสงบนผังอักขระยันต์ที่ว่าก็เป็นส่วนที่นางพยายามแก้ไขเท่าไรก็ทำไม่ได้!
หญิงสาวไม่มีโอกาสแม้แต่จะตะโกนออกไปเมื่อเห็นว่าผังอักขระยันต์ซึ่งปราศจากความเสียหายปรากฏขึ้นบนม่านแสง มันส่องสว่างวาบประหนึ่งกำลังหายใจอยู่!
‘เขาทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?’ หลิงชิงโม่ตกตะลึง ผังอักขระยันต์ที่ไร้ความเสียหายกำลังกะพริบบนม่านแสงว่าปรมาจารย์ยันต์อักขระได้จัดการกับผังอักขระยันต์ที่ได้รับความเสียหายเรียบร้อยแล้ว พูดง่าย ๆ คือมันเป็นเสมือนการแจ้งเตือนถึงความสำเร็จ
นี่ข้าออกไปจากที่นี่นานแค่ไหน? สิบอึดใจ? หรือยี่สิบอึดใจ?
หญิงสาวสูดหายใจเข้าจนสุดปอด นางออกมาไม่เกินสามสิบอึดใจแน่นอน!
ทั้ง ๆ ที่นางพยายามซ่อมแซมผังอักขระยันต์มากถึงแปดสิบเก้าครั้ง แต่ก็ต้องประสบเพียงความล้มเหลว ในขณะที่สหายผู้นี้ ‘จัดการ’ ทุกอย่างได้ภายในเพียงสามสิบอึดใจอย่างนั้นหรือ?
หลิงชิงโม่กำมือแน่น ความเจ็บปวดยามเล็บจิกลงบนฝ่ามือย้ำเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความฝัน ในหัวของนางมีเพียงความมึนงง ลืมความตั้งใจที่จะตรงเข้าไปชิงแผ่นป้ายธรรมเทพคืนมาจนสิ้น
นางจับตามองอีกครั้ง หมายจะเห็นยามคนผู้นี้ซ่อมแซ่มผังอักขระยันต์อื่น ๆ ด้วย อย่างน้อย นางก็ใคร่รู้ว่าเขาจะน่าเกรงขามเพียงไหน
ทว่าหญิงสาวก็ต้องผิดหวัง สหายเต๋าผู้นั้นหยิบแผ่นป้ายธรรมเทพขึ้นมาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดพลังธรรมเทพของข้าไม่เพิ่มขึ้น? มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ…”
หลิงชิงโม่พูดไม่ออก หรือเขาจะไม่รู้ว่าตราบใดที่ไม่ได้วางแผ่นป้ายธรรมเทพบนม่านแสง เขาก็จะไม่มีทางได้รับพลังธรรม?!
สวรรค์!
ทำไมเขาถึงโง่เง่าได้เพียงนั้น?
นี่เขาเชี่ยวชาญเต๋าแห่งยันต์อักขระจริง ๆ หรือ?
หลิงชิงโม่นึกสงสัยในสิ่งที่นางได้พบเห็น สหายผู้นี้เป็นคนซ่อมผังอักขระยันต์จริง ๆ น่ะหรือ? ทว่าเมื่อนางมองไปรอบ ๆ ก็รับรู้ได้ว่าสหายคนนี้อยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่นางจะออกไป
“แปลกจริง หรือว่าการซ่อมผังอักขระยันต์อันเดียวไม่เพียงพอจะทำให้พลังธรรมเทพของข้าเพิ่มขึ้น?”
หลิงชิงโม่อดไม่ได้จะถาม “พี่ชาย ท่านมาที่ห้องโถงใหญ่ผังยันต์อักขระครั้งแรกหรือ”
เฉินซีหันกลับไปตามเสียง เมื่อเห็นหลิงชิงโม่ที่จ้องมองมาทั้งตากลมโต เขาก็พยักหน้า “ใช่ ข้ามาที่นี่ครั้งแรก”
เขาพูดพลางยื่นมือออกไปหยิบแผ่นป้ายธรรมเทพที่ถูกวางอยู่ตรงมุมม่านแสงและส่งให้นาง “นี่ เจ้าลืมสิ่งนี้ไว้ก่อนที่จะออกไป คราวหน้าอย่าทำตัวขี้หลงขี้ลืมอีกเล่า”
“ใครบอกท่านว่าข้าขี้หลงขี้ลืม!” หลิงชิงโม่ย่นจมูกน้อย ๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับ นางพบว่าที่แผ่นป้ายธรรมเทพของตนมีพลังธรรมเทพเพิ่มขึ้นมาสองดวงจริง ๆ!
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แปลกไป “นี่ไม่มีผู้ใดบอกท่านถึงวิธีการได้รับพลังธรรมเทพระหว่างที่มาที่นี่เลยหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะส่ายหัว จริงอยู่ที่เถิงหลานเป็นผู้พาเข้ามาที่นี่ ทว่าอีกฝ่ายก็ถูกพาตัวออกไปก่อนจะมีโอกาสได้บอกทุกสิ่งแก่เขา
หญิงสาวจึงทั้งขำทั้งอ้ำอึ้งกับท่าทางแสนสับสนของเฉินซี ก่อนที่นางจะรีบแนะนำและอธิบายทุกสิ่งให้เขาฟัง
เฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ให้ข้าลองอีกครั้ง”
ขณะพูด ชายหนุ่มก็ได้วางแผ่นป้ายธรรมเทพลงบนม่านแสงและเลือกผังอักขระยันต์ สายตาคมกริบพินิจมองไปยังเบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบพู่กันยันต์อักขระสีเขียวขึ้นมาในขณะที่วาดและซ่อมแซมบนม่านแสง
หลิงชิงโม่ยังคงจำผังอักขระยันต์นี้ได้ โครงสร้างของมันมีความซับซ้อนมาก ความยากของมันนั้นยิ่งกว่าผังอักขระยันต์ที่นางเลือกไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก ตอนนั้นเพียงแค่ได้เห็น นางก็ถึงกับยอมแพ้ทันที
เหตุผลน่ะหรือ ง่ายมาก! ระดับการบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระของนางนั้นอยู่ในจุดที่ไม่สามารถแยกแยะโครงสร้างของยันต์อักขระนี้ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการลงมือซ่อมแซม
ในตอนนั้น ครั้นนางเห็นเฉินซีพิจารณามันเพียงแค่ครู่เดียวก่อนจะเริ่มลงมือ ดวงตาของหญิงสาวก็พลันเบิกกว้างด้วยเกรงว่าตนจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป
นางสงสัยเหลือเกิน สหายผู้นี้ยังดูหนุ่มอยู่มาก เขาจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้ชำนาญเต๋าแห่งยันต์อักขระได้จริง ๆ น่ะหรือ?
ขวับ! ขวับ!
ท่าทางของเฉินซีสงบนิ่ง ข้อมือขวาสะบัดพลิ้วอย่างว่องไวราวไร้ซึ่งกระดูก พู่กันยันต์อักขระสีเขียวภายใต้การควบคุมของเขา เคลื่อนไหวไปมาประหนึ่งกระบี่ที่ถูกตวัดอย่างเฉียบคม เสกสร้างยันต์อักขระที่งดงามและทรงพลังให้ปรากฏขึ้นบนม่านแสง
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดมาก่อน ทุกท่วงท่านั้นดูง่ายดายทว่าเปี่ยมไปด้วยความสลักเสลา นุ่มนวล คล้ายว่าภาพแห่งความสำเร็จกำลังจะปรากฏสู่สายตาของผู้คน
‘ช่างเป็นความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวนัก แม้แต่อักขระยันต์ก็ละเอียดลออและล้ำลึก…’ หลิงชิงโม่คล้ายจะตกอยู่ในมนต์สะกด นัยน์ตาใสสะท้อนใบหน้าด้านข้างของเฉินซีชัดกระจ่าง โครงหน้าซึ่งห่างไกลกับคำว่ารูปงามได้เผยเสน่ห์อันมากล้นยามที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง
ตอนนั้นเอง หญิงสาวเกิดสับสนอยู่ในใจเล็กน้อย ชายหนุ่มตรงหน้านางนี้ดูแล้วก็ไม่ได้แก่กว่านางมากนัก ทว่าท่าทางของเขาทำให้นางรู้สึกว่าระดับการบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระของอีกฝ่ายนั้นช่างสูงส่งและห่างไกลจากนางลิบลับ
หลิงชิงโม่มองไม่เห็นความไร้เดียงสาหรือความสดใสของเขาอีกต่อไป จริงอยู่ที่ท่าทางของเขาไม่ได้ดูซับซ้อนเฉกเช่นคนในวัยเดียวกัน ทว่ามันกลับเปี่ยมไปด้วยความสุขุมและสงบนิ่ง อันเป็นลักษณะที่เกินกว่าคนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจะมีได้
รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มไม่ได้จัดว่าหล่อเหลาเลิศล้ำ มองไปแล้วก็เหมือนเด็กหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงธรรมดาผู้หนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ย่อมหาได้เป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งสิ้น
กระนั้น รูปลักษณ์ที่ไม่ดึงดูดสายตานี้กลับพลันเปล่งประกาย เฉินซีมีสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้าขณะที่ข้อมือเคลื่อนไหวอย่างอิสระ นับเป็นภาพที่สามารถทำให้ผู้คนจดจำเขาได้อย่างแม่นยำในฐานะ…ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ!
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจ แสงสว่างพลันปรากฏขึ้นเมื่อผังอักขระยันต์ถูกซ่อมจนเสร็จสมบูรณ์ มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดับไป
ผังอักขระยันต์ซ่อมสำเร็จไปอีกหนึ่ง!
มันเสร็จสมบูรณ์ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ!
จู่ ๆ หลิงชิงโม่ก็หลุดจากภวังค์ นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความรู้สึกตื่นเต้นที่ก่อตัวในใจ “นี่ท่าน…ท่านคงไม่ใช่ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระใช่หรือไม่”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็อาจเป็นเช่นนั้น”
เขาไม่ได้แยแสกับเรื่องยิบย่อยอย่างชื่อเรียก สมญานาม หรืออะไรทั้งสิ้น เฉินซีก้มหน้าลงเพื่อตรวจสอบแผ่นป้ายธรรมเทพของตน ค่าพลังธรรมเทพขยับเพิ่มขึ้นมาอีกสามดวง
สิ่งนี้ทำให้เขายินดี เสียงความคิดดังขึ้นภายในจิตใจ ‘หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะได้รับพลังธรรมเทพประมาณสองร้อยดวงในเวลาแค่ครึ่งชั่วยาม ภายในหนึ่งวัน ข้าก็น่าจะรวบรวมได้ทั้งหมดประมาณสี่พันดวง บางที ข้าอาจจะสามารถรวบรวมพลังเทพได้เพียงพอที่จะเดินทางเข้าไปในมณฑลจักรพรรดิตะวันออกในเวลาไม่ถึงสิบวัน!’
“เดี๋ยวสิ!” หลิงชิงโม่โบกไม้โบกมือเรียวขาวของนาง พลางตะโกนเสียงตื่น “ก็แค่ยอมรับว่าท่านเป็นปราชญ์ยันต์อักขระ มันไม่ได้ทำให้คนอื่นตายหรอกน่า!”
เฉินซีชะงัก เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าการแสดงออกของหญิงสาวจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะทำให้นางระงับความตกใจไว้ไม่อยู่
เสียงตะโกนของหญิงสาวดังกังวาน จนดึงดูดความสนใจจากปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับท่าทางที่ไร้มารยาทเช่นนี้ของนาง
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าหญิงสาวยกยอชายหนุ่มข้าง ๆ ว่าเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ พวกเขาพลันแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมาอย่างชัดเจน เด็กสมัยนี้ช่างโม้เหม็นเสียจริง!
ความไม่พอใจนี้ส่งผลให้ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระบางคนไม่อาจนิ่งเฉย พวกเขาอยากจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่เด็กทั้งสองคนนี้เสียหน่อย
สถานการณ์เบื้องหน้าทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะปวดหัว
“เฉินซี มากับข้าที ข้ามีบางอย่างที่ต้องบอกเจ้า” เถิงหลานปรากฏตัวได้ทันเวลาพอดี สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงจังสมกับคิ้วที่ขมวดแน่น
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว เขาสัมผัสได้ราง ๆ ว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบหยิบแผ่นป้ายธรรมเทพของตนขึ้นมาทันที ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามการนำทางของเถิงหลานไป
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป! ข้ายังไม่รู้นามของท่านเลย” หลิงชิงโม่ตะโกนไล่หลัง ทว่าเสียงของชายชราผู้หนึ่งกลับหยุดนางไว้ไม่ให้วิ่งตาม
“ชิงโม่ เจ้ารู้จักเฉินซีด้วยหรือ?” ชายชราผมขาวโพลนผู้นั้นคือนักพรตเต๋าหลิง
“ท่านปู่ นั่นคือปราชญ์ยันต์อักขระที่ซ่อนเร้นความสามารถของตนเลยนะ ท่านหยุดข้าทำไมกัน!?” หลิงชิงโม่เบะปาก ดวงหน้าที่ดูงดงามบอบบางสะท้อนความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน นางขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ถูกผู้เป็นปู่ขัดจังหวะ
“ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆ!” นักพรตเต๋าหลิงตกตะลึง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าวิธีที่หลานสาวใช้เรียกเจ้าหนุ่มนั่นช่างน่าขบขันเหลือเกิน