บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 833 ถอนรากถอนโคน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 833 ถอนรากถอนโคน

บทที่ 833 ถอนรากถอนโคน

พายุฝนฟ้าคะนองกำลังโหมกระหน่ำ สายฟ้าที่พร่างพราวและเปล่งประกายกำลังซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง เสมือนประตูนรกได้ถูกเปิดออก และตั้งใจที่จะกลืนทุกคนที่อยู่ข้างหน้ามัน

อสรพิษหวาดกลัวจนหนังศีรษะชาไปหมด ในช่วงความเป็นความตายเช่นนี้ เขาคำรามอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายพลุ่งพล่านด้วยมวลพลังปราณเซียนและเลือด ซึ่งทำลายพายุฝนฟ้าคะนองตรงหน้าโดยตรง ทว่าเจ้าตัวก็แทบจะไม่อาจหลบหนีได้เลย

“เจ้าไม่ต้องการสมบัติอมตะแล้วหรือ? จะรีบหนีทำไมกัน” เสียงของเฉินซีดังก้องอยู่บนท้องฟ้า

การหลบหนีเป็นเรื่องที่น่าอายมากสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี โดยเฉพาะเมื่อพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของชายหนุ่มขอบเขตสถิตกายา มันทำให้อสรพิษรู้สึกละอายใจมากขึ้น แต่เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยของเฉินซีในตอนนี้ เจ้าตัวกลับไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการขุดหลุมเพื่อเอาหน้าซุกเข้าไป

เพราะอย่างไรเสียชีวิตของเขาก็สำคัญที่สุด! ในขณะนี้อสรพิษยุ่งอยู่กับการหลบหนี และไม่สามารถสนใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้

“ไอ้สารเลวน้อย ในอนาคตข้าจะทรมานเจ้าอย่างแน่นอน อย่าหวังว่าจะได้อยู่สบายเลย!” อสรพิษคำรามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแค้นใจและความโกรธ

ครืน! โครม!

วังวนพายุอัสนีที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ได้พุ่งขึ้นและฉีกทำลายท้องฟ้าทั้งหมด ในขณะที่เปล่งแสงอันพร่างพราวและเจิดจรัส ซึ่งในสายตาของทุกคนในเมืองนกนางแอ่นแดง มันเป็นประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์ของเต๋าแห่งสวรรค์ได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งทั้งน่าตกใจและมโหฬาร!

แต่ในสายตาของอสรพิษ มันกลับเหมือนสายฟ้าแห่งการพิพากษาที่กำลังจะทำลายเขา ดวงตาของอสรพิษจึงแทบจะเหลือกถลน ในขณะที่ตัวคนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และเผาผลาญแก่นแท้ในร่างกายเพื่อเร่งความเร็วในการหลบหนี

เขามาอย่างเย่อหยิ่งและแสดงท่าทางที่เหนือชั้นกว่า ทั้งยังใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเฉินซีและเวิ่นเทียนเซี่ยว เหมือนแมวหยอกหนู แต่ตอนนี้อสรพิษกำลังหลบหนีอย่างสุนัขที่หางตก และมันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างแท้จริง!

เลือดไหลจากทั่วทั้งร่างของอสรพิษ ขณะที่เขาหลบหนีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จนในที่สุดก็รอดพ้นมาได้ ทว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังนั้นดุร้ายยิ่ง และได้ซัดกระแสวังวนพายุอัสนีออกมาอีกครา ทำให้โลกสว่างไสวราวกับว่ามีมหาสมุทรวังวนพายุอัสนีอยู่เต็มท้องฟ้า

สายฟ้าพวกนี้กว้างใหญ่เกินไป พวกมันทะยานออกไปในแนวนอน ทำให้อสรพิษไม่สามารถหลีกเลี่ยงพวกมันได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะขยับหลบแล้วก็ตาม

วูบ!

ในที่สุด ผู้เป็นอริก็ไม่อาจรอดพ้นจากหายนะได้ จึงลงเอยด้วยร่างกายของอีกฝ่ายจมลงไปในวังวนพายุอัสนี

โผละ!

เสียงระเบิดดังก้อง ในขณะที่ร่างกายของอสรพิษถูกบดขยี้เป็นฟองเลือด และเสียชีวิตไป

เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องโหยหวนก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยซ้ำ และนี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การต่อสู้นี้น่ากลัวเพียงใด

ฝนเลือดโปรยปรายเต็มท้องฟ้า

“หากไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องเร่งด่วน เจ้าคงไม่ตายง่าย ๆ อย่างแน่นอน…” เฉินซีส่ายศีรษะ ขณะที่เขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าแหวนเก็บของที่อสรพิษเหลือไว้หลังจากการตายของอีกฝ่าย จากนั้นร่างของชายหนุ่มก็วูบวาบและหายลับไปในท้องฟ้า

เพียะ! เพียะ! เพียะ!

เสียงตบที่กึกก้องดังกังวาน เวิ่นเทียนเซี่ยวกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ในขณะที่มือของเขาเหมือนกับหน้าไม้กลที่ตบหน้าศัตรูบนพื้นอย่างรุนแรง และเขาก็ตบด้วยความยินดีอย่างยิ่งเสียด้วย

แล้วเวิ่นเทียนเซี่ยวยังตบท้ายด้วยการก่นด่าอย่างดุเดือดว่า “ไอ้สารเลว! จงหยิ่งผยองต่อไปเถอะ!! พวกเจ้าทุกคนแส่หาเรื่องเอง…”

ศพจำนวนมากกองเกลื่อนกลาดอยู่ในแอ่งเลือดรอบ ๆ ตัวชายหนุ่ม และพวกเขาก็ตายอย่างอนาถยิ่ง

เช่นเดียวกับที่เวิ่นเทียนเซี่ยวสัญญากับเฉินซีก่อนหน้านี้ เจ้าตัวได้ทำลายผู้ใต้บังคับบัญชาของอสรพิษทั้งหมดแล้ว และด้วยความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งของเขา การฆ่าเศษขยะเหล่านี้จึงง่ายดายเหมือนการเป่าฝุ่น

แต่เขายังไม่คลายโทสะ เวิ่นเทียนเซี่ยวจึงปล่อยพวกมันรอดชีวิตไว้หนึ่งคน เพื่อระบายความโกรธแค้นในใจ

วูบ!

ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในจุดนั้นและทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง แต่เมื่อเพ่งสายตาและสังเกตว่าเป็นเฉินซี เวิ่นเทียนเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความยินดี “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว หนีกันเถอะ!”

ในขณะที่กล่าว เวิ่นเทียนเซี่ยวได้กระทืบคู่ต่อสู้ที่ถูกตบจนหมดสติบนพื้นจนตาย และยังตั้งท่าจะพุ่งออกไปด้วยความตั้งใจที่จะหลบหนี

“เหตุใดถึงต้องหนีด้วย?” เฉินซีตกตะลึง

“แม้ว่าอสรพิษจะตายไปแล้ว แต่พวกมันก็ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากมาย หากเราถูกพวกมันตามติด นั่นย่อมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเรา” เวิ่นเทียนเซี่ยวกล่าวอย่างเร่งรีบ

สิ่งที่เขากล่าวนั้นถูกต้อง เพราะอสรพิษเป็นเพียงหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์ของกลุ่มวิญญาณทมิฬแห่งเมืองนกนางแอ่นแดง ซึ่งหลังจากที่พวกเขาฆ่าอีกฝ่ายไปแล้ว มันย่อมดึงดูดผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ของกลุ่มวิญญาณทมิฬให้ตามล่าอย่างแน่นอน

นี่เป็นความจริงที่เด่นชัด ยิ่งกว่านั้น เวิ่นเทียนเซี่ยวก็รู้โดยไม่ต้องคิดว่า สมาชิกของกลุ่มวิญญาณทมิฬอาจกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาแล้ว หลังจากได้ยินความวุ่นวายที่นี่

“ไม่จำเป็นต้องหนี พวกเราจะบุกเข้าไปในฐานของกลุ่มวิญญาณทมิฬ และกวาดล้างมันให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้มีภัยคุกคามอีกต่อไป” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทางสงบ

“ฆ่าล้างบางกลุ่มวิญญาณทมิฬ? ทำลายล้างมัน?” ใบหน้าของเวิ่นเทียนเซี่ยวแข็งค้าง ในขณะที่เท้าที่เพิ่งก้าวออกไปไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป เขารู้สึกว่าตนเองนั้นกล้าหาญพอตัว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะดุดันยิ่งกว่า จนถึงขนาดตั้งใจจะโจมตีฐานทัพใหญ่ของพวกมันโดยตรง!

“อันใดกัน? นี่เจ้ากลัวหรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม

จู่ ๆ เวิ่นเทียนเซี่ยวก็หายตกใจ และกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “ข้าจะกลัวบ้าอะไร ข้าแค่รู้สึก…รู้สึก…” ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะลังเล ถึงอย่างไร …เรื่องนี้มันบ้าเกินไปจริง ๆ และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้พวกเขาเสียชีวิตได้!

“ทั้งที่เจ้าสูญเสียพลังธรรมเทพไปแปดพันดวง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฐานทัพของพวกมันอยู่ที่ใด?” เฉินซีโบกมือเพื่อขัดจังหวะเวิ่นเทียนเซี่ยว

เวิ่นเทียนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะเขินอาย เมื่อได้ยินเฉินซีกล่าวถึงเรื่องน่าขายหน้านี้ จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันว่า “ตกลง ข้าจะบุกไปกับเจ้าและฆ่าล้างบางพวกมันให้หมด!”

การต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับอสรพิษได้ดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะทุกคนในเมืองนกนางแอ่นแดงมาตั้งนานแล้ว ดังนั้น หลังจากที่เขาออกจากลานพร้อมกับเวิ่นเทียนเซี่ยว ชายหนุ่มจึงสังเกตเห็นทันทีว่าถนนรอบ ๆ เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะที่มีสีหน้าประหลาดใจและงุนงง ซึ่งกำลังจ้องมองมายังพวกเขา

ทว่าเฉินซีไม่สนใจคนพวกนั้น ในขณะที่เขายื่นมือออกไปเพื่อจับเวิ่นเทียนเซี่ยว จากนั้นชายหนุ่มจึงใช้ปีกนภาดารกะ ทำให้ตัวคนหายลับไปราวกับแสงที่เคลื่อนย้ายผ่านมิติ ก่อนที่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ใกล้เคียงจะมองเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

แต่เฉินซีเองก็รู้ดีว่าการกระทำเหล่านี้สามารถปกปิดตัวตนของเขาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ตัวตนของเขากับเวิ่นเทียนเซี่ยวจะต้องลอยแว่วไปถึงหูของกลุ่มวิญญาณทมิฬอย่างแน่นอน

ดังนั้นการทำลายล้างกลุ่มวิญญาณทมิฬให้สิ้นซาก ก่อนที่พวกมันจะรู้เรื่องราวทุกอย่างนั้น จะทำให้เฉินซีมีโอกาสได้อยู่อย่างสงบสุขนานขึ้น

“เจ้าไปพนันกับพวกเขาได้อย่างไร” เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นระหว่างทาง

เวิ่นเทียนเซี่ยวหดหู่ใจทันทีที่กล่าวถึงเรื่องนี้ และเขาก็ถอนหายใจ “สหายของเหยาลู่เวยแนะนำให้ข้ารู้จักกับพวกมัน ข้าไปเล่นเพราะรู้สึกเบื่อ แต่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะแพ้เร็วขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าพวกมันกำลังรวมหัวเพื่อหลอกลวงข้า”

“เหยาลู่เวย?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “นางอยู่ที่ใด”

“ใครจะรู้? หญิงสาวคนนั้นเจ้าเล่ห์เกินไป ข้าเลยไม่อยากอยู่กับนางตลอดเวลา” เวิ่นเทียนเซี่ยวกล่าวด้วยความโกรธ

“เจ้าเล่ห์เกินไป?”

เฉินซีดูจะคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ดีที่นางไม่ได้อยู่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุดนางก็จะได้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรา”

“ยุ่งเกี่ยวหรือ?” เวิ่นเทียนเซี่ยวรู้สึกประหลาดใจ และเขาก็จับความรู้สึกผิดปกติในคำกล่าวเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

“ถูกต้อง กลุ่มวิญญาณทมิฬนั่นไม่ได้น่ากลัว แต่ผู้อยู่เบื้องหลังของพวกมันคือตระกูลหลัว” เฉินซีกล่าว

เพราะเขาคำนึงถึงตระกูลหลัวก่อนหน้านี้ ทำให้ต้องยั้งมือในขณะที่ต่อสู้กับอสรพิษ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มได้ฆ่าอสรพิษไปแล้ว และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตระกูลหลัวจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา

“ตระกูลหลัว!” เวิ่นเทียนเซี่ยวตกตะลึง จากนั้นเขาก็ร้องออกมา “ไม่ใช่ว่าตระกูลหลัวเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของพิภพยันต์อักขระหรอกหรือ?”

เฉินซีพยักหน้าและเข้าใจทันทีว่าคงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง เพราะชายหนุ่มสามารถแยกแยะได้จากปฏิกิริยาของสหายคนนี้ ว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลัวอยู่ก่อนแล้ว

“ในเมื่อกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มวิญญาณทมิฬคือตระกูลหลัว ถ้าอย่างนั้น…เจ้ายังตั้งใจจะทำเช่นนี้อยู่หรือไม่?” เวิ่นเทียนเซี่ยวหายใจเข้าลึก ๆ และระงับความตกใจขณะถาม

“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเรา” เฉินซีกล่าว

“ใช่แล้ว พวกเรา!” เวิ่นเทียนเซี่ยวพยักหน้าอย่างหนักแน่น สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึมและจริงจังอย่างหาได้ยาก

ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยตนเอง เฉินซีก็คงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากเขาเปิดเผยความกลัวในตอนนี้ ตัวเขาก็คงขี้ขลาดเกินไป!

ณ พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองนกนางแอ่นแดง

ถนนและตรอกซอกซอยที่นี่หนาแน่นเหมือนใยแมงมุม และสภาพทางภูมิศาสตร์ก็ซับซ้อนมาก ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมืองของพิภพยันต์อักขระ หรือผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอบางส่วนจะมาอาศัยอยู่ที่นี่

เมื่อวิเคราะห์ความสามารถของผู้บ่มเพาะในพิภพยันต์อักขระ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะ แต่เป็นพลังธรรมเทพของผู้บ่มเพาะ และสิ่งนี้มีหลักการในตัวมันเอง เพราะผู้ที่ทรงพลังย่อมได้รับพลังธรรมเทพมากมาย

แต่หากใครไม่ได้รับพลังธรรมเทพ แม้แต่การเอาชีวิตรอดก็เป็นปัญหา ดังนั้นจึงได้แต่ลดระดับของตนเองลง และอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน กอปรกับมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนัก

เวิ่นเทียนเซี่ยวพาเฉินซีเดินผ่านถนนและตรอกซอกซอยที่แคบ ยาว และมืดมากมาย พวกเขาเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อย ๆ ก่อนจะมาถึงพื้นที่ที่ค่อนข้างโล่งกว้างในที่สุด

“มันอยู่ข้างหน้า แม้จะดูทรุดโทรม แต่ฐานทัพของกลุ่มวิญญาณทมิฬก็โอ่อ่าและงดงามมาก มันถูกสร้างอยู่ใต้ดินจนเป็นเหมือนเมืองใต้ดิน” เวิ่นเทียนเซี่ยวชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลซึ่งปกคลุมไปด้วยเศษซากปรักหักพังขนาดใหญ่ เขาขบฟันและกล่าวว่า “วันนั้นเหยาลู่เวยพาข้ามาที่นี่ มิฉะนั้นใครจะไปรู้ว่าสถานที่อันเลวร้ายนี้ แท้จริงแล้วซ่อนตำหนักอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องล่าง?”

“ไปกันเถอะ” เฉินซีชำเลืองมองอีกฝ่าย และกล่าวอย่างรวบรัดก่อนจะทะยานมุ่งไป

แต่ไม่ทันไร ชายหนุ่มก็พลันหยุดกึก ดวงตาของเขาหรี่ลง ในขณะที่ความตกใจวาบอยู่ภายในใจ “เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่?”

ร่างสูงยืนอยู่บนซากปรักหักพังที่อยู่ไกลออกไป รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายดูธรรมดา เขาสวมเสื้อผ้าสีเขียวและรองเท้าสีขาว ทุกย่างก้าวดำเนินไปอย่างสงบและไม่แยแส คนผู้นั้นคือเถิงหลานนั่นเอง!

ดูเหมือนว่าเขาจะรออยู่ที่นี่มานานแล้ว อีกฝ่ายแย้มยิ้มเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว “ตั้งแต่เกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างเจ้าทั้งสองกับกลุ่มวิญญาณทมิฬ ข้าก็รู้ว่าเจ้าทั้งคู่จะต้องมาที่นี่แน่นอน”

เฉินซีประหลาดใจ จากนั้นจมูกของเขาก็กระตุกในขณะที่ยิ้มเนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากซากปรักหักพัง ก่อนที่จิตสัมผัสเทพของชายหนุ่มจะแผ่ขยายออกไป ทำให้เขาได้เห็นเข้ากับภาพอันน่าสยดสยองในทันที!

มีพื้นที่กว้างมากอยู่ใต้พื้นดินของซากปรักหักพังราวสองลี้ ซึ่งมีศาลา ภูเขาเทียม ลำธารที่ไหลเอื่อย และทุกสิ่งที่คาดว่าจะพบ มันเหมือนกับตำหนักที่โอ่อ่าและงดงาม

แต่ทั่วทั้งตำหนักในเวลานี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยซากศพ ในขณะที่เลือดไหลลงสู่แม่น้ำและชิ้นส่วนแขนขาขาดกระจายไปทั่ว มันย้อมพื้นดินจนเป็นสีแดงเข้มน่ากลัว ทำให้ดูเหมือนกับนรกอเวจีอย่างไรอย่างนั้น

“นี่…” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและงุนงง

“หากไม่ถอนรากถอนโคน ปัญหาในอนาคตก็จะตามมาไม่มีสิ้นสุด” เถิงหลานยังคงสงบในขณะที่เขายิ้มอย่างอบอุ่น “ตั้งแต่เกิดการต่อสู้ขึ้น ปัญหาที่อาจเกิดในอนาคตทั้งหมด จะต้องถูกกำจัด”

หัวใจของชายหนุ่มพลันหนาวเหน็บเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เขาพบว่าตนเองคล้ายจะมองข้ามตัวตนที่แท้จริงของเถิงหลานมาตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งหรือตำแหน่งของคนผู้นี้

ยิ่งเป็นเช่นนี้ เถิงหลานก็ยิ่งลึกลับและน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น คนผู้นี้ไม่ใช่ตัวแทนธรรมดา ๆ ของโถงอันดับที่เก้าอย่างแน่นอน!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท