บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 834 ผู้สืบทอดของจักรพรรดิตะวันออก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 834 ผู้สืบทอดของจักรพรรดิตะวันออก

บทที่ 834 ผู้สืบทอดของจักรพรรดิตะวันออก

รูปลักษณ์ของเถิงหลานนั้นธรรมดาเสียเหลือเกิน ธรรมดาจนไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชายผู้มีท่าทางอบอุ่นและสำรวมคนนี้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยากหยั่งถึง

เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างแท้จริง!

ซากศพหลายพันศพในตำหนักใต้ดินที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังหนึ่งพันห้าร้อยลี้ และเลือดที่ไหลลงสู่แม่น้ำ บรรดาศพเหล่านี้ย่อมไม่ขาดยอดฝีมือที่ทรงพลัง และมีสี่ศพในหมู่พวกเขาที่ยังปกคลุมด้วยปราณเซียน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มีอิทธิฤทธิ์สั่งลมสั่งฟ้าก่อนที่จะสิ้นชีพ

และตามการคาดเดาของเฉินซี การต่อสู้ระหว่างพวกเขากับกลุ่มของอสรพิษก่อนหน้านี้กินเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา จากนั้นพวกเขาก็รีบรุดมาที่ซากปรักหักพังนี้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เถิงหลานได้กวาดล้างทุกคนในฐานทัพใหญ่ของกลุ่มวิญญาณทมิฬในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ซึ่งรวมถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสี่คนในหมู่พวกเขาด้วย!

“นั่น…นั่นคงไม่ใช่ศพของหัวหน้ากลุ่มวิญญาณทมิฬ ฟ้าทมิฬ และผู้พิทักษ์อีกสามคนกระมัง? ในตอนนี้ เวิ่นเทียนเซี่ยวเองก็สังเกตเห็นฉากอันน่าสยดสยองที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังเช่นกัน เจ้าตัวพลันอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ ในขณะที่กล่าวด้วยความหวาดกลัว

เถิงหลานยิ้มและยอมรับโดยปริยาย

สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของเวิ่นเทียนเซี่ยวสั่นสะท้าน จนเผลอมองไปยังเถิงหลานราวกับว่ากำลังจ้องมองสัตว์ประหลาด ยิ่งกว่านั้น สายตาของเขายังเผยถึงความกลัวอย่างสุดซึ้ง!

“ไปกันเถอะ หัวหน้าโจรถูกกำจัดไปแล้ว ในขณะที่สมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มวิญญาณทมิฬที่กระจายอยู่ทั่วเมืองนกนางแอ่นแดงนั้นไม่มีอะไรน่ากล่าวถึง พวกมันเป็นดั่งฝูงลิงที่แตกฮือเมื่อไม้ใหญ่ล้ม พวกมันจะไม่สร้างปัญหาให้เจ้าอีกต่อไป” เถิงหลานก้าวไปข้างหน้า และมองมาทางเฉินซีขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยในเจตนาของข้า อันที่จริง แม้แต่ข้าก็ยังเกรงกลัวกองกำลังของตระกูลหลัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครต่อต้านกองกำลังของพวกเขาได้ ส่วนเหตุผล… เจ้าน่าจะเดาได้อยู่แล้ว”

เฉินซีคาดเดาสิ่งต่าง ๆ มากมายได้ทันที และชื่อหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเขาเมื่อเถิงหลานกล่าวจบ… เหลียงปิง!

หญิงสาวคนนั้นที่แต่งตัวแปลก ๆ มีเสน่ห์แต่เย็นชา การกระทำอันเด็ดเดี่ยวของนางทำให้ชายหนุ่มประทับใจไม่น้อย และรู้สึกว่านางต้องไม่ใช่คนธรรมดาตั้งแต่พวกเขาเพิ่งพบกันครั้งแรก

นางสามารถเป็นสหายกับศิษย์พี่หลียางได้

นางสามารถใช้สมบัติอมตะระดับจักรวาลเพื่อท่องไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

นางสามารถเฆี่ยนตีสัตว์อสูรจักรวาลที่น่ากลัวยิ่งกว่าเซียนสวรรค์ให้ตายได้ด้วยแส้ของนางเพียงครั้งเดียว

นางสามารถนำพาเขาเข้าสู่พิภพยันต์อักขระและตัวเมืองได้อย่างไม่เกรงกลัวและไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด ๆ

นอกจากนี้ นางยังได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและนับถือในฐานะ ‘คุณหนูใหญ่’ โดยตัวแทนทั้งหมดของโถงอันดับที่เก้า

เมื่อรวมเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน ก็ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า หญิงสาวที่มีนามว่าเหลียงปิงคนนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!

ด้วยการแสดงฝีมือของเถิงหลานในตอนนี้ ทำให้เขาสามารถคาดเดาความเป็นไปได้ในที่สุด และเหลียงปิงน่าจะเป็นคนของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่!

ยิ่งกว่านั้น นางยังน่าจะเป็นสมาชิกที่มีความแข็งแกร่งและสถานะที่สูงส่งจนน่าตกใจ!

มีเพียงตัวตนดังกล่าวเท่านั้น ที่สามารถสั่งการผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ทรงพลังแต่เก็บงำฝีมืออย่างเถิงหลานได้ และมีเพียงตัวตนดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับตระกูลหลัวที่ทรงพลังได้

เถิงหลานเดินนำหน้าพวกเขาออกไปจากซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ แต่ท่าทีของเขาที่มีต่อเฉินซีและเวิ่นเทียนเซี่ยวก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือทำตัวเป็นเหมือนบริวารที่ไม่เย่อหยิ่ง ถ่อมตน และไม่ทำตัวให้เป็นที่สนใจ โดยจะคอยตอบทุกคำถามของพวกเขาด้วยท่าทางอบอุ่น สำรวม และสุภาพ

แต่เฉินซีกับเวิ่นเทียนเซี่ยวไม่กล้ามองเขาเป็นบริวารอีกต่อไป

ถึงขนาดที่เวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นเหมือนกับกระต่ายน้อยตื่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเถิงหลาน และสายตาของเขาก็ดูหวาดกลัว จนไม่กล้าแสดงท่าทางหยิ่งยโสและหยาบคายอีกต่อไป

เมื่อรูปลักษณ์ดังกล่าวปรากฏกับศิษย์ผู้หยิ่งยโสและเอาแต่ใจอย่างมากผู้นี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่าขบขัน แต่มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเถิงหลานนั่นมีผลต่อเวิ่นเทียนเซี่ยวมากเพียงใด

ระหว่างทาง เฉินซีชำเลืองมองเถิงหลานซึ่งเป็นผู้นำทางข้างหน้า และอดไม่ได้ที่จะกล่าวผ่านกระแสปราณไปหาเวิ่นเทียนเซี่ยว “ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ของพิภพยันต์อักขระ นอกจากตระกูลหลัวแล้ว อีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือคือตระกูลใดบ้าง?”

ไม่ใช่ความผิดเฉินซีที่จะไม่รู้เรื่อง เขาเป็นผู้มาใหม่ของพิภพยันต์อักขระ และเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มยังไม่ทราบกฎของพิภพยันต์อักขระเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะมีเวลาสนใจยักษ์ใหญ่อย่างสี่ตระกูลใหญ่

เนื่องจากเถิงหลานอยู่ด้วย เวิ่นเทียนเซี่ยวจึงไม่มีอารมณ์จะล้อเล่น เขาเพียงแค่เหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ ตระกูลอิน และตระกูลหลัว มีผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงพลังอย่างยิ่งได้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางบรรพบุรุษของแต่ละตระกูลเหล่านี้ และพวกเขาได้ร่วมกันสร้างพิภพยันต์อักขระขึ้นมา”

ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ แต่เขาก็ยังคงสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก “จักรพรรดิตะวันออกไท่เจิน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ บรรพบุรุษอสูรหลัวซาง… ดูเหมือนจะว่าไม่มีแซ่เหลียงกับกู่…”

เขายังกล่าวไม่ทันจบดี เวิ่นเทียนเซี่ยวก็ขัดจังหวะเขาด้วยเสียงราบเรียบ “ชื่อของจักรพรรดิตะวันออกคือไท่เจิน แซ่ของเขาคือเหลียง ส่วนจักรพรรดิแห่งความมืดมีชื่อว่าหยวนสวิน ส่วนแซ่ของเขาคือกู่! เฮ้อ เฉินซี เจ้าอย่าทำเป็นโง่งมได้หรือไม่? มันจะทำให้ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังปั่นหัวข้าอยู่ และข้าก็ไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น…”

“จักรพรรดิตะวันออกเหลียงไท่เจิน!”

ทันใดนั้น เขาก็ยืนยันตัวตนของเหลียงปิงได้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นสมาชิกของตระกูลเหลียง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน!

….

ณ ห้องโถงอันดับที่เก้า

กระแสของผู้คนมากมายต่างเข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดกำลังสนทนาเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในวันนี้ โดยต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่า ใครคือยอดฝีมือสองคนที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า และพวกเขาไม่ได้สังเกตว่าเถิงหลาน เฉินซี รวมถึงเวิ่นเทียนเซี่ยวที่ผ่านพวกเขาไปคือผู้ชนะคนสุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้

ภายในโถงอันดับที่เก้ามีโลกของตัวเองอยู่ และเถิงหลานก็จัดห้องพักที่ดีที่สุดสำหรับเฉินซีกับเวิ่นเทียนเซี่ยว

เถิงหลานได้กำชับก่อนที่เขาจะจากไป “หากเจ้ารวบรวมพลังธรรมเทพได้ภายในสามเดือนจะเป็นการดีที่สุด แล้วจงมุ่งหน้าไปยังมณฑลจักรพรรดิตะวันออก ตราบใดที่เจ้าไปถึงที่นั่น แม้แต่กองกำลังของตระกูลหลัวก็จะไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้”

หลังจากนั้น ชายผู้นี้ซึ่งดูจะธรรมดาอย่างที่สุด เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์และอายุที่ไม่อาจแยกแยะได้ ก็หันหลังกลับและจากไป เขาไม่ได้ออกจากโถงอันดับที่เก้า แต่มายังห้องที่ซ่อนอยู่

มีเพียงโต๊ะเดียวและค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติขนาดเล็กที่ประณีตอยู่ภายในห้องนี้

เถิงหลานนั่งอยู่หน้าโต๊ะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่กระดาษสีขาวราวหิมะแล้วเขียนลงไป

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าตัวจึงวางพู่กันและหมึกลง ก่อนที่จะพับกระดาษสีขาวราวกับหิมะอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็วางมันลงในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่อยู่ตรงหน้า ด้วยแสงที่วูบวาบ แผ่นกระดาษพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เถิงหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพึมพำว่า “พลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ แต่ถูกจำกัดด้วยการบ่มเพาะของเขาที่ต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้น เขาก็ยังอ่อนด้อยเกินไปหน่อย ข้าสงสัยว่าคุณหนูคาดหวังกับเขาด้วยมุมมองแบบใดกัน…”

ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องที่ดูโบราณในนครหลวงสี่จักรพรรดิ

เหลียงปิงซึ่งนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะและจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ของตระกูลของนางอยู่ จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้น มือขวาสีขาวหยกและเรียวยาวของนางปัดออกไปกลางอากาศ ก่อนที่กระดาษสีขาวราวกับหิมะที่พับไว้อย่างเรียบร้อย จะร่วงลงมาในฝ่ามือ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ริมฝีปากเย้ายวนสีแดงและชุ่มชื้นของเหลียงปิง ก็อดยิ้มไม่ได้ มันเป็นกระดาษไม่ใช่แผ่นหยก และมีเพียงท่านลุงหลานที่คอยเฝ้าดูนางเติบโตและดูแลนางตั้งแต่ยังเด็กเท่านั้นที่จะเข้าใจความชอบของนางมากที่สุด

“มีอะไรต้องใส่ใจก็แค่การสังหารเศษสวะบางคน แล้วจะเป็นอันใดหากพลังการต่อสู้ของเด็กน้อยคนนั้นจะท้าทายสวรรค์? เพราะในฐานะศิษย์หลานของอาหลี มันคงเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หากเขาไม่สามารถฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามได้… ”เมื่อนางเปิดแผ่นกระดาษและอ่านมัน เหลียงปิงก็ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ นางรู้อย่างแน่ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ถือว่ารุนแรง และลุงหลานของนางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรายงานเรื่องนี้ แต่ที่เขาทำเช่นนี้ก็คงเพราะเขายังกังวลกับการตัดสินใจของนาง

“ตระกูลหลัว…” เหลียงปิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะขณะที่ประคองคางสีขาวราวหิมะของตน นางกำลังครุ่นคิดเงียบ ๆ เป็นเวลานาน ก่อนที่ความเย็นชาและดุร้ายจะฉายวาบอยู่ในดวงตา “เจ้าคิดรวมหัวกับตระกูลอินและตระกูลกู่ เพื่อบีบให้ข้าเหลียงปิงยอมจำนนหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงได้แต่เตรียมของขวัญชิ้นเยี่ยมให้กับเจ้าเสียหน่อย!”

“ในที่สุดข้าก็ฟื้นฟูเป็นปกติ!”

ภายในห้อง ประกายแห่งความสุขฉายอยู่ในดวงตาของเฉินซี ในช่วงเวลาต่อมา ร่างหลักของเขาที่สวมชุดสีเขียวก็มายืนอยู่ตรงหน้า

เมื่อครู่ที่ผ่านมา ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากผ่านมายาวนาน ร่างหลักของเขาที่ปิดด่านบ่มเพาะเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอยู่ภายในโลกแห่งดารา ก็ฟื้นฟูสู่สภาพสูงสุดได้ในที่สุด และขจัดผลข้างเคียงทั้งหมดที่เกิดจากเคล็ดระเบิดสังหารเทวะ

ต่อไป เขาจะปล่อยให้ร่างอวตารเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ เพื่อทำความเข้าใจในพลังอิทธิฤทธิ์ ศาสตร์เต๋า และเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ขณะที่ร่างหลักของเขามีต้นอ่อนเงาทมิฬและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ดังนั้นหากไม่พบกับตัวตนที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่ ความสามารถของเขาก็พอจะรับมือกับสถานการณ์อันตรายต่าง ๆ ในพิภพยันต์อักขระได้…

วูบ!

ในชั่วพริบตาต่อมา ร่างอวตารของชายหนุ่มพลันหายไป

แล้วร่างหลักของเฉินซีกลับนั่งขัดสมาธิแทน และสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง หลังจากนั้นไม่นาน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม เพราะทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม!

เขายืนขึ้นและไม่เสียเวลาอีกต่อไป ทำการผลักประตูและมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ผังยันต์อักขระ

ที่แห่งนั้นยังคงมีผู้คนจำนวนมากอยู่ในห้องโถงใหญ่ผังยันต์อักขระเหมือนเดิม ในขณะที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าม่านแสงผังอักขระยันต์ที่ไหลดุจน้ำตกสีเงิน พวกเขาทั้งหมดต่างขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด บ้างก็เกาศีรษะด้วยความงุนงง หรือกวัดแกว่งพู่กันอย่างกระฉับกระเฉง คนเหล่านี้ดูราวกับคนที่จมอยู่ในโลกของตัวเอง

เฉินซีชอบบรรยากาศแบบนี้มาก ทุกคนต่างไม่รบกวนกันและกัน จดจ่อทำในสิ่งที่ตนชอบ ไม่ว่าลมจะพัดแรงหรือฝนจะตกข้างนอกอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาหวั่นไหว

“คุณชาย…เฉินซี?” ผู้ดูแลหญิงคนสวยรีบเดินเข้ามา แล้วถามด้วยเสียงทุ้มต่ำไม่มั่นใจเล็กน้อย

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่งุนงง “เจ้าจำข้าได้หรือ?”

ผู้ดูแลหญิงดูจะแอบโล่งใจ จากนางก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “หัวหน้าผู้ดูแลได้สั่งกำชับก่อนหน้านี้ว่า ถ้าท่านมาซ่อมแซมผังยันต์อักขระ ให้ข้าพาท่านไปที่ห้องรับรองพิเศษ ที่นั่นเงียบสงบ และท่านไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นรบกวน”

คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น เมื่อเขารู้ว่าสิ่งนี้น่าจะถูกจัดแจงโดยเถิงหลาน และเป้าหมายของอีกฝ่ายก็เรียบง่ายเช่นเดียวกัน ที่แท้เถิงหลานก็ต้องการให้สภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขา เพื่อที่ชายหนุุ่มจะได้พยายามอย่างดีที่สุดในการรวบรวมพลังธรรมเทพให้เพียงพอ

ท้ายที่สุดแล้ว พลังธรรมเทพสามหมื่นดวงก็ไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อยเลย

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“คุณชาย ท่านกรุณาเกินไปแล้ว เซวียนอวิ๋นมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้รับใช้คุณชาย” ผู้ดูแลสาวสวยยิ้มอย่างอ่อนหวาน

นางถูกหัวหน้าผู้ดูแลสั่งซ้ำ ๆ ด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ว่า นางต้องคอยรับใช้เฉินซีอย่างดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มันจึงทำให้นางหวาดกลัวอยู่ในใจลึก ๆ นางรู้สึกว่าในเมื่อเขาสามารถทำให้หัวหน้าผู้ดูแลสนใจได้ ชายหนุ่มคงต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน และชายหนุ่มเหล่านี้มักจะหยิ่งยโสหรือจองหองเกินทน

นางได้พบกับคุณชายหลายคน แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณชายเฉินตรงหน้านางจะอายุน้อยและมีทัศนคติที่ดีเช่นนี้ ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้นางลอบโล่งใจ และอดไม่ได้ที่จะมีความประทับใจที่ดีต่อเขา

ด้วยการนำของเซวียนอวิ๋น เฉินซีจึงได้เดินผ่านโถงผังยันต์อักขระและขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่ถูกตั้งค่าไว้เป็นพิเศษ ด้วยแสงสว่างวาบ ทางเดินที่กว้างและสว่างพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันที

พื้นทางเดินถูกปูด้วยหินหยกสีเขียวที่สะอาดและมันวาว ซึ่งดูราวกับแก้ว ผนังด้านข้างมีโคมไฟแปดเหลี่ยมที่วิจิตรงดงามจำนวนมากแขวนอยู่ พวกมันเปล่งแสงที่นุ่มนวลและสว่างไสวออกมา ยิ่งกว่านั้น อากาศยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นที่ทำให้หัวใจเบิกบานและผ่อนคลาย เพราะแก่นไม้มรกตเย็นหมื่นปีอันประเมินค่าไม่ได้กำลังลุกไหม้อยู่ภายในตะเกียง

จากทางเดินนี้ เฉินซีพลันรับรู้ได้ว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ถือได้ว่าเงียบสงบจริง ๆ

แต่เมื่อเฉินซีเพิ่งเดินเข้าไปในทางเดิน เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาจากภายในทางเดิน และชายหนุ่มก็เป็นตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ “นางมาทำอะไรที่นี่?”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท