บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 843 ผู้สืบทอดสายเลือดเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 843 ผู้สืบทอดสายเลือดเซียน

บทที่ 843 ผู้สืบทอดสายเลือดเซียน

เฉินซีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอันผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทุกคนในบริเวณใกล้เคียง

…เหมือนว่าพวกเขาจะประหลาดใจเล็กน้อย?

ชายหนุ่มเองก็คาดเดาในใจเช่นกันว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับการที่เขาจับมือกับเหลียงปิง กระนั้น ชายหนุ่มก็อดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาจำได้ว่าตอนนั้นเป็นเหลียงปิงที่เสนอจะจับมือกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันด้วยซ้ำ

หรือว่าจริง ๆ แล้วนี่จะไม่ใช่มารยาทการทักทายขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของภพบรรพชน?

เหลียงปิงสังเกตเห็นถึงความสับสนของเฉินซี ทว่านางกลับไม่ได้อธิบายสิ่งใด และพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไปกันเถอะ ข้าได้จัดสถานที่ไว้ให้เจ้าแล้ว”

ขบวนเดินทางที่ทอดยาวกลับสู่เมืองในที่สุด หลังจากที่เขาเดินผ่านประตูเมืองมาพร้อมกับเหลียงปิง เฉินซีจึงพบว่า ภายในมณฑลจักรพรรดิตะวันออกไม่มีหอคอยยันต์อักขระตั้งอยู่เลยสักแห่ง!

เขาพลันนึกถึงคำพูดของเถิงหลาน ทั้งมณฑลจักรพรรดิตะวันออก มณฑลจักรพรรดิแห่งความมืด มณฑลราชินีวิหคอมตะ และมณฑลบรรพบุรุษอสูร มีหน้าที่เป็นแนวคุ้มกันให้กับนครหลวง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่นำไปสู่นครหลวงโดยไม่จำต้องใช้พลังธรรมเทพสำหรับพิสูจน์คุณสมบัติ

สาเหตุที่มณฑลทั้งสี่ไม่ปรากฏคอหอยยันต์อักขระนั้น ก็เป็นเพราะพวกมันได้รับการปกป้องจากเจดีย์ต้าเหยี่ยนในนครหลวง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมณฑลทั้งสี่เป็นเสมือนเมืองรอบนอกของนครหลวง ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจดีย์ต้าเหยี่ยนนั่นเอง!

มณฑลจักรพรรดิตะวันออกเป็นเมืองพำนักหลักของตระกูลเหลียง ที่นี่มีขนาดกว้างใหญ่ประหนึ่งเป็นอีกแคว้นที่แยกตัวออกมา ถนนหนทางที่ทอดยาวล้วนคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน เต็มไปด้วยความเจริญและความเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

จวนจักรพรรดิตะวันออกตั้งอยู่ตรงใจกลางเมืองที่งดงามและกว้างใหญ่

ทันทีที่เดินทางมาถึงจวน เหลียงปิงก็สั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป ก่อนจะพาเฉินซีและเถิงหลานไปยังห้องโถงใหญ่

“ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนที่เจดีย์ต้าเหยี่ยนจะเปิดขึ้น อาหลีกำชับให้ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าร่วม แต่ว่าเจ้าน่าจะยังไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเจดีย์ต้าเหยี่ยนมากพอ เช่นนั้นต่อไปก็ให้ลุงหลานเป็นผู้อธิบายเถอะ” ทันทีที่พวกเขานั่งลง เหลียงปิงก็พูดขึ้นด้วนน้ำเสียงที่หนักแน่น เย็นชา และตรงไปตรงมา

เฉินซีพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดกับเถิงหลานพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

เถิงหลานยิ้ม “มันเป็นหน้าที่ของข้า คุณชายเฉินอย่าได้เกรงใจไป”

เมื่อเหลียงปิงเห็นฉากนี้ นางก็ออกคำสั่งกับคนรับใช้จากด้านนอก ไม่นาน สาวใช้ดวงหน้างดงามพลันเดินเรียงแถวเข้ามาพร้อมกับอาหารเลิศรสและสุราที่ผ่านการปรุงอย่างพร้อมสรรพ

นางยกกาสุราขึ้นก่อนจะเทลงในจอก และส่งให้เฉินซี “ก่อนหน้านี้ข้ามีธุระติดพันมากมาย จึงไม่มีโอกาสได้ต้อนรับเจ้าอย่างเป็นทางการ ดังนั้นข้าขอใช้โอกาสนี้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าก็แล้วกัน”

พูดจบ ริมฝีปากแดงสดพลันคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะดื่มสุราเข้าไปจนหมดจอก

“ขอบคุณแม่นางเหลียงสำหรับการต้อนรับนี้” เฉินซียกจอกขึ้นดื่มจนหมดเช่นกัน

“ฮ่า ๆๆ! ข้าได้ยินมาว่าจวนจักรพรรดิตะวันออกกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มีเกียรติครั้งใหญ่ อาปิง เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมบอกข้าเล่า ทำเช่นนี้ไม่ดีเลย” ชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าปักดิ้นทองเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เขามีดวงหน้างดงาม ดวงตาทั้งสองทอประกายจ้าดุจหมู่ดารา

โดยด้านหลังของคนผู้นี้คือ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่ดูน่าเกรงขามอีกสองคน พวกเขามีดวงตาที่คมกริบและดุร้ายประหนึ่งเหยี่ยว แม้แต่ร่างกายก็ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลังยิ่ง เห็นได้ชัดว่าระดับการบ่มเพาะของคนทั้งคู่อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า!

ทว่าตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งสองกลับเดินตามชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นไม่ต่างข้ารับใช้ สิ่งนี้จึงยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูพิเศษยิ่งกว่าเดิม

ไม่เพียงเท่านั้น คนผู้นี้ยังกล้าเดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ โดยไม่ได้รอให้ผู้ใดเอ่ยปากปฏิเสธหรืออนุญาต เห็นได้ชัดว่าเขาคงมีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“โอ้ ที่แท้ก็คุณชายเฟิง เชิญนั่งก่อนเถิด” เหลียงปิงเงยหน้ามองอีกฝ่ายโดยไม่ได้ลุกขึ้นแสดงความเคารพ แม้กระทั่งสีหน้าของนางก็ยังคงไร้ซึ่งอารมณ์

“เช่นนั้น คงต้องขอรบกวนแล้ว” คุณชายเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะ เขาเลือกที่จะนั่งเก้าอี้ซึ่งถัดลงมาจากตำแหน่งของเหลียงปิงเพื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี

“เฉินซี นี่คือคุณชายเฟิงหลูหยาง เขามาจากเขาแสงประเสริฐแห่งภพเซียน” เหลียงปิงแนะนำ

“ยินดีที่ได้รู้จัก คุณชายเฟิง” เฉินซีจับมือทักทายอีกฝ่าย ขณะที่ในใจตื่นตระหนก ภูเขาแสงประเสริฐแห่งภพเซียนอย่างนั้นหรือ? หรือว่าชายผู้นี้จะเป็นเซียนสวรรค์?

ชายหนุ่มพินิจมองคุณชายเฟิงอย่างละเอียด ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากอีกฝ่ายนั้นแปลกประหลาดยิ่ง บนเรือนกายของชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏปราณเซียนปกคลุมอยู่ แต่มันกลับมีสัมผัสบางอย่างที่ดูจะด้อยกว่าเซียนสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับเซียนปฐพีมากกว่า

“เฟิงหลูหยางสืบสายเลือดมาจากตัวตนสูงล้ำแห่งภพเซียน เนื่องจากเขาถือกำเนิดในภพเซียน เขาจึงสามารถขึ้นไปสู่ภพที่สูงกว่าภพมนุษย์ได้ และตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาก็อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่” เมื่อเห็นว่าเฉินซีมีท่าทางประหลาดใจ เถิงหลางจึงส่งกระแสปราณบอกกับชายหนุ่ม “ภูเขาแสงประเสริฐแห่งภพเซียนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างมากกับตระกูลเหลียง ที่เฟิงหลูหยางมาที่นี่ระหว่างการเปิดเจดีย์ต้าเหยี่ยน ก็คงตั้งใจจะยืมมือของคุณหนูใหญ่เป็นแน่”

เฉินซีเข้าใจทันที เขาไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายซึ่งมาจากภพเซียนถึงได้มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น ที่แท้คนคนนี้ก็สืบเชื้อสายมาจากผู้ยิ่งใหญ่และเกิดในภพเซียน!

เฟิงหลูหยางเหลือบมองที่เฉินซีก่อนจะพูด “โอ้ ที่แท้ก็สหายเต๋าตัวน้อยขอบเขตสถิตกายา ข้าก็คิดว่ายอดบุรุษที่ไหน”

คำพูดนั้นของอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะผ่านกลั่นกรอง มันแฝงไปด้วยความหยาบคายอย่างเห็นได้ชัด

เฉินซีขมวดคิ้ว “ทำให้คุณชายเฟิงผิดหวังแล้ว” น้ำเสียงของเขายังคงเฉยเมย

“ฮ่า ๆๆ! พอดีว่าข้าเป็นคนเปิดเผย คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เสแสร้ง เจ้าเองก็อย่าได้ถือสา ถึงแม้บางครั้งมันจะทำให้เจ็บปวดมากก็ตาม” เฟิงหลูหยางพูดไปหัวเราะไป

เฉินซียิ้ม ไม่ได้ตอบโต้อะไร

จริงอยู่ที่เฟิงหลูหยางมีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดา หากเป็นคนอื่นก็คงจะอกสั่นขวัญแขวนเมื่อรู้ว่าคนคนนี้มาจากภพเซียน ทว่าสำหรับเฉินซีแล้ว สหายเต๋าผู้นี้ก็หาได้ยอดเยี่ยมอันใดไม่

เขาไม่หวั่นเกรงแม้แต่เซียนสวรรค์ตัวจริงอย่างปิงซื่อเทียน แล้วจะนับประสาอะไรกับลูกหลานเซียนที่บรรลุเพียงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่กัน?

ชายหนุ่มไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเฟิงหลูหยางนัก เขาเพียงต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้ เฟิงหลูหยางก็จึงมีท่าทางพึงพอใจยิ่ง เขาไม่ได้สนใจชายหนุ่มอีก แต่กลับจับจ้องไปที่เหลียงปิง “อาปิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหนุ่มจากตระกูลหลัวกำลังรวบรวมผู้คนเพื่อเดินทางมาสู่ขอเจ้าในอีกสองวันข้างหน้า เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?”

เฉินซีชะงัก เขามองไปที่เหลียงปิงพลางพูดกับตัวเอง ‘มีคนจากตระกูลหลัวต้องการสู่ขอนางอย่างนั้นหรือ? หรือจะเป็นหลัวจื่อเซวียนที่เหยาลู่เวยเคยพูดถึง?’

สีหน้าของเหลียงปิงในตอนนั้นยังคงสงบนิ่ง นางยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

เฟิงหลูหยางขมวดคิ้วและตบโต๊ะโดยแรง “บัดซบ! เจ้านั่นมันสมควรตายจริง ๆ แต่อย่าได้กังวลไปอาปิง ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครบังคับเจ้าได้!”

แม้จะได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเหลียงปิงก็ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง นางพยักหน้าก่อนพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณ” น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความขอไปที

ทว่าดูเหมือนเฟิงหลูหยางจะไม่เข้าใจท่าทางของนาง เขามองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มขณะที่พูดขึ้น “อาปิง ระหว่างเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพไป ท่านพ่อของข้าบอกกับข้าเมื่อนานมาแล้วว่าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าด้วยตัวเองเมื่อเจ้ากลับไปที่ภพเซียน อีกอย่าง…”

เหลียงปิงพลันเลิกคิ้ว ขณะที่นางกล่าวขัดจังหวะ “เรื่องอนาคตไว้พูดถึงทีหลังเถอะ”

ใบหน้าของเฟิงหลูหยางพลันแข็งกระด้างไปเมื่อถูกขัดจังหวะ ร่องรอยแห่งโทสะฉายชัดภายในดวงตาคู่นั้น “ช่างเถิด ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าก็พอแล้ว” เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจว่าสหายผู้นี้น่าจะเป็นเหมือนกับหลัวจื่อเซวียน ที่พยายามอย่างหนักเพื่อไล่ตามเหลียงปิง แต่น่าเสียดายที่เหลียงปิงไม่ได้สนใจพวกเขาเลย

“เฉินซี พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะช่วยนำทางเจ้าไปยังที่พัก” หญิงสาวพูดพร้อมกับหยัดกายลุกขึ้น

“ได้ คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” เฉินซีที่เบื่อหน่ายกับท่าทางของเฟิงหลูหยางยืนขึ้น เป็นการตอบรับคำชวนนี้

“อาปิง ก็แค่ที่พักไม่ใช่หรือ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เจ้าให้ข้ารับใช้ไปจัดการก็ได้ เหตุใดเจ้าจะต้องลงมือเองด้วยเล่า?” ท่าทางของเฟิงหลูหยางดูไม่พอใจเล็กน้อย

เขายอมให้หญิงสาวปั่นหัวเขาเล่นได้ แต่จะไม่ยอมให้นางทำดีกับชายอื่นต่อหน้าต่อตาเป็นอันขาด ยิ่งกับผู้ชายที่บรรลุแค่ขอบเขตสถิตกายาด้วยแล้ว อีกฝ่ายมีอะไรดีนักหนาถึงได้ทำให้นางต้องปรนนิบัติเอาใจเขาถึงเพียงนี้?

“ก็แค่เรื่องเล็กน้อย” เสียงไพเราะของเหลียงปิงดังก้องในโสตประสาท และโดยไม่ทันที่เฉินซีจะได้ทำอะไร แขนของเขาก็ถูกหญิงสาวรั้งไว้เสียแล้ว ร่างอันนุ่มนิ่มและอบอุ่นของนางแนบสนิทกับตัวเขาอย่างไม่ได้ตั้งตัว

เฉินซีตกใจ เขาหันไปมองที่ด้านข้าง ภาพตรงหน้านั้นคือเหลียนปิงที่กำลังยืนอยู่ข้างไหล่ นางอิงแอบตัวเองเข้ากับแผ่นหลังของเขา พลางกอดแขนเอาไว้แน่น ราวกับว่าทั้งคู่สนิทสนมกันยิ่ง

รูปร่างที่สมส่วนและเส้นผมสีทองที่เกล้าเป็นมวยของนาง เมื่อกอปรกับรองเท้าหนังคู่วาบวับนั่นแล้ว มันก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูสูงเกือบจะเท่ากับเขา

กลิ่นหอมเย็นจาง ๆ ลอยออกมาจากร่างกายของหญิงสาว ทำให้หัวใจเฉินซีสั่นไหวประหนึ่งมีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล

“ไปกันเถอะ” เสียงกระซิบของเหลียงปิงดังขึ้นที่ข้างหูของชายหนุ่ม ลมหายใจอันหอมกรุ่นทำให้ใบหูเกิดความรู้สึกจักจี้

ซึ่งก็เป็นตอนนั้นเองที่เฉินซีรู้สึกได้ว่าหญิงสาวออกแรงฉุดกระชากเพื่อพาเขาออกมาจากห้องโถงไป

ฉับพลันนั้น ชายหนุ่มจึงเข้าใจว่าเหลียงปิงต้องการอะไร นางหมายจะทำสิ่งนี้เพื่อให้เฟิงหลูหยางเห็นอย่างแน่นอน เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเพื่อดูว่าสีหน้าของเฟิงหลูหยางเป็นอย่างไร และแน่นอนว่า …มันดูไม่ได้อย่างยิ่ง!!

เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะด้วยเสียงขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้ หากสตรีต้องการจะหลีกเร้นจากการตามตื๊อของผู้ชาย วิธีนี้ก็ถือเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดไม่ต้องสงสัย มันสามารถสร้างความสิ้นหวังให้แก่คนผู้นั้นโดยไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

แน่นอนว่า ผลที่ตามมาเฉินซีก็คงถูกเฟิงหลูหยางเกลียดเข้าให้แล้ว…

ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด

เฟิงหลูหยางนั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยหน้าเหวอ ๆ ขณะที่เฝ้าดูเหลียงปิงจากไปพร้อมกับเฉินซี ความอิจฉา เกลียดชัง และโกรธเกรี้ยวผุดขึ้นมาในใจอย่างมิอาจระงับได้

“ผู้อาวุโสเถิงหลาน เจ้าเด็กนั่นเป็นใครกันแน่?” ไม่นาน เจ้าตัวจึงหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มความโกรธแค้นและริษยาที่อยู่ภายในใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเถิงหลาน

“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ” เถิงหลานยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “คุณชายเฟิง ข้ามีเรื่องที่ต้องไปสะสาง โปรดยกโทษที่ข้าไม่สามารถอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนท่านได้”

ทันทีที่พูดจบ เถิงหลานจึงหันหลังและเดินจากไป ทิ้งเฟิงหลูหยางให้นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องโถง และหากไม่นับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่เบื้องหลัง ก็เรียกได้ว่าเขาโดดเดี่ยวยิ่งนักในขณะนี้!

ตึ้ง!

เฟิงหลูหยางไม่อาจระงับไฟแห่งความริษยาที่ก่อตัวขึ้นในใจได้อีก เขาทุบกำปั้นลงที่โต๊ะโดยแรง ส่งผลให้จอกและถ้วยจานที่อยู่ด้านบนแตกกระจาย พร้อมกับเศษไม้ที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ

ใบหน้าของเฟิงหลูหยางกลายเป็นสีแดงก่ำ ปากเอ่ยว่า “เหวินจิว เจ้าจงไปตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กคนนั้นมาให้ข้า …เดี๋ยวนี้!” เขาออกคำสั่งด้วยเสียงลอดผ่านไรฟัน

“ขอรับ” ชายชราที่อยู่ด้านหลังรับคำสั่งเสียงขรึม

“เหวินเผิง เจ้าจงเขียนเทียบเชิญเพื่อเรียกเจ้าเด็กนั่นไปที่ภัตตาคารเมฆามรกตในอีกสามวันให้หลัง …เห็นทีข้าจะต้องสร้างความบันเทิงให้ไอ้คนชั้นต่ำนี่เสียหน่อยแล้ว!” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเฟิงหลูหยางก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าจะทำให้มันได้รับรู้ว่าผู้หญิงที่ข้าเฟิงหลูหยางหมายตานั้น หาใช่คนที่มดปลวกตัวเล็ก ๆ อย่างพวกตัวตนขอบเขตสถิตกายาจะเข้ามาไต่ตอมได้!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท