บทที่ 847 การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย
บทที่ 847 การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย
การเคลื่อนไหวของเฉินซีรวดเร็วยิ่ง เพียงฉู่เซียวเปล่งเสียงร้องออกมา กระบี่เล่มนั้นของเฉินซีก็โผล่ขึ้นกลางอากาศดุจเงา และจ่อตรงไปที่ลำคอของเฉาเหอโดยตรง!
มันกระทั่งทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า เฉาเหอจงใจพาตัวเองไปอยู่ตรงปลายกระบี่
แต่ไม่ว่าจะเป็นฉู่เซียวหรือเฉาเหอ พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ทว่าตอนนี้คนทั้งสองกลับถูกข่มขู่เอาชีวิตโดยตัวตนต้อยต่ำ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่ง
ทุกคนตกใจยิ่ง เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้มาก จึงมองเห็นประกายแสงที่ระยิบระยับบาดตาบนปลายกระบี่ ทะยานเข้าใกล้ลำคออันลุกชันของเฉาเหอ
“นี่…นี่คือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาจะทำได้หรือ!?”
เพียะ!
เฉินพลิกกระบี่ในมือ ทำให้กระบี่ที่เรียบกริบและมีสีดำสนิทฟาดเข้าที่ใบหน้าด้านขวาของเฉาเหออย่างรุนแรงราวกับแส้เหล็ก มันฟาดเขาจนเลือดไหลออกมาจากปากและจมูก ในขณะที่กระดูกของเขาแตกหักเป็นเสี่ยง ๆ ร่างกระเด็นออกจากระเบียงเหมือนว่าวที่ถูกตัดสายป่าน
หากไม่ใช่เพราะหนานซิ่วชงช่วยไว้ได้ทันเวลา ร่างของเฉาเหอคงร่วงลงไปจากระเบียงแล้ว!
เหตุการณ์นี้เหมือนสายฟ้าฟาดที่ทำให้ทุกคนได้สติทันที
ไม่ใช่แค่หนานซิ่วชงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม แม้แต่เฟิงหลูหยางที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังตกใจ ด้วยตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่า ชายคนที่เขาเคยเยาะเย้ยและมองว่าเป็นมดปลวกนั้น ไม่ธรรมดาผิดกับที่เห็นจากภายนอก!
ถึงอย่างไร จะมีใครเคยเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา เอาชนะการโจมตีที่แม่นยำของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีถึงสองคนได้อย่างง่ายดายและหมดจดบ้าง?
ณ ตอนนี้ เฉินซีได้ลุกยืนแล้ว ในขณะที่ดวงตาคมกริบดุจกระบี่กำลังกวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นี่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ใช่แล้ว อย่างที่พวกเจ้าคิด ข้ามันก็แค่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ถ้าคนไร้ชื่อเสียงโกรธขึ้นมา เขาก็คงไม่สนใจว่าใครจะเป็นนายน้อยหรือคุณหนูบ้านใดหรอก”
ความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของชายหนุ่มก็คือ อย่าทำให้ข้าขุ่นเคือง ไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงกลัวที่จะฆ่าใคร!
แม้ว่าทุกคนจะเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่มีใครโง่เขลา ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความหมายอันโหดเหี้ยมในคำพูดเหล่านี้อย่างดี จากนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันใด
“รนหาที่ตาย! ไอ้เด็กบัดซบ! เจ้าไม่เพียงลอบโจมตีข้า แต่ยังกล้ากล่าววาจาหยิ่งยโสอีกหรือ!? มารดามันเถอะ!” ฉู่เซียวคลานกลับขึ้นมาด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือด เขาคำรามอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่กระโจนเข้าใส่เฉินซี
เพราะถูกอีกฝ่ายทุบใส่โต๊ะเหมือนสุนัขตาย แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่ความอัปยศอดสูเช่นนี้ก็ทำให้ฉู่เซียวแทบคลั่งด้วยความโกรธ
ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซีกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย เขาจึงไม่อาจหักห้ามความเกลียดชังในใจได้
เพราะในความคิดของฉู่เซียว ตอนที่เขาถูกกดลงบนโต๊ะเมื่อครู่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ เขาจึงปล่อยให้เฉินซีฉวยโอกาสนี้ได้สำเร็จ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้จริง เฉินซีจะต้องตายอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้พุ่งไปข้างหน้า ฉู่เซียวกลับถูกหนานซิ่วชงหยุดไว้ คนผู้นี้ขมวดคิ้วและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ายังทำให้พวกข้าอับอายไม่พออีกหรือ? ถอยไปซะ!”
การถูกจ้องด้วยสายตาเย็นยะเยือกที่คมดุจปลายมีดของหนานซิ่วชง ทำให้ร่างกายของฉู่เซียวแข็งทื่อไปหมด เจ้าตัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนตัวออกมาอย่างไม่พอใจ
“ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลย อัจฉริยะหนุ่มเช่นเจ้า อาจยืนอยู่บนจุดสูงสุดในภพมนุษย์ แต่ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจว่าความห่างชั้นระหว่างภพเซียนกับภพมนุษย์นั้นกว้างใหญ่เพียงใด” หนานซิ่วชงมองไปที่เฉินซีจากระยะไกล เขาแสร้งทำเป็นไม่แยแส ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทีหยิ่งยโสและเอาแต่ใจก่อนหน้านี้
“ข้าหนานซิ่วชง ศิษย์จากเรือนจรัสทองแห่งภพเซียน วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของหลัวจื่อเซวียนพลันขมวดเข้าหากัน และเขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกเหวินเหรินเยี่ยหยุดไว้ “อย่าได้กังวล หากเขายังจัดการกับเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะจัดการกับเหลียงปิงได้อย่างไร?”
หลัวจื่อเซวียนพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก
เฉินซีมองดูเหตุการณ์นี้อย่างเย็นชา และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ “แล้วหากข้าฆ่าเจ้าโดยไม่ตั้งใจเล่า?”
หนานซิ่วชงตวาดลั่น “ไม่คำนึงว่าจะอยู่หรือตาย!”
พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้นในแนวหน้าของสนามรบ ดังนั้นการเข่นฆ่ากับสัตว์อสูรจักรวาลจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่มักจะชอบจัดการต่อสู้เพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาเมื่อพวกเขาดื่มกิน ซึ่งมันก็เป็นที่ชื่นชอบมากกว่าการร้องรำทำเพลง ดังนั้นจึงมีสังเวียนต่อสู้อยู่บนระเบียงมากมาย
ผู้ดูแลสังเกตเห็นการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นที่นี่มานานแล้ว เขาจึงเปิดใช้งานสังเวียนต่อสู้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลภัตตาคารเมฆามรกตเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งและคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีและหนานซิ่วชงก็เดินเข้าสู่สังเวียนต่อสู้ โดยยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล โดยมีผู้บ่มเพาะมากมายอยู่รอบ ๆ พวกเขาต่างเป็นแขกที่มาทานอาหารที่ภัตตาคารเมฆามรกต ดังนั้นตัวตนของพวกเขาจึงไม่ธรรมดา
ก่อนที่เขาจะขึ้นเวที เหวินเหรินเยี่ยพลันสั่งอย่างไม่แยแส “จบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด”
หนานซิ่วชงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจ ถึงอย่างไร นี่ก็คือมณฑลจักรพรรดิตะวันออก ซึ่งเป็นดินแดนของเหลียงปิง ดังนั้นหากหญิงสาวสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เกรงกลัวนาง แต่มันอาจเกิดตัวแปรมากมายขึ้นแน่นอน
หนานซิ่วชงสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลิ่นอายอันทรงพลังทั่วร่างกายของเขาพลุ่งพล่านดุจระเบิด ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยแสงสีทอง ในขณะที่ตัวคนเปล่งปราณเซียนอันเจิดจ้าและพร่างพราวออกมา ทำให้ทั่วทั้งร่างกายของเขาดูเหมือนจะกลายเป็นเทพสงครามที่สวมชุดเกราะสีทอง ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของหนานซิ่วชงก็เป็นของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี จึงทำให้อากาศโดยรอบเปล่งคลื่นเสียงดังกึกก้องในทันที
ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงต่างตื่นตระหนกทันที การต่อสู้ของตัวตนในขอบเขตเซียนปฐพี! การต่อสู้เช่นนี้หาได้ยาก เพราะตัวตนดังกล่าวสามารถยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของภพมนุษย์ ดังนั้นการมีวาสนาจะได้เห็นการต่อสู้ของตัวตนเช่นนี้ จึงถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง
หนานซิ่วชงพลันตะโกนออกมาว่า “แสงทองเฉือนจักรวาล!”
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเขาเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ในขณะที่มือของเจ้าตัวดูจะเคลือบด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่ส่องประกายแวววาว และยังได้แผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของเต๋า ซึ่งเมื่อกลิ่นอายอันน่าเกรงขามนี้เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด หนานซิ่วชงก็กู่ร้องยาวออกมา ในขณะที่ร่างทะยานออกไป ทำให้เกิดภาพติดตาเป็นแถวยาว กระโจนเข้าใส่เฉินซี!
ครืน!
หมัดของเขาฉีกกระชากท้องฟ้าและทำลายความว่างเปล่า พวกมันเป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีทองสองดวงที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ด้วยแรงผลักดันอันน่ากลัวอย่างยิ่ง
ทว่าหลังจากที่กระโจนเข้าหาเฉินซีได้เพียงครึ่งทาง ร่างของชายหนุ่มก็ได้หายวับไปทันที ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ปราณกระบี่ที่ทรงพลังพลันสะท้อนอยู่ในดวงตาของหนานซิ่วชง และมันได้ฉีกพลังหมัดดังกล่าวโดยตรง ในขณะที่ภาพสะท้อนของคมกระบี่ขยายตัวท่ามกลางสายตาของเจ้าตัว!
ปราณกระบี่ที่ไร้เทียมทานได้โจมตีเข้าใส่ใบหน้าของหนานซิ่วชง ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากสวรรค์ และเสียงที่ดังกึกก้องก็สั่นสะเทือนหูของเขาจนแก้วหูของเขาแทบแตก
หัวใจของหนานซิ่วชงสะท้านอย่างรุนแรง ในขณะที่ม่านตาของเขาหดตัว “เร็วอะไรเช่นนี้! ช่างเป็นปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
แต่ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ ซึ่งบ่มเพาะศาสตร์เต๋าที่ล้ำลึกและเป็นเอกลักษณ์ของภพเซียนตั้งแต่อายุยังน้อย เขาก็พอจะมีทีเด็ดอยู่บ้าง ดังนั้นแม้จะรู้สึกทึ่งกับการโจมตีที่ฟันทะลุท้องฟ้าด้วยกระบี่ของเฉินซี แต่ร่างกายที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างดีก็เปล่งประกายโดยสัญชาตญาณ จากนั้นนิ้วของหนานซิ่วชงก็กางออก ในขณะที่ดาบเซียนสีทองปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา พาดอยู่ที่หน้าอกดุจภูเขา และต้านทานการโจมตีของเฉินซีอย่างแข็งขัน!
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับการปะทะของดวงดาวดังก้องออกไป ในขณะที่แสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขตเปล่งประกาย และหากไม่ใช่เพราะบริเวณโดยรอบของสังเวียนได้รับการปกป้องโดยค่ายกลใหญ่ การโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายภัตตาคารเมฆามรกตทั้งหมด
ร่างของเฉินซีสั่นเล็กน้อย ในขณะที่เขาถอยหลังไปสองสามก้าว
ในขณะที่หนานซิ่วชงกลับอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชยิ่งกว่า อันที่จริง เขาได้ถูกกระแทกด้วยพลังของการโจมตีนี้ จนต้องถ่อยร่นกลับไปกว่าสิบสองฉื่ออย่างควบคุมไม่ได้!
เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังก้องจากบริเวณโดยรอบทันที
แม้แต่นัยน์ตาของเฟิงหลูหยาง ฉู่เซียว เฉาเหอ เหวินเรินเยี่ย และคนอื่น ๆ ก็หดเล็กลง ในขณะที่ความประหลาดใจที่ไม่อาจปกปิดได้ฉายผ่านดวงตาของพวกเขา “เป็นไปได้อย่างไรกัน!? กระบวนท่ากระบี่ของเด็กนั่น ช่างน่าสะพรึงกลัวเสียจริง!”
หนานซิ่วชงรู้สึกราวกับกำลังเห็นดวงดาวหมุนรอบกาย เลือดลมในกายปั่นป่วน ในใจของเขาทั้งโกรธเคืองและตกใจ แต่ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ว่าฉู่เซียวรู้สึกอย่างไรก่อนหน้านี้ เพราะอานุภาพของกระบี่นี้ประหนึ่งทางช้างเผือกที่พุ่งเข้าใส่ และแม้การบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าเฉินซีมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองคงไม่อาจต้านทานมันได้อย่างเต็มที่อยู่ดี!
ฟิ้ว!
ปราณกระบี่อันทรงพลังอีกสายหนึ่งพลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และเฉินซีไม่ต้องการให้หนานซิ่วชงมีโอกาสได้พักหายใจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงติดตามออกไปทันทีที่กระบี่แรกเข้าปะทะ
เช่นเดียวกับตอนที่เฉินซีต่อสู้กับยายเฒ่าพันลักขี เขาได้โคจรพลังการต่อสู้สิบเท่า ควบคู่กับปราณกระบี่รังสรรค์ที่ไม่ธรรมดา ทำให้ชายหนุ่มทรงพลังและมีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้กับศัตรูข้ามขอบเขต!
ปราณกระบี่พุ่งวาบไป ทำให้อากาศถูกฉีกออก เหมือนดั่งสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลเหยียบย่ำเข้ามา จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และเสียงร้องโหยหวนที่บาดหู!
ผู้บ่มเพาะหลายคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบต่างสั่นสะท้านจนจิตใจของพวกเขาหลุดลอยไป เลือดลมของทุกคนปั่นป่วน และสีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดทันที “นี่คือกระบวนท่ากระบี่อันใดกันแน่?”
“ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาจะใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?”
แล้วหนานซิ่วชงจะกล้ารับพลังกระบี่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป ร่างทะยานครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่หนานซิ่วชงหลบหนี เคลื่อนที่ไปมารอบ ๆ สังเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และแทบจะไม่สามารถหลบปราณกระบี่ได้พ้น
แต่โดยยังไม่ทันได้ตั้งตัว เฉินซีกลับปรี่มาถึงดั่งเงา และยันต์ศัสตราก็ฟันลงมาราวกับลำแสงสีขาวที่ทะลุผ่านดวงอาทิตย์!
ตู้ม!
เสียงดังโครมครามอีกครั้ง หนานซิ่วชงถือดาบเซียนไว้ในมือ ทว่ากลับเกือบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ ทำให้ร่างของเขาถูกทุบลงบนพื้นแข็งของสังเวียนโดยตรงเหมือนเสาเข็ม
เฉินซีไม่แสดงสีหน้าใด ๆ และพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ร่างของเขาเป็นเหมือนมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ซึ่งล้อมรอบด้วยวงแหวนแสงศักดิ์สิทธิ์ และยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มก็ปกคล่มด้วยปราณรังสรรค์ที่พลุ่งพล่าน จากนั้นจึงฟันออกไปอย่างดุเดือดในแนวราบเข้าใส่หนานซิ่วชง
พรวด!
แสงสีทองที่ปกคลุมร่างกายของหนานซิ่วชงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่ร่างของเจ้าตัวถูกฟันจนเกิดเป็นรอยแยกที่แคบและยาวบนพื้น ก่อนจะกระอักเลือดออกมาซ้ำ ๆ ขณะที่ร่างไถลไปกับพื้น
หนานซิ่วชงนับว่าประมาทเลินเล่อ แม้จะรู้ดีตั้งแต่เริ่มต้นว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั่วไป แต่หนานซิ่วชงไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และมันเทียบได้กับการท้าทายสวรรค์!
ถึงอย่างไร การบ่มเพาะของหนานซิ่วชงก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ แต่ตอนนี้ตัวเขากลับเป็นเหมือนใบไม้ที่ถูกพายุพัดกระหน่ำ ซึ่งไม่สามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระได้อย่างเต็มที่
ตึก! ตึก! ตึก!
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าราวกับเทพเจ้าที่เดินผ่านท้องฟ้า ทุกย่างก้าวที่เขาเดินนั้นได้ทำให้พื้นด้านล่างแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ชายหนุ่มไล่ล่าหนานซิ่วชงโดยไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย!
เนื่องจากเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย เขาย่อมไม่ยั้งมือ ไม่ต้องกล่าวถึงลูกหลานของผู้ยิ่งใหญ่ในภพเซียน แม้เซียนสวรรค์จะมาถึงที่นี่ เขาก็จะไม่ยั้งมือ!
ถึงอย่างไร เขาก็ยังคงอยู่ในภพมนุษย์ และที่แห่งนี้ก็ถือว่าห่างไกลจากภพเซียนมาก ดังนั้นเว้นแต่ผู้ยิ่งใหญ่ของภพเซียนจะลงมายังภพมนุษย์ได้ มิฉะนั้น มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะห้ามเขา!!!
พื้นที่รอบสังเวียนต่อสู้เงียบสนิท มีเพียงเสียงฝีเท้าของเฉินซีที่กดดันราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่ในหูของทุกคน มันเหมือนกับเสียงกลองของเทพอสูร และทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นคลอนจนรู้สึกหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มเป็นเหมือนเทพอสูร ในขณะที่จู่โจมด้วยกระบี่ในมือ หมายจะสังหารอย่างเด็ดเดี่ยว คิดชำระบัญชีกับศัตรูอย่างไร้ความปรานี!
ในขณะนี้ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเฉินซีได้พวยพุ่งอย่างรุนแรงจนถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาเป็นดั่งลูกธนูทรงพลังซึ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังที่ไม่ย่อท้อ
แต่หากหนานซิ่วชงต้องทนรับการโจมตีครั้งนี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
จู่ ๆ ร่างสีฟ้าพลันแวบผ่านเข้ามาในเวลานี้ จากนั้นฝ่ามือเรียวเล็กสีขาวหยกได้ปรากฏขึ้นในการมองเห็นของเฉินซี มันขยายตัวอย่างรวดเร็วราวกับดอกเทพธิดาที่ผลิบานในสายลม และแฝงไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น
ในขณะนั้นเอง ทัศนวิสัยของเฉินซีพลันสว่างวาบ ก่อนที่เขาจะดูเหมือนอยู่ในโลกที่ปกคลุมไปด้วยสีขาว และจิตใจของชายหนุ่มก็มีร่องรอยของการล่มสลาย การจมดิ่ง และการถูกทอดทิ้ง
ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วของชายหนุ่มพลันเปิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ และมันได้กวาดออกไปเบา ๆ ก่อนที่ฉากทั้งหมดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในทางกลับกัน ร่างที่สง่างามสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ภายในการมองเห็นของเขาคือ ร่างบางที่กำลังพุ่งทะยานลงมาจากนภา พร้อมกับฟาดฝ่ามือของนางลงมาที่เขา!
นางคือเหวินเหรินเยี่ย!