บทที่ 848 ฝีเท้าที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า
บทที่ 848 ฝีเท้าที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า
องศาของฝ่ามือที่ฟาดลงมานั้นมากด้วยเล่ห์กล ทั้งยังแฝงด้วยพลังประหลาดที่ทำให้หัวใจของผู้คนสัมผัสได้ถึงฉากอันน่าสยดสยอง การล่มสลาย การสาปแช่ง และอื่น ๆ ซึ่งน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมุ่งตรงไปที่หัวใจ!
หากไม่ใช่เพราะดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีได้รับการฝึกฝนจนแข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว และมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ เหตุการณ์เหล่านี้คงมิอาจถูกกำจัดออกไปได้ ก่อนจะลงเอยด้วยการที่ชายหนุ่มต้องทุกข์ทรมานจากพลังฝ่ามือนี้ในที่สุด
ฟิ้ว!
กระแสลมที่เกิดจากพลังฝ่ามือนั้นคมกริบดุจใบมีดที่กรีดผ่านท้องฟ้าเหมือนกรรไกรตัดผ้า เหวินเหรินเยี่ยลอยอยู่กลางอากาศ แต่พลังฝ่ามือของนางกลับเฉือนไปที่ลำคอของเฉินซีอย่างแม่นยำ
เสียงของฝ่ามือที่แหวกผ่านท้องฟ้าไม่ได้ฟังดูน่าตกใจแม้แต่น้อย ยามที่ผู้คนซึ่งอยู่โดยรอบสังเวียนได้ยิน แต่เมื่อมันลอดผ่านหูของเฉินซี มันกลับเต็มไปด้วยเสียงคำรามที่ฉีกกระชากแก้วหูของเขา การโจมตียังไม่เข้าใกล้ร่างกาย แต่เสียงคำรามกลับมาถึงแล้ว ซึ่งมันทั้งเย็นเยียบและคมกริบดุจดาบที่ทิ่มแทงผิวหนังจนรู้สึกเจ็บ!
การบ่มเพาะของเหวินเหรินเยี่ยนั้นทั้งทรงพลัง ล้ำลึก น่ากลัว และดุร้าย อีกทั้งยังเหนือกว่าหนานซิ่วชงและคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นหลังจากที่นางขึ้นไปบนสังเวียนอย่างกะทันหัน พร้อมกับโจมตีอย่างรวดเร็วและทรงพลัง คอของเฉินซีคงจะถูกฟันขาดด้วยพลังฝ่ามือของนางแน่ หากเขายังไม่หยุดการโจมตีและหลบไปทางด้านข้าง
ฟิ้ว!
ปีกกำราบผกผันวูบวาบปรากฏอยู่ที่ข้างหลังเฉินซี ร่างของเขาพลิกกลับโดยไม่มีสัญญาณเตือน และสามารถหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นชายหนุ่มก็แทงกระบี่สวนกลับหลังซึ่งปะทะเข้ากับฝ่ามือขวาของเหวินเหรินเยี่ยอย่างจัง
เคร้ง!
กระบี่และฝ่ามือปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงก้องกังวานดุจเสียงของระฆังขนาดใหญ่
ทว่าน่าตกใจยิ่งที่ฝ่ามือซึ่งดูดี เรียวยาว ขาวราวกับหยก และนุ่มนวลของเหวินเหรินเยี่ยกลับไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย หลังจากปะทะกับกระบี่ยันต์ศัสตราที่คมกริบ!
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ในการปะทะกันครั้งนี้ แต่การขัดขวางของเหวินเหรินเยี่ย ทำให้หนานซิ่วชงมีเวลาอยู่ต่อ ขณะที่สีหน้าของเฉินซีมืดมนเล็กน้อย
เขาจ้องมองไปยังเหวินเหรินเยี่ยและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้ากำลังแทรกแซงการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายตามที่ตกลงกันไว้อย่างนั้นหรือ? …เจ้ามีความละอายใจบ้างหรือไม่”
เหวินเหรินเยี่ยยืนอย่างภาคภูมิบนสังเวียนด้วยท่าทางหยิ่งยโส และที่หว่างคิ้วของนางก็เต็มไปด้วยความไม่แยแส ขณะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง ผลของการทำร้ายคนจากภพเซียนไม่ใช่สิ่งที่เจ้ารับมือได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางพลันเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร “นับประสาอะไรหากหนานซิ่วชงใช้ไพ่ตายที่เขาครอบครองอยู่ เจ้าคิดว่าจะต้านทานมันได้หรือ? หากเราพิจารณาให้ดี ข้าถือว่าได้ช่วยชีวิตเจ้าด้วยซ้ำ”
เฉินซีมีหรือจะฟังความนัยไม่ออก? เขาหัวเราะด้วยความโกรธจัดและกล่าวว่า “เนื่องจากเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ผลของการฆ่าหรือถูกฆ่า เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถแทรกแซงได้หรือ?”
เหวินเหรินเยี่ยขมวดคิ้ว ใบหน้าของนางเย็นชาดุจน้ำแข็ง จากนั้นหญิงสาวจึงกล่าวว่า “ความอดทนของข้ามีจำกัด กับมดอย่างเจ้าข้ายอมเสียหน้าให้เจ้ามามากพอแล้ว! อย่าท้าทายขีดจำกัดของข้าอีก!”
ทันใดนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็สงบลง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจงแทนที่ตำแหน่งของเขาเพื่อต่อสู้เป็นรายถัดไป!”
ขณะที่กล่าว เฉินซีก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่เหวินเหรินเยี่ยจะทันได้ตอบกลับ และเขาก็มาถึงตรงหน้าของนางแล้ว ขณะที่กระบี่ยันต์ศัสตราได้แผ่พุ่งกระแสที่น่าตกใจ ทะยานเข้าหาลำคอของนางอย่างรวดเร็ว!
การจู่โจมของหญิงสาวก่อนหน้านี้มีเจตนาฆ่าอย่างแน่นอน และถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้เนตรเทวะแห่งความจริงเพื่อรับมือ ชายหนุ่มคงเกือบถูกโจมตีที่จุดตายเข้าให้แล้ว
แต่นางในตอนนี้กลับวางท่าสูงส่ง และโต้เถียงอย่างไร้เหตุผล มันจึงทำให้เฉินซีโกรธ และจิตสังหารก็ผุดขึ้นในใจของเขา
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็คงได้แต่ทำตามความปรารถนาของเจ้าเท่านั้น” รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นที่มุมปากของเหวินเหรินเยี่ย ในขณะที่สีหน้าของนางเย็นชาไม่แยแส จากนั้นจิตสังหารที่รุนแรงก็พลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของหญิงสาว ราวกับกระบี่เซียนที่พุ่งออกไปเพื่อหวังทำลายท้องฟ้า!
ฟิ้ว!
นางยื่นมือขาวหยกออกมา ตวัดฟาดกระบี่ยันต์ศัสตราของเฉินซีกระเด็นกลับไป จากนั้นแขนเสื้อของหญิงสาวพลันกระพือไหว ในขณะที่นิ้วมือขวารวบเข้าหากันเพื่อสร้างตราประทับที่ดูคล้ายมังกรและพยัคฆ์ ก่อนจะฟาดมันลงที่หน้าอกของเฉินซี!
โฮกกกก!
เสียงที่ฟังเหมือนเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของเทพอสูรดังขึ้น ในขณะที่ตราประทับสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์แผดเผา ได้เปล่งรัศมีอันไร้ขอบเขต ซึ่งสั่นคลอนท้องฟ้าออกมา!
“ผนึกเต๋านภาพยัคฆ์มังกร!”
หนานซิ่วชง ฉู่เซียว และคนอื่น ๆ จำเคล็ดวิชานี้ได้ ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นแข็งทื่อ เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหวินเหรินเยี่ยจะใช้กระบวนท่าไม้ตายทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น
นี่เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาของตระกูลเหวินเริน ซึ่งเป็นนิกายโบราณในภพเซียน และเป็นศาสตร์เซียนที่ทรงพลังอย่างแท้จริง หากมันถูกใช้ด้วยพลังของกฎเกณฑ์ อานุภาพของมันก็เพียงพอที่จะทำลายดวงดาว บดขยี้ดวงจันทร์ และกำจัดความชั่วร้ายทั้งปวง!
แม้ว่าเหวินเหรินเยี่ยจะไม่เข้าใจและไม่สามารถใช้กฎได้ แต่อานุภาพของมันก็ยังยอดเยี่ยมมาก เมื่อนางใช้มันด้วยเต๋ารู้แจ้งที่ครอบครองอยู่ มันก็ยังคงเหนือชั้นเกินกว่าศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดของภพมนุษย์อยู่ดี!
นี่คือทรัพยากรและทุนสำรองของผู้สืบทอดจากภพเซียน ทุกสิ่งที่พวกเขาบ่มเพาะได้เกินขอบเขตของภพมนุษย์มาตั้งนานแล้ว และแม้การบ่มเพาะจะไม่ได้โดดเด่นแตกต่างถึงเพียงนั้น แต่เท่านี้มันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาดูถูกภพมนุษย์ได้แล้ว
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่แก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณในร่างกายของชายหนุ่มเริ่มเดือดพล่าน จากนั้นกระบี่ยันต์ศัสตราพลันกวาดไปรอบ ๆ เพื่อฟันปราณกระบี่ที่ยอดเยี่ยมออกไป!
ดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ต่างปรากฏขึ้นภายในปราณกระบี่ เผยให้เห็นถึงความลึกล้ำอันไร้ขอบเขตของมัน!!!
โครม!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ร่างของทั้งคู่ถอยห่างออกไปกว่าสี่สิบจั้ง
ร่างกายของเฉินซีสั่นสะท้าน ก่อนที่เขาจะหายเป็นปกติ ดวงตาของชายหนุ่มก็ปลดปล่อยสายฟ้าอันเย็นเยียบออกมา
ในทางกลับกัน เสื้อผ้าของเหวินเหรินเยี่ยกระพือพัดอย่างรุนแรงและพลิ้วไหวราวกับกลีบดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่งดงามของนางก็ยังเผยความเฉยเมยมากขึ้น ในขณะที่จิตสังหารของหญิงสาวก็ดูจะหนาแน่นจนกลายเป็นวัตถุไปแล้ว!
ทั้งคู่เสมอกันในการปะทะครั้งนี้
ผู้ชมรอบ ๆ ต่างตกตะลึงกับฉากนี้ และพวกเขามีความรู้สึกลึก ๆ ว่า เฉินซีนั้นไม่ธรรมดา เพราะชายหนุ่มสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้ด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น! …หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อาจทำให้โลกทั้งสามพันใบต้องตกตะลึง! เพราะถึงอย่างไร คู่ต่อสู้ของเขาก็คือผู้สืบทอดของผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากภพเซียนเชียวนะ
“ประเสริฐมาก มีเพียงฆ่ามดตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าเท่านั้น ถึงทำให้ข้ารู้สึกถึงความสำเร็จ” เหวินเหรินเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาและไม่แยแส แต่แท้จริงแล้วภายในใจของนางค่อนข้างประหลาดใจอยู่เช่นกัน แม้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างชัดเจน!
การบ่มเพาะของนางอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า และควบคู่ไปกับศาสตร์เซียนอันทรงพลังที่บ่มเพาะ จึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายา แม้แต่ผู้บ่มเพาะในระดับขอบเขตเดียวกับนาง ก็แทบจะต้านทานการโจมตีนี้แบบตัวต่อตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ!
แต่เฉินซีกลับทำสำเร็จ และสิ่งนี้ทำให้นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระมัดระวัง
“สำหรับข้า การที่สามารถฆ่าคนจากภพเซียนในวันนี้ จะทำให้ข้ารู้สึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเช่นกัน” เฉินซีสงบและสำรวม ในขณะที่เขากล่าวอย่างไม่แยแส
การกล่าวมากเกินไปในระหว่างที่มีความขัดแย้งเป็นเรื่องน่าปวดหัว
ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งคู่ดูจะเข้าใจไปโดยปริยาย และจู่โจมในเวลาเดียวกัน พวกเขาต่างเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง!
ครืน!
บนสังเวียน แสงไฟลุกโชนราวกับกระแสน้ำ อากาศสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงระเบิดดังกึกก้องสะท้านท้องฟ้า จนสภาพแวดล้อมตกอยู่ในการทำลายล้าง ความโกลาหล และหายนะ
ร่างสูงโปร่งของเฉินซีดูจะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ เขากู่ร้องขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าเกรงขาม ในขณะที่ปราณกระบี่รังสรรค์ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้พุ่งออกมาทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ทำการต่อสู้ราวกับจักรพรรดิกระบี่จุติลงมายังโลก เผยอำนาจที่ไร้เทียมทานออกมา!
ในขณะที่เหวินเหรินเยี่ยเป็นเหมือนบุปผาที่พลิ้วไหวในสายลมเย็น นางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไวและสง่างาม ทุก ๆ กระบวนท่าของนางได้ใช้ศาสตร์เซียนที่ลึกล้ำต่าง ๆ ออกมา และกลิ่นอายอันสงบนิ่งของหญิงสาว ก็เปี่ยมล้นด้วยจิตสังหารหนาแน่น!
หากไม่ใช่เพราะพลังของสังเวียนได้รับการเกื้อหนุนจากเจดีย์ต้าเหยี่ยน มันคงถูกทำลายไปแล้ว ก่อนที่ผลกระทบจากการต่อสู้จะส่งผลต่อภัตตาคารเมฆามรกตทั้งหมด หรือแม้แต่มณฑลจักรพรรดิตะวันออก!
ถึงอย่างไร การต่อสู้ในระดับนี้สามารถเผาผลาญมหาสมุทรและทำให้โลกตกสู่ความโกลาหล ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงเมือง แม้แต่อาณาจักรก็ตกอยู่ในอันตรายจากการล่มสลาย
ทุกคนที่อยู่ในรอบสังเวียนแทบจะลืมหายใจ ในขณะที่จิตใจของพวกเขาสั่นคลอนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ตรงหน้า และไม่สามารถรักษาความสงบได้อีก
หนานซิ่วชง ฉู่เซียว เฉาเหอ และคนอื่น ๆ ต่างก็ตระหนักได้ว่า เหตุใดเซียนลึกลับอย่างเหลียงปิงถึงชื่นชอบและตั้งความหวังกับเฉินซีไว้สูงนัก เพราะตัวประหลาดเช่นนี้อาจดึงดูดกองกำลังยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนให้มาชักชวน แม้แต่ในภพเซียนก็ตาม!
ท้ายที่สุด การที่ใครสักคนจะต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีด้วยขอบเขตสถิตกายาก็ยังคงเป็นเรื่องยากแม้แต่ในภพเซียนก็ตาม
แต่สีหน้าของเฟิงหลูหยางกลับไม่น่าดูอย่างยิ่ง และแปรเปลี่ยนไปมาไม่รู้จบ เพราะเขาไม่กล้าเชื่อว่า มดตัวเล็ก ๆ ที่ตนเองดูถูกเหยียดหยามเมื่อครู่ ที่แท้แล้วกลับมีความแข็งแกร่งอันทรงพลังอย่างแท้จริง และมันก็ทรงพลังยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า ทำไมเฉินซีถึงไม่ยอมสยบให้ใครง่าย ๆ ทั้งที่ตัวเขาได้ยื่นข้อเสนอไปมากมาย เพราะใครล่ะจะยอมสยบเมื่อมีความแข็งแกร่งเช่นนี้อยู่?
‘ฮึ่ม! ไม่สำคัญว่าความแข็งแกร่งของเขาจะทรงพลังเพียงใด หากข้าต่อสู้อย่างเต็มที่จริง ๆ แม้แต่เซียนสวรรค์ก็หยุดข้าไม่ได้!’ เฟิงหลูหยางคำรามอย่างดุดันในใจ
ทว่าแม้จะกล่าวปลอบใจตัวเองเยี่ยงนี้ แต่เมื่อเห็นเฉินซีต่อสู้กับเหวินเหรินเยี่ยอย่างเท่าเทียมกัน เฟิงหลูหยางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะเขารู้แก่ใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะตนมาจากภพเซียน และมีกองกำลังให้พึ่งพา เขาย่อมด้อยกว่าเฉินซี…
“สะบั้น!” ทันใดนั้น เสียงตะโกนพลันดังขึ้น จากนั้นร่างของเฉินซีก็ได้พุ่งออกมาดุจมังกร กลิ่นอายที่น่าเกรงขามของเขาพวยพุ่งออกมาอย่างกับระเบิด และชายหนุ่มได้ใช้ปราณกระบี่ที่ไม่ธรรมดา บดขยี้ไปทางเหวินเหรินเยี่ย!
สีหน้าของเหวินเหรินเยี่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ แม้ว่านางจะไม่ได้ต่อสู้ชนิดที่ว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่นางก็หลงลืมบางอย่างไป เพราะนี่คือพิภพยันต์อักขระ ที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของปราณวิญญาณ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงปราณเซียน!
สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือ พลังของนางได้หมดไปมากกว่าครึ่ง และนางกำลังจะเติมมันด้วยโอสถเซียน แต่เฉินซีกลับฉวยโอกาสนี้ ไล่ต้อนหญิงสาวอย่างดุเดือด ทำให้เหวินเหรินเยี่ยไม่มีโอกาสที่จะเติมพลัง!
“เหตุใดการบ่มเพาะของชายคนนี้ถึงแข็งแกร่งเพียงนี้? ดูเหมือนว่าเขาจะมีปราณแท้ไม่มีที่สิ้นสุด และเขาอยู่ในสถานะสูงสุดเสมอ นี่เขาไม่เหนื่อยล้าเลยจริงหรือ?”
แม้ในใจของนางจะประหลาดใจและงุนงง แต่การเคลื่อนไหวของเหวินเหรินเยี่ยกลับไม่ช้าเลย หญิงสาวหลบหลีกในทันใด
รอยยิ้มเย็นชาพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซีจาง ๆ และเขาโจมตีโดยไม่ยั้งมือ จู่โจมดั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ที่มีคลื่นเชี่ยวกราก ส่งปราณกระบี่ฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่คิดเปิดโอกาสให้เหวินเหรินเยี่ยได้หายใจแม้แต่น้อย
ความแข็งแกร่งของเหวินเหรินเยี่ยนั้นทรงพลังยิ่ง และนางก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ… นางยังไม่ได้ใช้ไพ่ตายที่ทรงพลังเลยจนถึงตอนนี้!
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากยับยั้งตัวเองและไม่ใช้ร่างอวตารของเขา
โชคดีที่นางนึกไม่ถึงว่าต้นอ่อนเงาทมิฬจะอาศัยอยู่ในแดนฮุ่นตุ้นของชายหนุ่ม และมันสามารถเติมเต็มปราณแท้ของเขาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี่เป็นกุญแจสำคัญในการพลิกสถานการณ์ในขณะนี้
สีหน้าของเหวินเหรินเยี่ยในขณะนี้กลายเป็นไม่น่าดู ขณะที่ร่างของนางหลบหลีกคราแล้วคราเล่า และหัวใจของหญิงสาวก็ค่อย ๆ กระวนกระวาย ด้วยรู้ดีว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังของตนคงจะหมดลงอย่างแน่นอน!
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ในเมื่อมันเป็นเยี่ยงนี้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความห่างชั้นระหว่างภพมนุษย์และภพเซียนเอง!” หลังจากตัดสินใจเช่นนี้ ใบหน้าของเหวินเหรินเยี่ยก็เผยความเย็นชาและไม่แยแส ในขณะที่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามทั่วทั้งร่างของนางได้กลายเป็นเย็นยะเยือกและเปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร ผมที่สวยงามของหญิงสาวพลิ้วไหว ขณะที่เหวินเหรินเยี่ยจ้องมองออกไป
…ดูเหมือนว่านางกำลังคิดใช้ไพ่ตายที่แท้จริงในมือ
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่เขาสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกที่จู่ ๆ ก็พุ่งเข้าสู่หัวใจ ในขณะที่ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงได้กระตุ้นชายหนุ่มจนถึงจุดที่ขนทั้งหมดในร่างตั้งชูชัน เขารู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง
เฉินซีพลันหยุดการเคลื่อนไหว และกำลังจะใช้ร่างอวตาร
แต่ในขณะนี้ เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและก้องกังวานพลันดังขึ้นกลางอากาศ เหมือนกับโลหะกระแทกเข้ากับพื้นผิวเรียบ มันแว่วมาจากที่ห่างไกล และกำลังเข้ามาใกล้ ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น
ชั่วพริบตาเดียว เสียงฝีเท้าแปลกประหลาดนี้ก็ได้ดังก้องไปทั่วระเบียง