บทที่ 849 ถลกหนังพยัคฆ์
บทที่ 849 ถลกหนังพยัคฆ์
ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเห็นแล้วว่าเฉินซีนั้นกล้าแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อ ส่งผลให้กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเขาเริ่มแสดงออกมา อันที่จริง ตัวเขาเริ่มสยบเหวินเหรินเยี่ยได้ทีละน้อย ทำให้ทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างมาก
ทว่า จู่ ๆ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเหวินเหรินเยี่ยก็พลันเปลี่ยนไปในเวลานี้ นางตั้งใจจะใช้ไพ่ตายเพื่อทำลายล้างเฉินซี ทำให้หนานซิ่วชง ฉู่เซียว และคนอื่น ๆ ต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย เนื่องจากพวกเขาคิดว่าผลการต่อสู้ได้ถูกตัดสินแล้ว
จนแม้แต่เฟิงหลูหยางก็ยังแอบยินดี และเผยให้เห็นความตื่นเต้นเล็กน้อยผ่านดวงตา อาจเป็นเพราะเขาคิดว่าการตายของเฉินซีจะขจัดภัยคุกคามต่อตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เสียงฝีเท้าก็ได้ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ร่างกายของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแข็งทื่อ ตัวคนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า!
แม้แต่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามของเหวินเหรินเยี่ย ก็ยังเฉื่อยช้าลงเล็กน้อยในขณะนี้
เสียงฝีเท้าเหล่านี้พิสดารเกินไป และดูจะมีความลึกล้ำของมหาเต๋า เมื่อเสียงฝีเท้าดังเข้าหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาก็รู้สึกราวกับได้ยินเสียงตีกลอง จนแม้แต่หัวใจก็อดไม่ได้ที่จะบีบรัดอย่างรุนแรงเสมือนถูกใครบางคนบีบแน่น ทำให้เลือดลมในร่างปั่นป่วน จนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ
บางคนที่มีพลังอ่อนด้อยถึงขั้นสั่นสะท้านจนหน้าซีด และทันใดนั้นพวกเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนจะฟุบลงกับพื้นด้วยลมหายใจที่โรยริน
“ทั้งที่อยู่ในดินแดนของข้า พวกเจ้าทุกคนกลับกล้าคิดที่จะฆ่าคนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้ารึ? ข้าควรจะบอกว่าพวกเจ้าทุกคนนั้นกล้าหาญหรือบ้าบิ่นดีเล่า?” เจ้าของเสียงอันเยือกเย็นและชัดเจนนี้ เป็นร่างเพรียวบางและน่าเกรงขามที่ก้าวผ่านท้องฟ้า ซึ่งแม้ว่านางจะดูเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ แต่กลับมาถึงระเบียงในชั่วพริบตาเท่านั้น
ผมสีทองหยักศกของหญิงสาวถูกมัดเป็นมวยไว้ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามและเย็นชา นางมีหน้าผากโค้งมน ริมฝีปากสีแดงเย้ายวน และจมูกโด่ง กำลังเล่นกับแส้สีดำสนิทและเย็นยะเยือกในมือขาวหยก ทำให้หญิงสาวดูเหมือนราชินีผู้น่าเกรงขามซึ่งกำลังตรวจตราดินแดนของตน
ข้าง ๆ นางคือเถิงหลานที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำลังเอามือไพล่หลังไว้อยู่
ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้น อากาศบนระเบียงก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และบริเวณโดยรอบพลันเงียบสนิท แขกบางคนหวาดกลัวจนจิตใจสั่นไหวและตัวสั่นไม่หยุด
ในมณฑลจักรพรรดิตะวันออก แทบไม่มีใครไม่รู้จักคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหลียง นางมีนิสัยเยือกเย็น ทำตัวเย็นชาและเด็ดเดี่ยว นางคือจ้าวปกครองที่แท้จริงของมณฑลจักรพรรดิตะวันออก และไม่มีใครกล้าหือกับนาง!
ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหลายคนได้ระเหยหายไปจากโลก เพียงเพราะพวกเขาสร้างปัญหาในมณฑลจักรพรรดิตะวันออก!
แต่เมื่อได้เห็นเหลียงปิงปรากฏตัว สีหน้าของหนานซิ่วชง ฉู่เซียว เฉาเหอและคนอื่น ๆ ต่างก็มืดมน ขณะที่ดวงตาของพวกเขากะพริบถี่อย่างไม่อาจควบคุม!
มีเพียงใบหน้าของเฉินซีเท่านั้นที่ค่อนข้างสงบและสุขุม เพราะเขารู้ตั้งแต่ก่อนที่ ‘งานเลี้ยง’ จะเริ่มต้นขึ้นว่า เถิงหลานนั้นซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แต่เขานึกไม่ถึงว่าแม้แต่เหลียงปิงก็ปรากฏตัวออกมาด้วย
หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นการดี อย่างน้อยที่สุด ร่างอวตารที่เป็นไพ่ตายของเขาก็จำไม่เป็นต้องเปิดเผยในที่สาธารณะ
“เหลียงปิง?” สีหน้าของเหวินเหรินเยี่ยกลับมาเป็นปกติ นางหยิ่งยโส เย็นชา และไม่แยแส ขณะที่มองไปยังเหลียงปิงอย่างเฉยเมย
“ถูกต้อง” เหลียงปิงพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“หรือว่าเด็กน้อยนี้จะเป็นนายบำเรอของเจ้า? เจ้าเลยต้องการปกป้องเขากระมัง?” เหวินเหรินเยี่ยกล่าวขณะเผยให้เห็นการเยาะเย้ยผ่านแววตา และเนื่องจากนางกล้าเยาะเย้ยเหลียงปิงในเวลาเช่นนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคงมีบางอย่างที่พึ่งพาได้
เหลียงปิงยืนกอดอกและกวาดสายตาเย็นไปรอบ ๆ โดยนางได้ให้ความสนใจกับเฉินซีเป็นพิเศษ และเมื่อเห็นชายหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บ สายตาของหญิงสาวจึงจดจ้องไปยังเหวินเหรินเยี่ย แล้วจึงกล่าวว่า “หรือว่าลูกหลานจากตระกูลสาขาของตระกูลเหวินเหรินอย่างเจ้า คิดว่าสามารถกระทำตามอำเภอใจ เพียงเพราะเจ้าได้หมั้นหมายกับตระกูลเซวียนหยวน?”
“ตระกูลเซวียนหยวน?” เฉินซีตกตะลึงในขณะที่มีร่องรอยแปลก ๆ แวบเข้ามาในดวงตาของเขา เพราะชายหนุ่มจำสิ่งที่ศิษย์พี่หลียางบอกกับเขาได้ “อาซิ่วมาจากตระกูลเซวียนหยวนไม่ใช่หรือ นอกจากนี้ หากยึดตามสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าผู้พึ่งพาได้มากที่สุดของเหวินเหรินเยี่ยคนนี้ คือตระกูลเซวียนหยวน…”
ความโกรธพุ่งผ่านใบหน้าของเหวินเหรินเยี่ย ขณะที่นางกล่าวว่า “แล้วเจ้าเกี่ยวอันใดด้วย?”
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงได้ยินมาว่า นายน้อยจากตระกูลเซวียนหยวนผู้หลงใหลในการบ่มเพาะ ได้ต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้อย่างมาก แต่มีคนปฏิเสธที่จะล้มเลิกการหมั้นหมายนี้ และมันก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริง ๆ” ท่าทางของเหลียงปิงไม่ได้แยแสอีกฝ่าย ในขณะที่น้ำเสียงของนางก็ตรงไปตรงมายิ่ง
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้กระทบโสตของเหวินเหรินเยี่ย มันก็เหมือนดั่งใบมีดคมกริบจำนวนมากได้ทิ่มแทงหัวใจของนางจนเจ้าตัวมีโทสะ ทำให้ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของเหวินเหรินเยี่ยเลือนหายไป ในขณะที่หว่างคิ้วของเจ้าตัวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นนางจึงกล่าวอย่างเย็นชาและไม่แยแสว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? การหมั้นหมายถูกกำหนดโดยผู้อาวุโสของตระกูลพวกเรา ดังนั้นเจ้าต้องการสื่ออันใดกันแน่?”
นางหงุดหงิดอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซียังคงยืนอยู่ตรงข้าม หญิงสาวจึงเหยียดแขนออกไปทันที นิ้วของนางเหมือนตะขอที่ฉุดกระชากชายหนุ่มอย่างรุนแรง พร้อมกับแผ่แรงดึงดูดอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากกลางฝ่ามือ!
ราวกับว่าฝ่ามือของนางเป็นประตูที่นำไปสู่นรก มันได้แผ่พลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา พลังนี้เป็นเหมือนก้นบึ้งที่ไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะสามารถทำได้!
เห็นได้ชัดว่านางได้ใช้เคล็ดวิชาลับหรือไพ่ตายสักอย่างในการจู่โจมครั้งนี้ เพื่อระบายความโกรธแค้นใส่เฉินซี
ชายหนุ่มพลันขมวดคิ้ว ก่อนที่คิ้วของเขาจะคลายลง สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสงบ และเขาไม่มีความตั้งใจที่จะตอบโต้แม้แต่น้อย เพราะเฉินซีรู้ดีว่าเหลียงปิงจะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน!
เพียะ!
แน่นอนว่าเมื่อเหวินเหรินเยี่ยลงมือ แส้เย็นยะเยือกสีดำสนิทก็มาถึงตรงหน้าเหวินเหรินเยี่ยทันทีราวกับวิญญาณอสรพิษ และด้วยการม้วนงอ มันพลันรัดแน่นที่มือขวาของเหวินเหรินเยี่ยซึ่งยื่นออกมา หลังจากนั้น จู่ ๆ นางก็ออกแรงลากเหวินเหรินเยี่ยออกจากสังเวียนไป
ตุบ!
ทั้งตัวของนางถูกทุบลงกับพื้น ทำให้ผมเผ้ากระเซิง ขณะที่ตัวคนกระอักเลือดออกมา และพยายามลุกยืนอยู่หลายครั้ง แต่นางก็ไม่สามารถยืนได้อีก ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
“เจ้ากล้าโจมตีผู้อื่นต่อหน้าข้า ทั้งที่มีฝีมือแค่ขอบเขตเซียนปฐพีรึ? ถ้าทุกคนจากตระกูลเหวินเหรินโง่เขลาเหมือนเจ้า อย่างนั้นมันก็คงถูกลบออกจากภพเซียนไปนานแล้ว” เหลียงปิงถอนแส้ของนาง และไม่ได้ปกปิดความเกลียดชังหรือการเยาะเย้ยแม้แต่น้อย
ทุกคนตกใจมาก โดยเฉพาะหนานซิ่วชง ฉู่เซียน และคนอื่น ๆ พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเหลียงปิงจะกล้าลงมือต่อเหวินเหรินเยี่ย “หรือว่านางไม่กลัวจะชักนำหายนะมาสู่ตระกูลเหลียงของนาง!?”
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้สัญญาอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ว่าจะบังคับให้เหลียงปิงยอมจำนน โดยหวังจะพึ่งพาอำนาจและภูมิหลังที่อยู่เบื้องหลัง แต่หากเหลียงปิงกล้าเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ผลที่ตามมาก็คงน่าสยดสยองยิ่ง
“เหลียงปิง! เจ้า…” ความอัปยศอดสูและการยั่วยุที่รุนแรงจากการถูกเหลียงปิงเฆี่ยนลงกับพื้นเหมือนสุนัข ท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน ทำให้รูปโฉมอันงดงามของเหวินเหรินเยี่ยบิดเบี้ยว และแทบจะเป็นบ้า
“นามของข้าเป็นสิ่งเรียกหาง่าย ๆ ได้หรือ?” ทันใดนั้น เหลียงปิงพลันกล่าวอย่างเย็นชา “ตราบใดที่เจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับตระกูลเซวียนหยวน เจ้าก็เป็นแค่คนจากตระกูลสาขาของตระกูลเหวินเหริน และถ้าเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าตอนนี้ เช่นนั้นก็เชิญลองดูได้”
เหวินเหรินเยี่ยชี้ไปที่เหลียงปิง ในขณะที่โมโหจนร่างกายของนางสั่นสะท้าน ทว่าหญิงสาวกลับไม่กล้ากล่าวอันใดออกมา เพราะนางกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าเหลียงปิงจะฆ่านางอย่างไร้ความปรานี!
ท้ายที่สุด มันก็เป็นดั่งที่เหลียงปิงกล่าว ความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางคือการหมั้นหมายกับตระกูลเซวียนหยวน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หนานซิ่วชงและคนอื่น ๆ เคารพนางมาก แต่หากเหลียงปิงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและลงมือ ผลที่ตามมาก็ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องการจะเห็นอย่างแน่นอน
เฉินซีได้แต่ลอบส่ายศีรษะเมื่อเห็นฉากนี้ หญิงสาวคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่นางกลับกลายเป็นขยะที่พึ่งพาภูมิหลังของตนเพื่อรังแกผู้อื่น และเมื่อเกราะป้องกันชั้นนี้หลุดออก ตัวนางก็ไม่มีค่าอันใดเลย!
“เหลียงปิง พอได้แล้ว หรือว่าเจ้าต้องการนำหายนะมาสู่ตระกูลเหลียงของเจ้าจริง ๆ” ในขณะนี้ หลัวจื่อเซวียนที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ปรากฏตัวบนระเบียง ได้ก้าวออกมาอย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยใบหน้าถมึงทึง
“หลัวจื่อเซวียน นี่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เจตนาของเจ้าที่แอบเข้าไปในเขตมณฑลจักรพรรดิตะวันออกของข้าพร้อมกับผู้คนมากมายอย่างนั้นรึ?” เหลียงปิงหันกลับไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมย
ทว่าจู่ ๆ หลัวจื่อเซวียนก็หัวเราะเบา ๆ “ในเมื่อเจ้ารู้เจตนาของข้าแล้ว เหลียงปิง เช่นนั้นมันเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้ายังไม่เต็มใจจะแต่งงานกับข้าอีก? เหตุใดเราจึงต้องกังวลว่าจะไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เล่า ในเมื่อเรารวมพลังกัน” ขณะกล่าว เจ้าตัวก็ได้ชี้ไปยังหนานซิ่วชงและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าจะช่วยเจ้าขอการให้อภัยจากสหายเต๋าเหล่านี้ ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงหายนะที่เกิดกับตระกูลเหลียงของเจ้า มิฉะนั้น เจ้าควรจะรู้ผลที่ตามมาจากการล่วงเกินสหายเต๋าเหล่านี้กระมัง?”
เหลียงปิงกล่าวอย่างเย็นชา “คิดขู่ข้าด้วยกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาในภพเซียนหรือ?”
หลัวจื่อเซวียนยิ้มและไม่ปฏิเสธ ขณะที่กล่าวว่า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว”
หนานซิ่วชง ฉู่เซียว เฉาเหอและคนอื่น ๆ ที่ร่วมมือกับเขา ต่างแสดงสีหน้าชั่วร้าย ขณะเย้ยหยันออกมาอย่างเปิดเผย
พวกเขาอาจไม่มั่นใจในความแข็งแกร่งที่มียามเผชิญหน้ากับเหลียงปิง แต่ถ้าสถานการณ์บานปลายจนถึงระดับสูงสุด พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเหลียงปิงจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกตนอย่างแน่นอน เพราะนางจะเห็นแก่ความปลอดภัยของตระกูลเหลียง!
ในขณะนี้ เหลียงปิงที่มักจะแสดงสีหน้าเย็นชาต่อทุกคน จู่ ๆ ก็เริ่มหัวเราะ ขณะกล่าวว่า “หลัวจื่อเซวียน ตอนที่ข้าเข้าควบคุมกองกำลังของตระกูลเหลียงในพิภพยันต์อักขระ บิดาของเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ ในขณะที่ปู่ของเจ้ายังเด็กอยู่ ตระกูลใหญ่ทั้งสี่อยู่ร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นหากว่ากันตามความสัมพันธ์แล้ว เจ้าต้องเรียกข้าว่าย่าทวดด้วยซ้ำ นี่เจ้าต้องการแต่งงานกับย่าทวดของเจ้าหรือ? เจ้าอุกอาจและวิปริตเสียจริง! ถ้าปู่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาคงโกรธเจ้าจนตายซ้ำอีกรอบเป็นแน่แท้”
ท่าทางของหลัวจื่อเซวียนมืดมนทันที “หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว! เหลียงปิง การกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเจ้าตั้งใจจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ใช่หรือไม่?”
“ข้า? พวกเจ้าทุกคนล่วงล้ำมณฑลจักรพรรดิตะวันออกของข้าด้วยเจตนาร้าย ดังนั้นการที่ข้าไม่เข่นฆ่าพวกเจ้าในทันที ก็ถือว่าข้าไว้หน้าพวกเจ้ามามากพอแล้ว ถ้ายังแยกไม่ออกว่าอะไรควรหรือไม่ควร เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ทำให้พวกเจ้าต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ตลอดไปก็แล้วกัน!” ใบหน้าของเหลียงปิงกลายเป็นเย็นชา ดวงตาสุกใสของนางเป็นดั่งปลายใบมีดที่จดจ้องไปยังหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา ท่าทางของหญิงสาวยังคงอหังการและเอาแต่ใจ เผยท่าทีของราชินีที่ไม่รู้จักความกลัวออกมา
“กล้าดียังไง!?” หนานซิ่วชงไม่อาจทนได้อีกต่อไป และตะโกนออกมาอย่างดุดัน
“จะลองดูหรือไม่เล่า?” ขณะที่เหลียงปิงกล่าว แส้เย็นยะเยือกสีดำสนิทในมือของนางก็ตวัดออกไป
เพียะ!
มันทำลายอากาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่พุ่งผ่าน และยึดเข้ากับคอของหนานซิ่วชงโดยตรง
การจู่โจมครั้งนี้ค่อนข้างเฉียบขาด เด็ดขาด และตรงไปตรงมา เมื่อรวมกับการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับที่น่ากลัวของเหลียงปิง มันก็ทำให้หนานซิ่วชงที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าเขาไม่มีที่ให้วิ่งหนีหรือหลบซ่อนได้เลย
“ช่วยข้าด้วย!!” หนานซิ่วชงไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะกล้าเคลื่อนไหวจริง ๆ และมันทำให้เขาหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด
“สาวน้อย ที่เจ้าทำตัวไร้ความปรานีเช่นนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ!?” เสียงทุ้มต่ำที่มีพลังดึงดูดอย่างอธิบายไม่ได้ พลันดังก้องออกมาในขณะนี้
ซึ่งยามเสียงเพิ่งดังก้องออกไป เงาดำก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ และขวางหน้าหนานซิ่วชงเอาไว้ ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ พร้อมกับเสียงดังโครมครามหลังจากนั้น เงาดำได้ระเบิดพลังแส้ของเหลียงปิงออกไป!
ในที่สุดเฉินซีก็ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่ช่วยชีวิตหนานซิ่วชงนั้น แท้จริงแล้วเป็นคนประหลาดที่สวมชุดคลุมสีดำไว้ อีกฝ่ายได้เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันเย็นยะเยือกและไร้ความปรานีคู่หนึ่ง ที่ดู ๆ ไปแล้วคล้ายกับดวงตาของอสรพิษร้าย!