บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 852 เจดีย์สิบชั้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 852 เจดีย์สิบชั้น

บทที่ 852 เจดีย์สิบชั้น

เช้าวันต่อมา

ยังไม่ทันรุ่งสาง ทั่วทั้งนครหลวงสี่จักรพรรดิต่างส่งเสียงอึกทึกคึกคัก คลื่นผู้บ่มเพาะก้าวออกมาโดยที่ยังไม่เช้าด้วยซ้ำ ต่างคนต่างมุ่งหน้าสู่ใจกลางนครหลวง

เฉินซี เหลียงปิง และเถิงหลานออกเดินทางเช่นกัน เมื่อพวกเขามาถึงตรงหน้าเจดีย์ต้าเหยี่ยน ท้องนภาที่ย้อมด้วยสีดำพลันถูกทะลวงด้วยลำแสงแรกแห่งรุ่งสาง!

รุ่งสางมาเยือน สาดส่องทั่วแดนดิน

เจดีย์ต้าเหยี่ยนที่เดิมตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันในราตรี บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มแสงพร่ามัวเจิดจ้า ตั้งตระหง่านอยู่ในท้องนภา ราวกับกำลังตื่นจากการหลับใหลอันเป็นนิรันดร์

แสงทองธรรมเทพวูบไหว แสงศักดิ์สิทธิ์ล้นหลาม อักขระยันต์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในนั้น นิมิตขนาดใหญ่นี้ช่างเหมือนปาฏิหาริย์ จนผู้คนอดหวนคิดไม่ได้ …ในตอนนั้น ใครเป็นผู้สร้างเจดีย์ต้าเหยี่ยนไว้? แล้วคนผู้นั้นมาจากที่ใดกัน?

ไม่มีผู้ใดรู้!

แม้กระทั่งทายาทของตระกูลโบราณอย่างเหลียงปิง ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้

ราวกับว่าตั้งแต่เริ่มเปิดพิภพยันต์อักขระมา เจดีย์อันน่าอัศจรรย์นี้ได้มีมาก่อนแล้ว และได้กลายเป็นหัวใจของทั่วทั้งพิภพยันต์อักขระ อีกทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดของพลังธรรมเทพในสวรรค์และโลกแห่งนี้

เฉินซียืนอยู่ในฝูงชน ชำเลืองมองไปมา ก่อนจะพบกับร่องรอยของพวกหลัวจื่อเซวียนในทันที เพราะพวกเขาสะดุดตาเกินไป รอบพื้นที่ที่คนกลุ่มนี้อยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ทำให้พวกเขาโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน!

เมื่อเขาชำเลืองมอง หนานซิ่วจง ฉู่เซียว เฉาเหอและคนอื่นคล้ายกับสังเกตเห็นเช่นกัน จึงหันมามอง เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นเฉินซี ความแค้นและจิตสังหารที่ไม่ปิดบังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา

มีเพียงหลัวจื่อเซวียนที่ยิ้มเล็กน้อย มุมปากของเขายกขึ้นอย่างเหยียดหยัน

ทว่าเฉินซียังคงไม่แสดงสีหน้า ก่อนจะถอนสายตากลับมา

เถิงหลานยิ้มอ่อนอยู่ทางด้านข้างแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ก่อนจะเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยน พวกเขาจะไม่ลงมือ ต่อให้ทำจริง ก็ต้องรอจนกว่าจะไปถึงชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนก่อน”

เฉินซีประหลาดใจ แล้วจึงถามว่า “แบบนี้มีความหมายว่าอย่างไร?”

เถิงหลานอธิบายอย่างอดทน

ที่จริงแล้วมันเรียบง่ายมาก ภายในเจดีย์ต้าเหยี่ยนมีโลกเป็นของตัวเอง โดยแบ่งออกเป็นสิบชั้น เคล็ดวิชาลึกลับจะซ่อนอยู่ในชั้นที่สิบ

ซึ่งทุกชั้นในเจดีย์ต้าเหยี่ยนนั้นเต็มไปด้วยข้อห้ามและภัยคุกคามมากมาย ยิ่งขึ้นไปชั้นสูงเท่าไร ข้อห้ามยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น ภัยคุกคามยิ่งมากตาม

โดยเฉพาะชั้นที่เก้า มันเหมือนกับคูน้ำ แม้ผ่านยุคสมัยนับไม่ถ้วน ก็ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนเท่าไรที่ติดอยู่บนชั้นเก้า โดยในบรรดาพวกเขา มีกระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์รวมอยู่ด้วย!

ทว่าสำหรับสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่ มันกลับไม่ใช่เรื่องยากนัก ด้วยความช่วยเหลือของสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลอย่างไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ ตราประทับเทพปฐพี เจดีย์สยบพิภพ และกระบี่สะบั้นเต๋า ทำให้พวกเขาสามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่น

แน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ชั้นที่เก้า ก็จะสามารถไปถึงชั้นที่สิบได้ แต่นอกจากความช่วยเหลือของสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลเหล่านี้แล้ว พวกเขายังต้องพึ่งความแข็งแกร่งและวาสนาของตัวเองด้วย!

เหตุผลที่เถิงหลานกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะหลัวจื่อเซวียนจะต้องเลือกลงมือในชั้นที่แปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุผลนี้… แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากได้ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์มาครอบครอง กอปรกับกระบี่สะบั้นเต๋าที่เจ้าตัวมีอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงตราประทับเทพปฐพีในมือของกู่หลิวสุ่ย จึงมีความหวังที่จะเข้าสู่ชั้นที่สิบมากขึ้น

หากไม่ใช่เพราะการสูญเสียเจดีย์สยบพิภพของตระกูลอิน ทันทีที่สมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลสี่ชิ้นรวมเข้าด้วยกัน พวกเขาย่อมเข้าสู่ชั้นที่สิบได้อย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องเช่นนั้นเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของพิภพยันต์อักขระ

น่าเสียดาย สมบัติมีเพียงชิ้นเดียว กอปรกับความบาดหมางและความแตกแยกของสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะยกสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลของตระกูลตัวเองให้ผู้อื่นใช้

เมื่อเฉินซีทราบเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า หลัวจื่อเซวียนจะไม่ทำอันใดที่ด้านนอกของเจดีย์ต้าเหยี่ยนแน่ ด้วยกังวลว่าจะเป็นการกดดันมากเกินไป จนเหลียงปิงจากไปพร้อมกับไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ ซึ่งแบบนั้นจะเท่ากับได้ไม่คุ้มเสีย!

“ที่จริง แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือของไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์หรือของชิ้นอื่น ก็ยังมีคนที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่เก้าของเจดีย์ต้าเหยี่ยน จนทะลวงสู่ชั้นที่สิบได้สำเร็จ”

ดวงตาของเถิงหลานทอประกายด้วยความประหลาดใจ เขากล่าวช้า ๆ ว่า “เหมือนกับอาหลี …ตอนนั้นนางอยู่เพียงลำพัง ก็ยังขึ้นสู่จุดสูงสุดของเจดีย์ จนได้สมบัติลึกลับไปชิ้นหนึ่ง”

เฉินซีลูบจมูก ลอบถอนหายใจออกมา ยิ่งเข้าใจศิษย์พี่มากเท่าไร ก็ยิ่งตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการบ่มเพาะของอีกฝ่ายไปถึงขั้นไหน

หลังจากนั้น เขาพลันตระหนักปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะถามว่า “ชั้นบนสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนมีสมบัติอยู่ทั้งหมดกี่ชิ้น?”

เถิงหลานยิ้มก่อนส่ายหน้า “ทุกสามพันปี เจดีย์ต้าเหยี่ยนจะเปิดออกหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่เปิด สมบัติชิ้นหนึ่งจะปรากฏขึ้น เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครอธิบายได้ เว้นแต่…”

“เว้นแต่อันใด?” เฉินซีถาม

“เว้นแต่ว่าสักวัน จะมีใครสักคนสามารถพิชิตเจดีย์นี้ได้อย่างแท้จริง ความลึกลับที่อยู่ข้างในอาจจะถูกค้นพบก็เป็นได้” เถิงหลานตอบอย่างแผ่วเบา จากนั้นหัวเราะกับตัวเอง ราวกับรู้สึกว่ากำลังพูดจาเหลวไหล

หลายยุคสมัยที่ผ่านมา เจดีย์ต้าเหยี่ยนตั้งอยู่ที่นี่มานานเท่าใดไม่ทราบ มียอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่โชคดีพอจะได้เข้ามา แต่ไม่มีใครสามารถพิชิตได้ จนกระทั่งตอนนี้!

วิ้ง!

ในตอนนี้ เสียงใสราวกับระฆังยามเช้ากลองยามเย็น พลันดังก้องทั่วสวรรค์และปฐพี สะเทือนจิตใจ

“มันกำลังจะเปิดออก!”

“เร็ว! เตรียมตัวให้พร้อม ขอเพียงเจดีย์ต้าเหยี่ยนเปิดออก พวกเราจะลุยเต็มกำลัง!”

“จำไว้ พอเข้าไปแล้ว ระวังตัวให้ดี ถึงแม้โอกาสจะยิ่งใหญ่ แต่อันตรายไม่ได้น้อยเลยนะ”

ฝูงชนส่งเสียงอึกทึกด้วยความกระวนกระวาย

เฉินซีเงยหน้าขึ้น แล้วพบว่าหอคอยอักขระยันต์รอบข้างที่ตั้งตระหง่านเหนือท้องนภา ถูกห้อมล้อมด้วยระลอกคลื่นแปลกประหลาด กระจายไปทุกทิศทาง

ในเวลาเดียวกัน สะพานสายรุ้งนับพันพุ่งออกจากเจดีย์ต้าเหยี่ยน ตกลงสู่พื้นราวกับสะพานโค้ง และที่ปลายทางของสะพานโค้ง ประตูส่องแสงสว่างเปิดออก!

ซู่ ๆ!

ทันทีที่สะพานสายรุ้งปรากฏขึ้น ผู้บ่มเพาะที่นี่ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป ก่อนพุ่งออกไปราวกับเงาสีดำ ผ่านไปสักพัก ทั่วทั้งบริเวณพลันโกลาหล ผู้บ่มเพาะบางส่วนเบียดเสียดกันบนสะพานสายรุ้ง และทันทีที่เข้าใกล้เจดีย์ต้าเหยี่ยน พวกเขาก็เริ่มยกมือขึ้น ตะโกนสบถไปมาไม่มีสิ้นสุด

“ฮ่า ๆๆ เหลียงปิง เจ้าควรเข้าใจถึงความสำคัญของสมบัติบนชั้นที่สิบนะ ในเมื่อไม่อยากผูกมัดตัวเองไว้กับข้า เช่นนั้นก็ไปเจอกันบนชั้นที่แปดแล้วกัน!”

หลัวจื่อเซวียนพลันพุ่งขึ้นไปในอากาศ เส้นผมยาวพลิ้วไหว สายตาจับจ้องเหลียงปิงราวกับสายฟ้าเย็นเยือก เขาหัวเราะแล้วกล่าวเช่นนั้น จากนั้นจึงหันหลังแล้วพุ่งเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยนพร้อมกับกลุ่มคน

“เข้าไปข้างในด้วยกันเถอะ” เหลียงปิงดูสงบ นางออกคำสั่ง เลือกสะพานสายรุ้ง ก่อนพุ่งเข้าไปพร้อมกับเฉินซีและเถิงหลาน

แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าห้ามเขา

และเพราะกลุ่มของหลัวจื่อเซวียนกับกลุ่มของเหลียงปิงเดินเข้าไปแล้ว ประตูสองบานที่มีสะพานสายรุ้งทอดออกมา จึงไม่มีใครเลือกได้อีกแล้ว

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก พวกเขาคือสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่ ผู้ติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขา อย่าว่าแต่ได้กินน้ำแกงเลย แค่ชิมสักคำยังไม่ได้ด้วยซ้ำ! ผู้คนที่นี่ไม่ได้โง่ จึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ตามหลังไป

……

ทันทีที่เข้าสู่เจดีย์ต้าเหยี่ยน เฉินซีก็รู้สึกถึงคลื่นพันธนาการอันแรงกล้าปะทะเข้าใส่ใบหน้า แม้กระทั่งร่างกายก็คล้ายจมลงเล็กน้อย ราวกับแช่อยู่ในน้ำ

เท้าของชายหนุ่มเหยียบบนพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นไป จึงพบกับชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ต้าเหยี่ยน

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ มีเพียงขั้นบันไดหินที่สร้างจากหินสีน้ำเงินตรงหน้า ซึ่งพาขึ้นไปชั้นแล้วชั้นเล่า นำไปสู่จุดสูงสุด และหากนับอย่างละเอียดแล้ว เหมือนจะมีมากถึงเก้าสิบเก้าขั้น

บนนั้นมีประตูที่ปกคลุมด้วยแสงสว่างอยู่

ทว่าในชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ไม่ได้มีเพียงขั้นบันไดหินนี้เท่านั้น แต่ยังมีประตูบานอื่นอีก และเมื่อนับดูแล้ว พวกมันก็มีถึงเก้าสิบเก้าบานด้วยกัน

หากมองจากที่สูง จะพบว่ามีประตูอยู่ ณ จุดสูงสุดเก้าสิบเก้าบาน มีขั้นบันไดหินทอดลงมาจากเบื้องหน้าประตูแต่ละบาน ซึ่งบันไดเหล่านั้นต่างก็มีเก้าสิบเก้าขั้นเช่นกัน

ระหว่างขั้นบันไดหินมีรอยแยกมิติอยู่ ส่องแสงไปมาในความว่างเปล่า ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้ากับรอยแยกมิติดังกล่าว อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะเลย แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ไม่กล้าก้าวข้ามพวกมัน

ถึงอย่างไร อันตรายของรอยแยกมิติ แทบทุกคนต่างรู้เป็นอย่างดีว่า ทันทีที่ตกลงไป พวกเขาก็จะถูกพายุมิติเวลาที่อยู่ข้างในบดขยี้ทันที ยากจะมีชีวิตเหลือรอด

รอยแยกมิติเหล่านี้คือค่ายกลที่สรรค์สร้างด้วยธรรมชาติ ทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ตามขั้นบันไดไม่สามารถก้าวไปสู่บันไดอีกแห่งได้ หมายความว่าหากพวกเขาเลือกขั้นบันไดแล้ว คนผู้นั้นก็จะมีชะตาที่จะต้องขึ้นไปอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปยังบันไดอีกแห่ง

ตอนนี้ ผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่อีกฝั่งของขั้นบันไดหิน ต่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็มีสิบคนบนบันไดหิน และเมื่อหลายสิบคนรวมอยู่ที่เดียวกัน มันจึงดูแออัดยิ่งนัก

เฉินซีก็เห็นหลัวจื่อเซวียนกับกลุ่มที่เหลือตรงไปถึงปลายทางของขั้นบันไดหินแล้วเช่นกัน …ก่อนที่พวกเขาจะเข้าประตูแล้วหายไป

“!!!”

“อ๊าก!”

ในตอนนี้ มีเสียงร้องน่าสังเวชดังขึ้น

เฉินซีชำเลืองมอง จนได้พบผู้บ่มเพาะคนหนึ่งในขอบเขตสถิตกายากำลังกลิ้งลงมาจากขั้นบันไดหิน กระอักโลหิตออกมาไม่หยุด คล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เหอะ ช่างไม่เจียมตัว! ทุกขั้นบันไดเต็มไปด้วยข้อห้าม ดังนั้นหากไม่แข็งแกร่งพอก็จงอย่าได้ก้าวขึ้นมาจะดีกว่า” ใครบางคนพ่นลมออกจมูกอย่างเหยียดหยาม

“เขาได้รับบาดเจ็บจากข้อห้ามบนขั้นบันไดหินนี่เอง…” เฉินซีเข้าใจทันที เพียงชำเลืองมอง ชายหนุ่มก็พบว่าบนขั้นบันไดหินเหล่านั้น การก้าวย่างของเซียนปฐพีดูสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างราบรื่น

ส่วนผู้มีสมาธิอันแก่กล้าจะระแวดระวังยิ่ง ทุกย่างก้าวต้องคิดให้ดี

“ข้อห้ามบนขั้นบันไดล้วนสร้างมาจากพลังของอักขระยันต์ในเจดีย์ต้าเหยี่ยน ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร พลังยิ่งมากตามไปด้วย ดังนั้นหากเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลอักขระยันต์ ย่อมไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูงได้ง่ายกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น”

เถิงหลานอธิบายอย่างอบอุ่นจากทางด้านข้าง “เจ้าเคยเห็นพลังของหอคอยยันต์อักขระในหมู่บ้านจินซางและเมืองนกนางแอ่นแดงมาแล้ว เจ้าควรเข้าใจนะว่าอำนาจยันต์อักขระมันทรงพลังเพียงใด และที่สำคัญ อำนาจของหอคอยพวกนั้น ก็ล้วนแต่มาจากเจดีย์ต้าเหยี่ยนตรงหน้าเจ้านี่แล”

เฉินซีพยักหน้า เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่เขาก็ยังอดประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้

ทั่วทั้งพิภพยันต์อักขระนั้นยิ่งใหญ่ มีหมู่บ้าน และเมืองกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน พลังของหอคอยยันต์อักขระในสถานที่เหล่านี้ล้วนมาจากเจดีย์ต้าเหยี่ยน จากจุดนี้ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ายันต์ในเจดีย์ต้าเหยี่ยนยิ่งใหญ่แค่ไหน!

“เนื่องจากข้อห้ามข้างในนี้รุนแรงมาก และมีเคล็ดวิชาล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวที่รออยู่บนชั้นสูงสุด แต่ผู้บ่มเพาะทั้งหลายก็ยังคงพยายามบุกทะลวงขึ้นไปอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม

“ง่ายมาก เพื่อให้ได้รับพลังธรรมเทพมาอย่างไรเล่า”

ครั้งนี้เป็นเหลียงปิงที่ตอบ ดวงตาของนางเหมือนกับผิวน้ำ ขณะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภายในเจดีย์ต้าเหยี่ยนแห่งนี้ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ใฝ่ฝันได้ด้วยพลังธรรมเทพ!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท