บทที่ 859 ความลับของวิวัฒนาการ
บทที่ 859 ความลับของวิวัฒนาการ
น้ำลายเมฆาครามมังกรเกล็ดทอง
ผงมหากระจ่างเก้าหยิน
สุราเซียนเมามายร้อยค่า
สมบัติหายากนานาชนิดถูกแลกเปลี่ยนจาก ‘ดวงแสงหมื่นสรรพสิ่ง’ ขณะที่ดวงแสงพลังธรรมเทพบนแผ่นป้ายธรรมเทพของพวกกู่หลิวสุ่ยกลับลดลงคนแล้วคนเล่า
ในหมู่พวกเขา มีผู้สืบทอดสายตรงจากสองในสี่ของสี่ตระกูลใหญ่แห่งพิภพยันต์อักขระ ส่วนที่เหลือเป็นหนุ่มสาวจากภพเซียน ดังนั้นแล้วจำนวนพลังธรรมเทพที่พวกเขามีจึงเป็นจำนวนที่น่าทึ่งนัก
แต่ตอนนี้เพียงชั่วพริบตา มันกลับถูกกวาดล้างสิ้น มีเพียงสมบัติหายากสิบเจ็ดชนิดที่ถูกแลกเปลี่ยน และถูกหม้อใบจิ๋วกลืนกินราวกับวัวกำลังเคี้ยวดอกโบตั๋น ไม่ได้รู้สึกผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด
หากฉากนี้ถูกพวกกู่หลิวสุ่ยเห็นเข้า พวกเขาย่อมเสียสติอย่างแน่นอน!
ต้องทราบก่อนว่า แม้กระทั่งฐานะของพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการสั่งสมเท่าไร จึงจะสั่งสมพลังธรรมเทพได้มากขนาดนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกปล้นชิงโดยหม้อใบจิ๋ว …การสูญเสียเช่นนั้นอาจจะแย่ยิ่งกว่าการถูกสังหารด้วยซ้ำ!
โชคดี ที่ยามนี้พวกเขาหมดสติอยู่ จึงไม่ได้เป็นสักขีพยานกับฉากโศกนาฏกรรมนี้ นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
วิ้ง!
ขณะกำลังกลืนกินสมบัติหายากจำนวนมาก ทั่วทั้งร่างของหม้อใบจิ๋วพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างที่ดูเหี่ยวแห้งพลันอ้วนท้วมขึ้น ดูกลมเกลี้ยงเกลาขึ้น เหมือนกับบอลยางขนาดเล็ก มันส่องแสงไปทั่ว ดูน่าขบขันไม่เบา จนผู้คนอดอยากจิ้มท้องน้อยด้วยปลายนิ้วไม่ได้
“ในที่สุดก็ควบคุมอารมณ์ได้เสียที…” เสียงของหม้อใบจิ๋วพลันเปลี่ยนไป ไม่เจื้อยแจ้วขี้บ่นอีก มันสงบดุจสระน้ำนิ่ง ปราศจากคลื่น ไม่มีความแปรปรวนทางอารมณ์แม้แต่นิดเดียว
นี่คือหม้อใบจิ๋วดั้งเดิม
ทว่าอึดใจต่อมา มันดูจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง จึงสบถออกมาว่า “บัดซบ! เจ้าเด็กนั่นเห็นรูปลักษณ์เดิมของข้าเข้าแล้ว จบกัน ภาพลักษณ์ของข้าในตอนนี้พังหมดแล้ว…”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น เสียงของมันพลันสูญสิ้นความรู้สึกของ ‘สัมผัสมนุษย์’ เหมือนก่อนหน้านี้ กลายเป็นแหบแห้งน่าขนลุก ราวกับปราศจากอารมณ์
ตึก!
ในตอนนี้ เฉินซีผู้อยู่บนบันไดหินขั้นที่หนึ่งก็ขยับ เขาย่างเท้าสู่ขั้นที่สอง ความเร็วปานกลาง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเดินเล่นในลานบ้าน ดูเป็นธรรมชาติ
ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสขั้นบันได พลันมีแสงสว่างเรืองรองอยู่ใต้เท้า ลวดลายดอกบัวเต๋าสีทองผุดขึ้นมา ส่องสว่างบนขั้นบันไดหิน
ตู้ม!
เมื่อดอกบัวสีทองหายไป ความผันผวนแปลกประหลาดที่มองไม่เห็นพลันกระจายตัวออก ก่อระลอกคลื่นที่มองไม่เห็น เข้าปกคลุมทั่วทั้งเจดีย์ต้าเหยี่ยนในทันที!
“ในที่สุดก็ถึงขั้นนี้เสียที…” หม้อใบจิ๋วพึมพำ
…
ณ ชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยน
เหลียงปิงดูเย็นชา ใบหน้ามีเสน่ห์เป็นประกายซีดเซียว ชุดงดงาม ถูกอาบย้อมไปด้วยคราบโลหิตสีทอง
นางบาดเจ็บ!
จากการต่อสู้อันดุเดือดจนถึงตอนนี้ หลัวจ้านเป่ย ชายในชุดดำ กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้นต่างเข้าล้อมโจมตีด้วยอำนาจในขอบเขตเซียนลึกล้ำ ทำให้นางและเถิงหลานค่อย ๆ เสียเปรียบอย่างช้า ๆ
การเกิดบาดแผลจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่นางก็ยังแข็งแกร่งไม่เบา แม้จะเสียเปรียบ แต่แส้ยาวสีดำในมือบางกลับยังคงชี้ไปที่สวรรค์และโลก แผ่กลิ่นอายสังหารทำลายล้างอันไร้เทียมทานออกมาไม่หยุด
เทียบกับนางแล้ว เถิงหลานได้รับบาดแผลสาหัสยิ่งกว่า คราบโลหิตที่มุมปากยังคงไหลลงมา ใบหน้าของเขาซีดจนแทบจะโปร่งใส แม้กระทั่งกลิ่นอายยังให้ความรู้สึกเหมือนกับรั้งสุดปลายศร
เหลียงปิงรู้ดีว่าที่ท่านลุงหลานโดนเล่นงานอย่างหนัก เป็นเพราะนาง หลายครั้งที่ตกอยู่ในอันตราย เป็นท่านลุงหลานที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยนางเอาไว้…
“คุณหนูใหญ่ ข้าคงไม่อาจต้านรับได้อีก ดังนั้นคุณหนูช่วยสัญญากับข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?” เสียงของเถิงหลานดังใกล้หูของนาง
“ลุงหลาน อย่าพูดจาเหลวไหล!” เหลียงปิงตวาด แต่ขอบตาของนางกลับแดงก่ำเล็กน้อย ร่างกายถึงขั้นสั่นไหว คล้ายนึกสงสัยว่าตนเองตัดสินใจพลาดไปหรือเปล่า
“คุณหนูใหญ่ ท่านได้รับการดูแลจากข้าตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นคนเลือดร้อนหรือเย็นชาเพียงใด แต่ในสายตาข้า ท่านก็เป็นดั่งลูกในไส้ของข้า ฉลาด กล้าหาญ ปราดเปรื่อง งดงาม… เป็นสาวน้อยที่สมบูรณ์แบบ คำสั่งของท่าน ข้าไม่เคยปฏิเสธ แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งเดียวที่ท่านต้องฟังข้า เข้าใจหรือไม่?”
เถิงหลานต่อสู้กับศัตรูอย่างดุเดือดไปพลาง กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าไปพลาง คราบโลหิตที่มุมปากยิ่งไหลมาก จนย้อมไปทั้งชุด ดูน่าตกตะลึงนัก
“ลุงหลาน พูดมาเลย” เหลียงปิงกัดฟัน พยายามเค้นคำพูดออกมาจากริมฝีปาก เปลวเพลิงโทสะในดวงตาลุกโชน ทันใดนั้นนางก็เริ่มเกลียดชังตัวเองขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เพราะความพลั้งเผลอ รวมถึงความดื้อรั้น เรื่องทั้งหมดในวันนี้จะเกิดขึ้นหรือ?
“มีชีวิตอยู่ต่อไป!” เถินหลางปัดป้องการโจมตีจากชายชุดดำด้วยฝ่ามือ ทว่าก็ยังถูกกระแทกจนกระอักโลหิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่ตัวคนกลับยังคงพุ่งไปข้างหน้า ไม่เต็มใจที่จะล่าถอย
“มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือ?” มีความขมขื่นแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเหลียงปิง หรือนี่จะเป็นจุดจบของนางแล้ว?
“ใช่แล้ว มีชีวิต! หลังจากนั้นฟังคำพูดข้าให้ดี รีบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะต่อสู้เพื่อเปิดโอกาสให้ และท่านต้องเชื่อฟัง!”
ใบหน้าซีดแทบโปร่งใสของเถิงหลานเผยความโหดเหี้ยม ในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะปฏิเสธ มันทั้งดูใจกว้างและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน
“ข้า…” เหลียงปิงรู้สึกเสียใจ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
“เหอะ! ขอข้าดูหน่อยเถิดว่าเจ้าจะดิ้นรนจากความตายได้นานสักแค่ไหนกันเชียว! อย่าคาดหวังให้มากนักเลย ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถช่วยเจ้าได้ในวันนี้หรอก!”
ในตอนนี้ หลัวจ้านเป่ยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดออกมา “ทุกท่าน พยายามให้มาก ส่งพวกมันลงหลุมซะ!”
ทันใดนั้น การต่อสู้พลันดุเดือดทวีความรุนแรงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามันถึงจุดที่ผลลัพธ์กำลังจะบังเกิดในไม่ช้า!
ตู้ม!
ในยามนั้น ความผันผวนแปลกประหลาดพลันกระจายลงจากยอดเจดีย์ต้าเหยี่ยน กวาดผ่านผู้คน
คลื่นนี้ทั้งลึกลับ กว้างใหญ่ และลึกล้ำราวกับพายุหมุนกำลังกวาดผ่านหัวใจของทุกคนในตอนนี้ ทำให้คนแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง!
ต้องทราบก่อนว่าพวกเขาคือเซียนลึกล้ำ! แต่ต่อหน้าความผันผวนแปลกประหลาดนี้ กลับรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก!
“แย่แล้ว! ใครบางคนเริ่มเดินไปยังชั้นสิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยนแล้ว!” ใบหน้าของพวกหลัวจ้านเป่ยพลันเปลี่ยนไป พวกเขาคาดเดาแหล่งกำเนิดความผันผวนนี้ได้ในทันที
พวกเขาบ่มเพาะอยู่ในพิภพยันต์อักขระมานานแสนนาน จึงเคยเห็นผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนก้าวเข้าสู่ชั้นสิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ดังนั้นจะไม่คุ้นเคยกับกลิ่นอายผันผวนแปลกประหลาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อสามพันปีก่อน มีสตรีผู้หนึ่งเดินไปสู่ชั้นสิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ถูกสร้างขึ้น ในตอนนั้น หลัวจ้านเป่ย กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“ข้านึกอยู่แล้วว่าเขาจะต้องทำได้!” ริมฝีปากของเหลียงปิง พลันคลี่ยิ้มออกกว้าง!
“ลุงหลาน! เลิกคิดได้แล้ว ถอยมาก่อน รอให้เฉินซีกลับมา!” น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความมั่นใจ จิตวิญญาณต่อสู้เพิ่มขึ้น ทั่วร่างให้ความรู้สึกเปล่งประกาย
“ได้!” เถิงหลานพยักหน้า รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ในชั่วพริบตา เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ต่อให้เขากลับมาจากชั้นสิบ แต่สถานการณ์ของพวกเราก็น่าจะยากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว…”
“ไม่ต้องห่วง เรือจะแล่นตรงเมื่อไปถึงสะพาน” ดวงตาของเหลียงปิงเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า ดูมั่นใจยิ่งนัก
ไม่เพียงแค่ชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนเท่านั้น แต่ในเจดีย์ชั้นล่าง เหล่าผู้บ่มเพาะที่ดิ้นรนกับการไต่ขึ้นมาต่างสังเกตเห็นความผันผวนอันแปลกประหลาดนี้เช่นกัน ทุกคนจึงพากันตกตะลึง
ใครบางคนกำลังขึ้นไปยังชั้นสิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยนหรือ?
ใช่ตัวตนอันทรงพลังจากสี่ตระกูลใหญ่หรือไม่?
บนชั้นสิบของเจดีย์ต้าเหยี่ยน
เฉินซีดูสงบอย่างประหลาด เขาพบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่ง สัมผัสได้ว่าร่างกายถูกควบคุมด้วยความคิดอันน่าสะพรึง ขณะที่วิญญาณกำลังมองดูจากทางด้านข้างอย่างเย็นชา
เขาไม่รู้สึกขุ่นเคือง งุนงง ไม่แม้แต่มีความคิดที่จะช่วงชิงการควบคุมร่างกายกลับมา แต่กลับรู้สึกสงบและเฉยชาราวกับไร้อารมณ์ใด
เขารู้สึกได้ถึงพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ตอนย่างเท้าเข้าสู่ขั้นแรกของบันไดหินที่กำลังช่วยเหลือ และเข้าควบคุมร่างกายของเขาทางอ้อม
บางทีอาจเป็นเพราะชายหนุ่มเชื่อว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากจะไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำตัวสงบได้
ที่สำคัญ เฉินซีในขณะนี้ยังคงคิดอะไรไม่ออก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หยุดคิด
ในมุมมองของเขา มีโลกกว้างใหญ่หาใดเปรียบปรากฏขึ้นมา มันเป็นสีดำสนิท เงียบสงัด ว่างเปล่า ราวกับไร้พรมแดน ส่วนตัวเขากำลังยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางโลกโกลาหลมืดมิดนี้ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างยื่นไปในความว่างเปล่า
วาบบบ!
เส้นทางลึกลับวูบไหว ท่ามกลางโลกอันมืดมิด แสงสว่างเจิดจ้าพลันปรากฏขึ้น แยกความมืดออกจากกัน ฉีกกระชากรอยแยกออก จากนั้นจึงก่อเกิดสวรรค์และปฐพี!
วูบ!
เส้นทางที่งามงดและยืดหยุ่นปรากฏขึ้นตรงหว่างนิ้ว มีดวงดาวนับไม่ถ้วนประดับอยู่บนท้องนภาพร่างพราย
……
ฟ้าว ๆ…
กลุ่มวิถีเต๋าลึกล้ำถ่ายเทออกมาจากปลายนิ้ว ขุนเขาธารา ต้นไม้ใบหญ้า สิงสาราสัตว์ ภูตผีวิญญาณ… ทุกสรรพสิ่ง ทุกชีวิตเริ่มปรากฏขึ้น ทำให้โลกทั้งใบสมบูรณ์ขึ้นมา
กระบวนการทั้งหมดคล้ายกับตอนที่ชายหนุ่มกำลังสร้างแดนฮุ่นตุ้นในจุดตันเถียน มันมีความคล้ายคลึงกันจนน่าทึ่ง แต่ลึกลับยิ่งกว่า มีการตีความ การสรรค์สร้าง และการสืบทอดที่ไม่เหมือนใคร
หรือก็คือแดนดินแห่งนี้มีชะตา วาสนา และชีวิตของโลกที่กำลังดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับความลับสวรรค์กำลังหมุนเวียน และกำลังเกิดการวิวัฒนาการครั้งใหญ่ในแดนดินแห่งนี้
เฉินซีตกตะลึง เขาพลันจำได้ว่า ผู้อาวุโสฝูซีเคยได้สังเกตแผนภาพวารีหลากเพื่อทำความเข้าใจหลักการเปลี่ยนแปลงในความลับสวรรค์ ในที่สุดก็ควบคุมวิถี จนสาวไปถึงปลายทางของวิถีสวรรค์ได้สำเร็จ!
เหตุการณ์ตรงหน้าเขา ถึงแม้จะไม่ใช่การสังเกตการณ์แผนภาพวารีหลากที่แท้จริง แต่ก็มีความคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นหลักการแห่งสวรรค์ที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ใช้ร่างของเขาเพื่อสำแดงออกมา!
แม้ว่าสภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ จะยังไม่อาจทำการทะลวงผ่านขอบเขตได้ แต่ประสบการณ์นี้ย่อมมากพอที่จะทำให้เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเบื้องหน้าราบรื่นขึ้น!
เพราะเมื่อผู้อื่นยังครุ่นคิดอย่างหนักว่าวิถีสวรรค์คืออันใด เขาก็ได้เห็นหลักการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการตีความอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งขอเพียงหมั่นบ่มเพาะ ชายหนุ่มก็จะสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อทะยานข้ามขอบเขต จนกลายเป็นดั่งตัวตนในตำนานเพียงหนึ่งเดียว!
โดยไม่รู้ตัว เฉินซีก็หมกมุ่นกับมัน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด หลงลืมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเวลา ไม่รู้อะไร ได้แต่ก้าวเดิน มุ่งสู่ขั้นที่สามของบันไดหิน!
ก่อนที่ในสายตา เหตุการณ์ตรงหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง!