บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 862 เผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 862 เผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง

บทที่ 862 เผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง

เมื่อเฉินซีกลับไปยังที่ชั้นที่เก้าของเจดีย์ต้าเหยี่ยน เขาก็เห็นกู่หลิวสุ่ยและคนอื่น ๆ กองอยู่บนพื้น ซึ่งแต่ละคนก็มีก้อนปูดบวมอยู่ที่ด้านหลังศีรษะ ทำให้ดูน่าขบขันอย่างยิ่ง

ท่าทางแปลก ๆ ปรากฏบนริมฝีปากของเฉินซี “หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหม้อใบจิ๋ว?” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สายตาของชายหนุ่มได้กวาดมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส?”

ไม่มีใครตอบกลับ

เฉินซีตกตะลึง “หรือว่าผู้อาวุโสได้จากไปแล้ว?”

“ฆ่าพวกมันทั้งหมดแล้วจากไปซะ” ในขณะนี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากบริเวณโดยรอบ และมันก็เป็นเสียงของหม้อใบจิ๋วอย่างแน่นอน

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที หากกล่าวกันตามตรงละก็ หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเห็นหม้อใบจิ๋วจากไป เพราะแม้ว่าหม้อใบจิ๋วจะช่างพูดจนเหมือนจู้จี้ แต่สถานะของมันในใจของเขาในตอนนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง

โดยไม่ลังเลใด ๆ ยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มตวัดออกไปซ้ำ ๆ เข้าเชือดคอของกู่หลิวสุ่ยและคนอื่น ๆ

…เฉินซีลงมืออย่างเด็ดขาดและไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย!

นับตั้งแต่ที่พวกเขาขึ้นไปบนเจดีย์ต้าเหยี่ยน คนพวกนี้ก็กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต และเฉินซีก็เชื่อมั่นว่า หากเป็นเขาที่นอนอยู่บนพื้น เขาก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!

สำหรับคุณชายและคุณหนูจากภพเซียน หนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย เฉาเหอ และฉู่เซียว แม้ว่าพวกเขาจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา แต่คนพวกนี้ก็สมควรตายเพราะทำให้เฉินซีขุ่นเคืองใจ!

“ไปกันเถอะ” หลังจากจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เก็บยันต์ศัสตรา และตั้งใจที่จะออกจากชั้นที่เก้า

“ช่างมันเถิด พลังของข้ายังไม่ฟื้นดี ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะปล่อยพวกไป” เสียงของหม้อใบจิ๋วดังขึ้น แต่มันยังไม่แสดงตัว

“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าพวกมันยังไม่ตาย?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาจึงก้มศีรษะลงเพื่อตรวจดูศพจำนวนมากบนพื้น พลังชีวิตในร่างกายเหล่านี้ได้ดับสูญหมดแล้ว และไม่มีทางที่พวกมันจะฟื้นคืนชีพ

“เด็กน้อยเหล่านั้นมาจากภพเซียน และพวกมันได้เก็บดวงวิญญาณเอาไว้ที่ภพเซียน ดังนั้น เว้นแต่เจ้าจะบุกเข้าไปในนิกายของพวกมันและทำลายล้างดวงวิญญาณเหล่านั้น มิฉะนั้น พวกมันก็จะฟื้นคืนชีพได้” หม้อใบจิ๋วกล่าวอย่างใจเย็น

“ท่านว่าอันใดนะ!?” เฉินซีตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ผู้คนจากภพเซียนจะต้องเก็บดวงวิญญาณของพวกเขาไว้ที่นิกาย และไม่มีทางฆ่าพวกมันได้หรอกหรือ?

“มีเพียงนิกายที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ฟื้นคืนชีพจากดวงวิญญาณของพวกมันแล้ว พวกมันจะต้องเริ่มบ่มเพาะใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นมันจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย” จากนั้นหม้อใบจิ๋วก็อธิบาย

เฉินซีพอจะเข้าใจแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถามออกไปว่า “ผู้อาวุโส แล้วตราประทับเทพปฐพีที่อยู่ในความครอบครองของกู่หลิวสุ่ยล่ะ?”

“ข้ากินมันเข้าไปแล้ว” คำตอบของหม้อใบจิ๋วนั้นตรงไปตรงมา

เฉินซีตกตะลึง และเขารู้สึกหมดหนทางอย่างยิ่ง เพราะเขาจะทำสิ่งใดได้อีกในเมื่อมันถูกกินไปแล้ว?

แต่หลังจากนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า เสียงของหม้อใบจิ๋วดูจะกลับมาเป็นปกติแล้ว มันทั้งราบเรียบ ไม่แยแส และไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

‘หรือว่าข้อบกพร่องของผู้อาวุโสได้รับการเยียวยาแล้ว?’

เฉินซีพอคาดเดาได้ว่า มันอาจเกี่ยวข้องกับการกลืนกินสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพราะแม้แต่ตราประทับเทพปฐพีก็ยังถูกมันกลืนกินเข้าไป ดังนั้นหากมันยังจู้จี้เหมือนสตรีขี้โมโหอยู่อีก ก็คงไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริง…

“ไปกันเถอะ” ในขณะนี้ คลื่นพลังผันผวนได้ปรากฏอยู่ในอากาศ จากนั้นหม้อใบจิ๋วปรากฏตัวขึ้น และมันก็สว่างวาบก่อนที่จะหายไปในแขนเสื้อของเฉินซี

“ตกลง!” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนที่ร่างของเขาจะสว่างวาบ และพุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่าตรงหน้า

ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้เห็นกระบวนการซ่อมแซมเจดีย์ต้าเหยี่ยนทั้งหมด โดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ใช้ร่างกายของเขา ชายหนุ่มจึงได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับผังยันต์อักขระและข้อจำกัดในเจดีย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีทางกลับไปสู่ชั้นที่แปดได้

ถึงขนาดที่ว่า หากเขาต้องขึ้นไปบนเจดีย์จากชั้นแรกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็สามารถขึ้นไปถึงชั้นที่สิบได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกเลย

“โชคดีที่เด็กคนนี้ไม่สังเกตว่าข้าอ้วนขึ้น มิฉะนั้น มันคงน่าอายเกินไป…” ร่างอ้วนท้วมที่เหมือนลูกโป่งน้ำของหม้อใบจิ๋วหดกลับเข้าไปในเสื้อบนหน้าอกของเฉินซี และมันซ่อนตัวให้ลึกยิ่งกว่าเดิม

ที่ชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยน

หลัวจื่อเซวียนเป็นเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ขณะที่ตัวคนเดินขึ้นลงไปมา และที่หว่างคิ้วก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความโกรธ “ข้าสงสัยว่าไอ้เด็กบัดซบนั่นขึ้นไปถึงขั้นใดของบันไดชั้นที่เก้า…”

การต่อสู้ระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับใต้บันไดได้ดำเนินมาหนึ่งชั่วยามแล้ว

จนกระทั่งการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ เหลียงปิงกับเถิงหลานต่างโชกไปด้วยเลือด หว่างคิ้วของพวกเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า และไม่ว่าความเชื่อมั่นในใจของคนทั้งคู่จะแข็งแกร่งเพียงใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายที่ด้อยกว่าก็ยากจะหลบหนีได้!

ถึงกระนั้นเถิงหลานกับเหลียงปิงก็ยังสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ ทำให้หลัวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ จิตสังหารของหลัวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งมากขึ้น เพราะหากฝ่ายตรงข้ามสามารถหลบหนีไปได้ มันจะนำไปสู่ปัญหาที่ไม่มีทางสิ้นสุดในภายภาคหน้า!!

ภาพตรงหน้าของพวกเขาคือ เถิงหลานกับเหลียงปิงที่เป็นเหมือนใบไม้สองใบลอยอยู่ในมหาสมุทร กำลังถูกคลื่นซัดกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าพวกเขาดูเหมือนใกล้จะจม แต่คนทั้งสองก็ยังพยายามดิ้นรน และไม่ยอมรับชะตากรรม!

หลัวจื่อเซวียนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ในขณะที่พึมพำอย่างคลุ้มคลั่ง “ไอ้พวกขยะ! พวกมันไม่แม้แต่จะฆ่าไอ้เด็กบัดซบนั้นได้?! ถ้ามันสามารถขึ้นสู่ชั้นที่สิบได้จริง ๆ ละก็…”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายของหลัวจื่อเซวียนก็แข็งทื่อไป และเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก แต่สีหน้าของเจ้าตัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ “แม้ว่าไอ้เด็กบัดซบนั่นจะได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะ แต่ยังมีโอกาสให้พลิกสถานการณ์ได้ เราแค่ต้องเฝ้ารอที่นี่ และรอมันลงมาก่อนค่อยสังหารมัน จากนั้นค่อยชิงเคล็ดวิชาบ่มเพาะมาจากศพมันก็พอ!”

หลัวจื่อเซวียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ และความกระสับกระส่ายในใจของเขาพลันถูกลบออกไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ร่างกายของเจ้าตัวรู้สึกผ่อนคลาย

เขาหวังว่ากู่หลิวสุ่ย และคนอื่น ๆ จะตายที่นั่น เพราะด้วยวิธีนี้จะไม่มีใครแบ่งปันผลแห่งความสำเร็จของเขาอีกต่อไป

“ท่านลุงสามและผู้อาวุโสอย่าได้ฆ่านังแพศยานั่นเลย ข้าอยากแต่งงานกับนาง ถ้าข้าไม่อาจฝึกนางให้เชื่องดั่งสุนัข ข้าก็คงค้างคาใจยิ่ง!” หลัวจื่อเซวียนเหลือบมองไปยังเหลียงปิง พลางหัวเราะเสียงดังอย่างชั่วร้ายและน่ากลัว แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังแฝงความอนาจาร

“ฮ่า ๆๆ! วิเศษมาก!” หลัวจ้านเป่ยระเบิดเสียงหัวเราะ

เขามีประสบการณ์โชนโชนกว่าหลัวจื่อเซวียนหลายต่อหลายเท่า ดังนั้นชายชราจึงทราบได้ว่า ในเวลานี้ เคล็ดวิชาบ่มเพาะที่อยู่บนชั้นที่สิบน่าจะตกอยู่ในมือของผู้อื่นอย่างแน่นอน ดังนั้น การเปลี่ยนกลยุทธ์และเฝ้ารอที่นี่เพื่อฆ่าคนผู้นั้นคือวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ท่าทีของกู่จิ่วเจินและอินปี้อวิ้นในขณะนี้ยังคงเฉยเมย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้กล่าวอะไร และไม่ว่าในกรณีใด เหลียงปิงที่ตกอยู่ในมือของหลัวจื่อเซวียน ผลลัพธ์ก็ไม่นับว่าต่างอะไรกับการฆ่านาง และมันก็ทรมานยิ่งกว่าความตายเสียอีก

ส่วนชายชุดดำ เขาไม่เคยกล่าวเลยสักครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งกลิ่นอายที่น่าเกรงขามของเขาก็น่ากลัวและโหดเหี้ยมยิ่ง

“หลัวจื่อเซวียน เพราะสิ่งที่เจ้ากล่าว ข้าจะลากเจ้าลงไปกับข้าแม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม!” ดวงตาของเหลียงปิงทอประกายเย็นชา และเสียงที่นุ่มนวลของนางได้เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม

โครม!

หลัวจ้านเป่ยฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายกล่าวพุ่งไปข้างหน้า ก่อนที่กำปั้นของเขาจะทุบไปยังไหล่ของเหลียงปิงอย่างรุนแรงราวกับภูเขาถล่มใส่ ซัดนางจนปลิวกระเด็น!

พรวด!

ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ เหลียงปิงอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ทำให้ใบหน้างามของนางซีดลง ในขณะที่กระดูกในร่างกายของหญิงสาวดูเหมือนใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ณ จุดนี้ของการต่อสู้ นางเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง และหลังทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีอย่างหนักนี้ หากไม่ใช่เพราะความตั้งใจอันมุ่งมั่นที่มี นางคงจะสลบไสลไปทันที!

“ฉวยโอกาสนี้จับตัวนางซะ!”

“ฆ่า!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ กู่จิ่วเจินกับอินปี้อวิ้นก็ลงมือในเวลาเดียวกัน พวกเขาต่างไล่ตามโดยหมายมั่นที่จะจับเหลียงปิงในคราวเดียว

“บังอาจ!” ทันใดนั้น เถิงหลานคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาของเขาแทบถลนออกมา น้ำตาไหลรินเป็นสายเลือด และโดยไม่คำนึงความปลอดภัยของตนเอง เจ้าตัวพลันกระโจนไปขวางหน้าเหลียงปิงเอาไว้ ใช้แผ่นหลังป้องกันการโจมตีของศัตรู

แคร็ก!

กระดูกทั่วร่างกายของเถิงหลานแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ และกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง ใบหน้าของซีดเผือดจนเหมือนขี้ผึ้ง แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก

ในขณะนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเซียนลึกลับ แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถคร่าชีวิตเขาได้

“ลุงหลาน!” ในที่สุด ใบหน้าของเหลียงปิงที่ปกติมักเย็นชาและเจ้าอารมณ์ได้เปลี่ยนไป นางร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่หญิงสาวทะยานไปยังด้านข้างของเถิงหลาน และนางก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาจากดวงตาได้เลย

“ฮ่า ๆๆ! ลุงสาม รีบจับตัวนังแพศยานั่นเร็วเข้า!” หลัวจื่อเซวียนยืนอยู่บนบันไดหิน พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เผยให้เห็นท่าทีเอาแต่ใจอันปราศจากการควบคุม

“ได้!” หลัวจ้านเป่ยระเบิดหัวเราะเช่นกัน เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ดวงตากลับหรี่ลง จากนั้นก็จดจ้องไปที่ข้างหลังหลัวจื่อเซวียนแทน

ในขณะนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น

ฟิ้ว!

จู่ ๆ ร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านหลังบันไดหิน เหมือนกับสายฟ้าที่นำพาแสงสว่างอันเย็นยะเยือก ฟาดลงมาที่หลัวจื่อเซวียน

หลัวจื่อเซวียนตกใจมาก และแทบจะพุ่งลงบันไดไปตามสัญชาตญาณ

พรวด!

น่าเสียดายที่เขายังก้าวช้าเกินไป และแขนขวาของเจ้าตัวก็ถูกฟันขาดสะบั้น ทำให้เกิดฝนเลือดสาดกระเซ็นในอากาศ ตัวคนส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช และโซเซจนล้มลงไปกองกับพื้น

ในขณะเดียวกัน ทุกคนต่างเห็นคนที่มาใหม่อย่างชัดเจน ร่างนี้สูงและมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา ซึ่งคือเฉินซีนั่นเอง!

เหลียงปิงยืนคุ้มกันอยู่ตรงหน้าเถิงหลานด้วยสีหน้าเศร้าโศก และร่างกายของนางก็สั่นสะท้านเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว แต่เมื่อหญิงสาวนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ดวงตาของนางก็พลันหรี่ลง “แม้ว่าเขาจะได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะจากชั้นที่สิบ แต่เราจะรอดพ้นจากการปิดล้อมของไอ้สารเลวเหล่านี้ได้อย่างไร?”

“คุณหนูใหญ่ เร็วเข้า… รีบออกไปกับเฉินซีเร็วเข้า… ข้า…ข้าจะช่วยพวกท่านฆ่า…ฆ่าเพื่อเปิดโอกาสที่จะมีชีวิตรอด!” เถิงหลานหอบหายใจอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กล่าวด้วยท่าทีกังวลอย่างมาก เสียงของเขาดูราวจะถูกเค้นออกมาจากไรฟันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

ซึ่งขณะที่กล่าว เถิงหลานก็พยายามยืนขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่สุดท้ายเขากลับต้องล้มลงบนพื้นอย่างแรง จนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และที่มุมปากบิดเบี้ยวเป็นเวลานาน ทว่ามันก็ยังไร้วาจาใดเล็ดลอดออกมา

ด้วยขณะนี้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและการตำหนิตัวเอง เถิงหลานรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถในเวลานี้!

“ลุงหลาน อย่าได้ขยับอีกเลย พวกเราต้องรอดแน่!” เหลียงปิงมีสีหน้าเจ็บปวด ขณะที่นางรีบหยุดการกระทำของเถิงหลาน

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนที่ตัดแขนเขาคือเฉินซี สีหน้าของหลัวจื่อเซวียนพลันบิดเบี้ยวและกลายเป็นป่าเถื่อนทันที จากนั้นจึงตะโกนว่า “ลุงสาม จับไอ้สารเลวนี่ซะ! อย่าได้ปล่อยให้มันหนีไปได้!”

นี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระยิ่ง เพราะเฉินซีมีค่าต่อหลัวจ้านเป่ยมาก แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ชายหนุ่มหนีไปได้อย่างไร?

“สหายเต๋ากู่ สหายเต๋าอิน เจ้าทั้งคู่โจมตีเหลียงปิงกับเถิงหลานต่อไป และต้องจับเป็นนาง ส่วนเจ้าเด็กนี่ ข้าจะจัดการกับเขาเอง!” หลัวจ้านเป่ยตะโกนเสียงดัง

ขณะที่กล่าว เขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง และหายไปในอากาศ ก่อนที่ในพริบตาต่อมา ตัวคนจะปรากฏตัวต่อหน้าเฉินซี …และส่งฝ่ามือคว้าไปยังลำคอของเฉินซีอย่างดุดัน!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท