บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 870 ความโกรธที่บ้าคลั่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 870 ความโกรธที่บ้าคลั่ง

บทที่ 870 ความโกรธที่บ้าคลั่ง

หัวใจของอันเคอวูบไหวเมื่อได้ยินคำถามของเฉินซี นางรู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว เนื่องจากเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจผิดได้ถูกปลูกลงไปในหัวใจของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีทางที่จะแก้ไขมันด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้

อีกทั้ง การกระทำของนิกายในครั้งนี้ก็มากเกินไป!

แม้ความคิดนี้จะผุดขึ้นมาในใจ ทว่าอันเคอก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “เฉินซี ศิษย์ที่เฝ้าทางเข้านิกายเพิ่มเข้าร่วมนิกายได้ไม่นานนัก พวกเขาย่อมไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องภายใน จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

สีหน้าของเฉินซียังคงคล้ำเครียด “เข้าใจผิด? ข้าได้แสดงป้ายคำสั่งแล้ว หรือว่านั่นจะไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ตัวตนของข้า? ซ้ำร้าย พวกเขายังจดจำข้าได้ดีในฐานะศัตรู เช่นนี้เรียกว่าเข้าใจผิดได้หรือ?”

อันเคอที่ถูกเค้นถามชะงัก นางถึงกับพูดไม่ออก

แน่นอนว่าเฉินซีรู้สึกแย่เมื่อเห็นนางตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากตอนที่เขาเพิ่งเข้านิกายมาใหม่ ๆ เมื่อหลายปีก่อน อันเคอก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาหลายครั้ง ดังนั้นแม้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงไหน ชายหนุ่มก็พยายามจะไม่เอาความรู้สึกนั้นมาลงกับนางเป็นอันขาด

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “อันเคอ ได้โปรดบอกข้ามาตามตรง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

อันเคอเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่รู้จะเริ่มต้นพูดจากตรงไหนดี หลังจากหยุดคิดไปขณะหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก นางจึงเริ่มเปิกปากพูด “เฉินซี เช่นนั้นก็ไปพบท่านประมุขนิกายกับข้าเถิด แล้วเจ้าก็จะเข้าใจทุกสิ่ง หากถามข้าแล้ว ข้าก็…ไม่รู้จะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างไรดี”

เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่าย หัวใจของชายหนุ่มพลันบีบรัด เขามีความรู้สึกลึก ๆ ว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงส่ายหัวปฏิเสธ “ข้าจะไปพบประมุขนิกายด้วยตัวเองในภายหลัง ตอนนี้ข้าขอตัวกลับไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกก่อน”

ทันทีที่เขาพูดจบ อันเคอเหมือนจะคิดบางอย่างได้ คำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของนางโดยไม่รู้ตัว “อย่านะ!”

ครั้นนางได้เห็นว่าเฉินซีมีสีหน้าที่เย็นชายิ่งขึ้น นางก็ทำได้เพียงกรีดร้องขึ้นมาในใจ ‘…แย่แล้ว!’

นางรีบพูดต่อว่า “เฉินซี ขอร้องล่ะ ไปพบท่านประมุขนิกายก่อน ข้าสาบานเลยว่ายอดเขาจรัสตะวันตกไม่ได้ประสบอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้ง ในช่วงที่เจ้าไม่อยู่นี้ ที่นั่นไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย”

ทว่ายิ่งนางพูดเช่นนี้ สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งย่ำแย่ เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม้ยอดเขาจรัสตะวันตกจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็อาจจะประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันครั้งใหญ่

“อันเคอ เห็นแก่ไมตรีของเราทั้งสอง ได้โปรดหลีกทางไปซะ!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตและหนักแน่นที่เกินจะทัดทานได้

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มไม่สนใจการห้ามปรามของอันเคอและมุ่งหน้าไปยังยอดเขาจรัสตะวันตกทันที

“เฉินซี ที่ยอดเขาจรัสตะวันตกไม่มีใครเหลืออยู่ทั้งนั้น!” อันเคอตะโกนตามหลังเขา

เฉินซีหยุดเคลื่อนไหวในทันที ท่าทางของเขาหลงเหลือเพียงความเยือกเย็น สำหรับคนที่คุ้นเคยกับชายหนุ่มมานาน ย่อมรู้ดีว่าท่าทางที่ดูสงบนิ่งและเรียบเฉยเช่นนี้ หมายความว่าเขากำลังโกรธอย่างยิ่ง!

ตอนนี้เอง แม้แต่คนนอกอย่างเหลียงปิงก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ “แม่นาง หากมีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ ขืนมัวแต่อ้ำอึ้งเช่นนี้รังแต่จะยิ่งทำให้การเข้าใจผิดลุกลามใหญ่โต หรือแท้จริงแล้วมีบางสิ่งที่เจ้าไม่แน่ว่าเฉินซีจะรับมือได้?”

เสียงของนางปรากฏร่องรอยความล้ำลึกแห่งเซียน เนื่องจากในทุกการเคลื่อนไหวของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับนั้นเปี่ยมไปด้วยความล้ำลึก ดังนั้นเมื่อคำพูดของนางกระทบโสตประสาทของอันเคอ มันก็กังวานใสประหนึ่งระฆังที่เงาวับ ทำให้อีกฝ่ายคลายอาการประหม่า และมีท่าทีสงบลงในทันที

ทว่าครั้นนางจะพูดขึ้นอีกครั้ง เฉินซีก็ไม่อยู่เสียแล้ว

เหลียงปิงอดส่ายหน้าไปมาไม่ได้ ครู่ถัดมาร่างของนางพลันเคลื่อนไหวดั่งแสงวาบ พร้อมกับหอบเอาร่างของอันเคอไปด้วย ทิ้งไว้เพียงศิษย์ที่เฝ้าประตูทางเข้านิกายซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขาต่างจ้องมองกันและกันด้วยสายตาที่ยังไม่คลายจากความกลัว

ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก

อย่างที่อันเคอได้กล่าวไว้ ทั้งต้นไม้ ใบหญ้า พฤกษา ภูเขา รวมไปถึงหินทุกก้อนที่อยู่ภายในยอดเขาจรัสตะวันตกยังคงมีสภาพเช่นแต่ก่อน ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรล้ำค่าจำนวนมากที่คอยซุกซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้

ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าบรรยากาศโดยรอบกลับวังเวงเงียบเหงา ไม่เพียงหั่วโมเลย และศิษย์พี่คนอื่น ๆ จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แม้แต่หลิงไป๋ มู่ขุย ไป๋คุย อาซิ่ว เสวี่ยเหยียน รวมถึงคนจากเผ่านรกขุมที่เก้าก็ไม่ได้อยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตกเช่นกัน

นี่มัน… แปลกเกินไปแล้ว!

อีกทั้ง ยอดเขาจรัสตะวันตกในยามนี้ยังไม่อาจเทียบได้กับเมื่อก่อน มันเคยเป็นสถานที่ที่ผู้คนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรู้กันดีว่า ไม่อาจมีผู้ใดรุกรานได้ และยังเป็นที่ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในแดนภวังค์ทมิฬ

ทว่าในถิ่นฐานของเขาตอนนี้ เพื่อนพ้องและศิษย์พี่ล้วนแต่หายไปสิ้น! ดังนั้นจะให้ชายหนุ่มยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?

ทันทีที่ภาพเหล่านี้ปรากฏสู่สายตา หัวใจของเขาพลันลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งโทสะ ดั่งภูเขาไฟที่จวนจะปะทุ เรือนกายที่ผ่าเผยเริ่มสั่นสะท้านไปทั่วทุกอณู

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?

พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ไหน!?

เมื่อเฉินซีนึกถึงท่าทีของบรรดาศิษย์ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนตั้งแต่เหยียบเข้ามาในนิกาย รวมถึงท่าทางละล้าละลังของอันเคอ เขาก็ไม่อาจสงบใจได้อีก

“เฉินซี จริงอยู่ที่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในนิกาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตทั้งสิ้น” อันเคอรีบพุ่งตัวเข้าไปขณะที่ยังอยู่ภายใต้การประคองของเหลียงปิง นางพูดด้วยน้ำเสียงวิตกเมื่อเห็นว่าดวงตาของชายหนุ่มกำลังเผยร่องรอยโทสะออกมาอย่างชัดเจน “เจ้า…เจ้าต้องใจเย็นก่อน! อย่าได้หุนหันไป!”

เฉินซีหันขวับ “บอกข้ามาว่าใครกันที่ทำเช่นนี้” เสียงของเขาเยือกเย็นประหนึ่งเกิดจากก้นธารน้ำแข็ง ซึ่งคมกริบไม่ต่างกับใบมีด

อันเคอชะงัก นางไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร

“เฉินซี ตามข้ามา นิกายจะให้คำตอบแก่เจ้าเอง” ทันใดนั้น ร่างที่สูงใหญ่และทรงพลังได้เคลื่อนที่มาจากระยะไกล นั่นคือผู้อาวุโสเลี่ยเผิงที่เยื้องกรายเข้ามาด้วยความสง่างามและมั่นคง

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองยังเลี่ยเผิงอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเวลานานกว่าเขาจะพยักหน้า “ย่อมได้!”

เลี่ยเผิงเป็นผู้คุมกฎในนิกายที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเสมอมา หรืออาจกล่าวได้ว่า ภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนี้ นอกจากวิปลาสหลิ่วแล้ว ก็ยังมีเลี่ยเผิง ท่านประมุขนิกาย และชายชราที่คุ้มกันหน้าห้องโถงตำราที่ดีต่อเขา

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอของอีกฝ่ายได้

“แล้วนี่คือ?” เลี่ยเผิงมีท่าทีผ่อนคลายลงเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านข้าง ดวงตาจ้องมองเหลียงปิงอย่างอดไม่ได้

เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามอย่างยิ่งที่เปล่งออกมาจากรูปลักษณ์อันงดงามและเยือกเย็นของสตรีนางนี้ มันทำให้ตัวเขารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่ยากจะพรรณนา

“สหายผู้หนึ่ง” เฉินซีตอบ

เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ยินดีจะตอบคำถามนั้น เลี่ยเผิงก็ไม่ได้ไถ่ถามให้มากความอีก อย่างไรเสียเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการระงับความโกรธภายในใจของชายหนุ่มให้ได้ก่อน สำหรับเรื่องอื่น ๆ …ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเหลียงปิงได้ยินคำว่าเพื่อนจากปากของเฉินซี ดวงตาของนางพลันวูบไหวด้วยประกายแสง ในที่สุดสหายเต๋าผู้นี้ก็ได้พูดคำที่ทำให้นางสบายใจออกมาจนได้ แม้จะเป็นเพียงคำเดียวก็ตาม…

ณ ยอดเขาสัประยุทธ์

ภายในห้องโถงซึ่งเป็นแกนกลางของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

เมื่อเฉินซีก้าวไปในห้องโถง เขาเห็นว่ามีเพียงประมุขแห่งนิกาย เวินหัวถิงอยู่ภายในนั้นเพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงาอย่างมาก

สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสงบลง ทีแรก เขากังวลว่าท่านประมุขและเลี่ยเผิงจะวางกับดักเพื่อจัดการกับตน แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้อย่างยิ่ง

เพราะภายในใจของเขานั้น พวกเขาทั้งสองเป็นผู้อาวุโสที่ชายหนุ่มให้ความเคารพยิ่ง อีกทั้งคนทั้งคู่ยังดีกับเขาเสมอมา หากการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างที่เขากลัว ชายหนุ่มก็เกรงว่าจะไม่อาจรับความจริงนั้นไหว

โชคดีที่มีเพียงท่านประมุขนิกายเท่านั้นที่อยู่ภายในห้องโถง สิ่งนี้ช่วยพิสูจน์ว่าเรื่องที่กลัวยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก

เวินหัวถิงไม่ได้กล่าวอารัมภบทแต่อย่างใด เขาพูดกับศิษย์ในนิกายอย่างตรงไปตรงมาทันที “เมื่อเดือนก่อน มีคนจากภพเซียนมาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งหนึ่งในทายาทของยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ได้พบกับเสวี่ยเหยียนเข้า และต้องการรับนางไปเป็นนางบำเรอ เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีว่า เสวี่ยเหยียนเป็นจิ้งจอกเก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ที่มากล้นด้วยเสน่ห์และหายากอย่างยิ่ง ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของนางจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ยอดฝีมือจากภพเซียน”

จากที่เขาอธิบาย เพื่อปกป้องเสวี่ยเหยี่ยนจากการถูกฉุดชิง เวินหัวถิงในฐานะประมุขนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากให้ทุกคนลงจากยอดเขาจรัสตะวันตกชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนจากภพเซียนเกิดความไม่พอใจ

นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังสามารถช่วยลดเพลิงโทสะของคนจากภพเซียนลงได้

ทว่าเวินหัวถิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าคผู้นนั้นจะรู้ว่าเสวี่ยเหยียนเป็นของเฉินซี ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเกลียดชังเฉินซีเข้าไส้

เนื่องจากเฉินซีไม่ได้อยู่ในนิกาย คนผู้นั้นจากภพเซียนจึงทำได้แต่บีบบังคับให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองตั้งตนเป็นศัตรูกับเฉินซี และรอให้ชายหนุ่มกลับมาเพื่อจัดการให้สิ้นซาก

แน่นอนว่ามันฟังดูตลกและไร้สาระยิ่ง แต่เฉินซีก็รู้ว่านี่คงเป็นนิสัยร่วมกันอย่างหนึ่งของพวกลูกหลานของยอดคนผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพเซียน พวกเขาล้วนเอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง และถือว่าทุกสิ่งต้องหมุนรอบตนเอง เมื่อพวกเขาลงมายังภพมนุษย์ ก็มักจะทำกร่างไม่สนกฎเกณฑ์ใด ดังนั้นการที่คนผู้นั้นจะโกรธเคืองเฉินซีเพียงเพราะไม่อาจได้ครอบครองเสวี่ยเหยียนจึงเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็เข้าใจทุกอย่าง และเมื่อได้รู้ว่าต้นเหตุแห่งความวุ่นวายมาจากทายาทของผู้ยิ่งใหญ่ในภพเซียน เขาก็หาได้ต้องการอะไรไปกว่าการได้ฆ่าไอ้สารเลวนั่นเดี๋ยวนี้!

หากเป็นเมื่อก่อน ชายหนุ่มคงจะอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินคำว่าภพเซียน และเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดทน ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป เขาไม่เพียงได้พบเห็นสิ่งที่เรียกว่าคุณชายหรือคุณหนูจากภพเซียนในพิภพยันต์อักขระเท่านั้น แต่ยังสังหารพวกเขาไปหลายคน ดังนั้นมีหรือที่เขาจะนึกกลัว

“เฮ้อ… เฉินซี เจ้าคงไม่รู้เลย เพื่อปกป้องทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกแล้ว ท่านประมุขต้องฝืนทนต่อความอัปยศอดสูมากมาย อย่างน้อย ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงความยากลำบากของนิกายในครั้งนี้ นั่นเพราะนี่เป็นทางลงที่ดีที่สุดที่ท่านประมุขจะสามารถทำเพื่อเจ้าได้” เลี่ยเผิงขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ ใบหน้าเหี้ยมของเขาก็มีแววโกรธขึ้งและคับแค้นใจไม่ต่างกัน ตลอดเวลามานี้ เขาไม่อาจระบายมันออกมา และทำได้แต่เพียงฝืนทนไว้ในใจ

เฉินซีสูดหายใจจนสุดปอด เขาพยายามอย่างหนักในการยับยั้งแรงอาฆาตที่ปะทุอยู่ภายในใจ “ท่านประมุข อาจารย์ลุงเลี่ยเผิง เหตุใดนิกายจึงมีคนจากภพเซียนเพ่นพ่านไปมาเช่นนี้ หรือว่าบรรดาผู้อาวุโสในนิกายจะแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันเสียหมด?”

เขากำลังพูดถึงบรรดาผู้อาวุโสที่อาศัยกันอยู่อย่างสันโดษในยอดเขาจรัสเทวะ เนื่องจากไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวจากที่แห่งนั้น

“เหตุผลนั้นง่ายมาก คนเหล่านี้มาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน พลังต่าง ๆ ล้วนแต่เสกสร้างขึ้นมาจากผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่ขึ้นไปสู่ภพเซียนในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีผู้ยิ่งใหญ่จากภพเซียนไม่กี่คนที่ลงมายังภพมนุษย์ในครั้งนี้ กระนั้น อย่าว่าแต่ข้ากับท่านประมุขเลย แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดในนิกายก็ยังต้องให้ความยำเกรงแก่พวกเขา” เลี่ยเผิงถอนหายใจยาว สุ้มเสียงของเจ้าตัวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เห็นได้ชัดเองว่าเขาก็หาได้ยินดีกับการกระทำของผู้คนจากภพเซียน

คิ้วของเฉินซีขมวดแน่นยิ่งกว่าเก่า หากเรื่องเป็นเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าหนักใจไม่น้อย

คำตอบของเลี่ยเผิงทำให้เขารู้สึกผิด อยากจะกลืนเอาคำติฉินที่มีต่อผู้อาวุโสทั้งหลายเมื่อครู่ให้เลือนหายสิ้น

ปั้ง!

ทันใดนั้น ประตูห้องโถงก็ถูกเปิดผางออก ไม่นาน เสียงหัวเราะหนึ่งได้ดังลั่นมาจากด้านนอก “ฮ่า ๆๆ! นายน้อยผู้นี้ได้ยินว่าไอ้เด็กเฉินซีกลับมาแล้ว มันอยู่ที่ไหน? ไปตามมันมาพบนายน้อยผู้นี้เดี๋ยวนี้!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท