บทที่ 873 เซียนสวรรค์สองคน
บทที่ 873 เซียนสวรรค์สองคน
อานุภาพของกระบวนท่านี้รุนแรงมาก แสงแห่งการทำลายล้างส่องประกายเจิดจ้า ก่อตัวเป็นผนึกที่สั่นสะเทือนเหมยชิงหยวนจนปราณแท้ที่ปกป้องร่างกายของเขาพังทลายลง ยิ่งกว่านั้น สีหน้าของเจ้าตัวยังกลายเป็นดุร้าย ในขณะที่ตัวคนคำรามออกมา
ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม มันกลับไร้ประโยชน์ เพราะเข่าของเหมยชิงหยวนถูกกดทับด้วยแรงกดดันมหาศาล จนเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉินซี!
“เขาคุกเข่าแล้ว!”
“เฉินซี… ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“เหมยชิงหยวนนั้นเอาแต่ใจและหยิ่งยโสโอหังยิ่ง เพราะเขาเป็นลูกหลานของตัวตนยิ่งใหญ่จากภพเซียน แต่ตอนนี้เขากลับถูกบังคับให้คุกเข่าแทน ทั้งยังทำต่อหน้าผู้คนมากมายเสียด้วย แม้ว่าเขาจะกลับไปยังภพเซียน ก็คงไม่อาจเงยหน้าสู้ฟ้าได้อีก!”
“ฮ่า ๆ! ประเสริฐ! เขาคิดว่าตนเองจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ในภพมนุษย์ได้หรือ? ทั้งที่เขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเฉินซีได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ! เขาควรสำนึกได้แล้ว …ว่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเซียน จะเป็นการดีกว่าหากรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง!”
ฝูงชนที่อยู่ทางข้างนอกห้องโถงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ศิษย์ชั้นยอดทุกคนต่างรู้สึกพึงพอใจ หลังจากที่ได้เห็นเฉินซีกดดันเหมยชิงหยวนจนถึงขั้นคุกเข่า
ส่วนเวินหัวถิงกับเลี่ยเผิงก็อ้าปากค้างเช่นกัน และพวกเขาก็ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!
“ไอ้สารเลว!” ดวงตาของเหมยชิงหยวนเกือบจะถลนออกมา และเขากำลังจะเป็นบ้า เมื่อความอัปยศอดสูอันไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ใบหน้าของเจ้าตัวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงจากความโกรธแค้น และคำรามว่า “เฉินซีมันจบแล้ว! เจ้าจบสิ้นแล้ว! นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือศัตรูตัวฉกาจของข้าเหมยชิงหยวน และไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถช่วยเจ้าได้! ไม่มีใครสักคน!”
เฉินซีขมวดคิ้ว ในขณะที่จิตสังหารฉายชัดในดวงตาของเขา หากชายหนุ่มอยู่ในภพยันต์อักขระ เขาคงฆ่าไอ้สารเลวคนนี้ได้อย่างอิสระ แต่หลังจากกลับมายังนิกาย เขาต้องไตร่ตรองหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งทำให้เขาต้องอดกลั้นและกลายเป็นลังเลแทน
เฉินซีไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย…
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องการละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และล้างบางไอ้สารเลวพวกนี้ให้หมดสิ้น เพราะคนพวกนี้ทำให้เขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง กลายเป็นศัตรูของนิกายตัวเอง! อีกทั้งมันยังลามไปเกี่ยวข้องกับทุกคนจากยอดเขาจรัสตะวันตกอีก สิ่งนี้ทำให้ความอดทนของเขาพังทลาย
“ฮ่า ๆ! เป็นอะไรไป ไอ้สารเลว? ถ้าเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าซะ! เข้ามา!” ดวงตาของเหมยชิงหยวนเต็มไปด้วยความคับแค้น ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยว และร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยเสียงแหลมสูง
เหมยชิงหยวนตัดสินใจแล้วว่า เมื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ เขาจะหาโอกาสกระชากเส้นเอ็นและถลกผิวหนังของมดปลวกตัวจ้อยนี่ออกมา ก่อนจะทรมานมัน ทำให้มันอยู่ไม่สู้ตาย!
…เขาต้องการตอบแทนความอัปยศอดสูทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้เป็นพันเท่า!!!
เพียะ!
เฉินซีตบหน้าเหมยชิงหยวนโดยไม่ลังเล เขาตบอีกฝ่ายจนเลือดพุ่งออกจากปากและจมูก ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อยากตายหรือ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
“เจ้า…เจ้า…เจ้า… ข้าจะฆ่าเจ้า! จะฆ่าเจ้า!” เหมยชิงหยวนกัดฟันด้วยความเกลียดชัง จนฟันของเขาแทบใกล้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ตัวคนดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่ภายใต้การสยบอย่างเด็ดขาดของเฉินซี มันกลับเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ที่สุด!
เพียะ!
เสียงตบดังก้องออกมาอีกระลอก
“หุบปาก! ใครให้เจ้ากล้าขัดขืนกัน?” ใบหน้าของเฉินซีสงบนิ่ง เขาออกแรงอย่างเหมาะสม และตบเหมยชิงหยวนจนศีรษะของอีกฝ่ายปวดบวมเหมือนหัวหมู ในขณะที่อีกฝ่ายร้องเสียงแหลมที่ฟังดูเหมือนหมูที่ถูกเชือดออกมาไม่หยุด
เมื่อเห็นฉากนี้ แม้แต่เวินหัวถิงก็ทนดูต่อไปไม่ได้ จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เฉินซี เป็นการดีหากรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด” ความหมายในคำกล่าวของประมุขนิกายก็คือ เด็กคนนี้มีคนหนุนหลังอยู่ และถ้าเฉินซีทำให้คนเหล่านี้ขุ่นเคือง มันก็จะไม่เป็นผลดีต่อเฉินซี
“รู้ว่าเมื่อใดควรหยุด? ไม่มีทาง!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความเย่อหยิ่งเอาแต่ใจของเหมยชิงหยวนพลันเพิ่มขึ้น จากนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงแหลม “เจ้าก็เช่นกัน ผู้เฒ่าเวิน! เจ้าปล่อยให้ศิษย์คนหนึ่งทำให้นายน้อยผู้นี้ต้องอับอาย ความผิดของเจ้าช่างสมควรตาย! ตอนนี้นายน้อยผู้นี้จะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย จับกุมเฉินซีซะ และนายน้อยคนนี้จะไม่ถือสาเรื่องนี้! มิฉะนั้น ก็รอชดใช้ความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ซะ!”
เพียะ!
เฉินซีตบเหมยชิงหยวนอีกครั้ง ทำให้ฟันที่ผสมกับเลือดกระเด็นลงบนพื้น และศีรษะของเหมยชิงหยวนก็โงนเงนไปมา จนเขาเห็นดวงดาวสีทองหมุนวน
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าในที่สุด ไอ้สารเลวนี้ก็เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนและหุบปากอย่างเชื่อฟัง เฉินซีจึงเงยหน้าขึ้นมองเวินหัวถิง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ท่านประมุข ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด ท่านไม่จำเป็นต้องมาพัวพันกับข้าไปมากกว่านี้”
“ไร้สาระ!”
ในที่สุด ใบหน้าของเวินหัวถิงก็เผยความโกรธขึ้ง เขาตำหนิอีกฝ่ายว่า “จงจำไว้! แม้ว่าท้องฟ้าจะพังทลาย เจ้าก็ยังเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แล้วผู้อาวุโสอย่างข้าจะนิ่งเฉยได้อย่างไร!?”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาก็เปล่งกลิ่นอายที่สูงส่งและเย่อหยิ่งออกมา ด้วยเจ้าตัวเลิกอดกลั้น เลิกลังเล เลิกกังวลถึงผลดีผลเสีย และเผยอำนาจซึ่งเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีของจ้าวผู้ปกครองออกมา!
“ยังจำสิ่งที่ข้ากล่าวตอนที่เจ้าเข้ามาที่นิกายเป็นครั้งแรกได้หรือไม่? นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราก่อตั้งขึ้นด้วยกระบี่ ถือกระบี่และหัวใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณที่มุ่งมั่น หากข้าสูญเสียจิตวิญญาณนี้ไป อีกทั้งยังไม่สามารถดูแลศิษย์ในนิกายของตนได้ ข้าก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งประมุขนิกายอีกต่อไป!”
เวินหัวถิงยืนเอามือไพล่หลัง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ การจ้องมองนั้นดุจสายฟ้าฟาด เผยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามและทรงพลังออกมา
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนต่างตกตะลึง!
รวมถึงเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างนอกห้องโถง สายตาของทุกคนที่มีต่อเวินหัวถิงพลันเปลี่ยนไป พวกเขาต่างหันไปจ้องมองด้วยความตื่นเต้นและความเคารพ อีกทั้งยังมีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งพลุ่งพล่านในใจของพวกเขา
ชายที่พร้อมจะตายเพื่อสหาย!
หากนิกายต้องการยืนหยัดโดยไม่ล้มลง นิกายนั้นจะต้องปฏิบัติเหมือนกลองโลหะทั้งภายในและภายนอก ประการแรก จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบก่อน เพราะจะสร้างแรงยึดเหนี่ยวคนในนิกายได้ ก็ต่อเมื่อนิกายมีความรับผิดชอบต่อพวกเขา!
ในขณะนี้ คำกล่าวที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของเวินหัวถิงได้บรรลุผลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ฮึ่ม! หัวถิง! เพื่อเห็นแก่ศิษย์ที่ไม่สำคัญ เจ้ากลับกล่าวคำพูดพล่อย ๆ ออกมาอย่างนั้นหรือ? แล้วผู้คนจะคิดอย่างไรกับนิกายของเรา!?” แต่ขณะนี้ จู่ ๆ เสียงตะคอกก็ดังขึ้นจากทางด้านนอกห้องโถง มันเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ปรากฏอย่างฉับพลัน ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป
พร้อมกับเสียงนี้ ร่างที่ทรงพลังสามร่างพลันปรากฏขึ้นในห้องโถงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกับว่าพวกเขาเคลื่อนย้ายผ่านมิติมายังที่นี่ โดยร่างกายของแต่ละคนปกคลุมด้วยพลังของกฎเกณฑ์ ในขณะที่กลิ่นอายของพวกเขาก็ลึกล้ำดุจมหาสมุทร คนทั้งสามเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผา และมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้
คนเหล่านี้คือชายชรา ชายวัยกลางคน และหญิงวัยกลางคน ในทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ณ ห้องโถง เพียงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ทำให้บรรยากาศในสถานที่แห่งนี้เกิดเสียงพึมพำและคร่ำครวญ ราวกับกำลังรับเสด็จเหล่าราชาด้วยความเคารพ
ผู้กล่าวก่อนหน้านี้คือชายชราในชุดคลุมนักพรตเต๋าที่มีใบหน้าซูบตอบ และมีดวงตาลึกล้ำอันไร้ขอบเขตผู้ไว้เครา
เมื่อเห็นชายชราคนนี้ เวินหัวถิงก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงโค้งคำนับพร้อมกับเลี่ยเผิงและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เฟยหลิง!” เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในสามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรอง เฟยหลิง!
“บัดซบ พวกมันทั้งคู่คือตัวตนยิ่งใหญ่จากภพเซียน!” ในเวลาเดียวกัน เลี่ยเผิงได้กล่าวผ่านกระแสปราณเข้าหูของเฉินซี และเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เฉินซี ชายวัยกลางคนนั้นชื่อเหมยลั่วเซียว และหญิงวัยกลางคนนั้นชื่ออวี๋จงเสีย ทั้งคู่เป็นตัวตนยิ่งใหญ่จากภพเซียน ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ โดยเฉพาะเหมยลั่วเซียว เขาเป็นลุงทวดคนที่สี่ของเหมยชิงหยวน เจ้าต้องอดทน และปล่อยที่เหลือให้ข้ากับท่านประมุขจัดการ”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเมื่อเขาเหลือบมอง ชายหนุ่มเห็นเหมยลั่วเซียวสวมชุดสีเขียว มีท่าทีคล้ายบัณฑิต แต่ดวงตาของเจ้าตัวกลับน่าสะพรึงกลัวดุจสายฟ้า และมันปกคลุมไปด้วยเงาอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่อวี๋จงเสียเป็นหญิงงามที่มีผมหนาม้วนเป็นมวยอย่างสวยงาม นางสวมชุดสีม่วง มีท่วงท่างดงามและสง่างามจนสามารถดูแคลนทุกสิ่งในโลก
‘ไม่น่าแปลกใจที่เหมยชิงหยวนและไอ้สารเลวพวกนี้จะกล้าอาละวาดเช่นนี้ เพราะที่พึ่งของพวกมันคือเซียนสวรรค์สองคนนี้…’ เฉินซีคิดเย้ยหยันในใจ
เขาลอบเปรียบเทียบสองคนนี้กับปิงซื่อเทียน และแม้ว่าชายหนุ่มไม่เต็มใจจะยอมรับ แต่เขาก็ต้องกล่าวว่า แม้กลิ่นอายของเหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสียจะน่าเกรงขาม แต่เฉินซีก็ยังรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่สามารถเทียบกับปิงซื่อเทียนได้!
ถึงอย่างไร ปิงซื่อเทียนในภพมนุษย์เป็นเพียงร่างอวตาร แต่ร่างอวตารนี้กลับมีกลิ่นอายน่าเกรงขามที่สามารถเทียบได้กับเซียนสวรรค์ที่แท้จริงสองคน ดังนั้นเฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงสัยว่า การบ่มเพาะร่างกายหลักของปิงซื่อเทียนนั้นน่าเกรงขามเพียงใด?
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการตัดสินของเขาโดยพิจารณาจากกลิ่นอายที่เปล่งออกมา ส่วนความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของพวกเขานั้น เฉินซีไม่สามารถประเมินได้ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบัน
“ลุงสี่! ช่วยข้าด้วย!” เมื่อบรรพบุรุษเฟยหลิงนำเหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสียเข้าไปในห้องโถง เหมยชิงหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ร้องเสียงดังอย่างน่าสังเวช
เมื่อเหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียมาถึงที่นี่ครั้งแรก พวกเขาได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้องโถง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนทั้งสองเห็นว่าคนที่นอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น คือเหล่าศิษย์ที่ติดตามลงมายังภพมนุษย์ สีหน้าของพวกเขาจึงกลายเป็นมืดมน
และเมื่อพวกเขาเห็นเหมยชิงหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นในขณะนี้ ทั้งยังมีใบหน้าที่บวมปูดจนดูเหมือนหัวหมู และกำลังร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง ใบหน้าของพวกเขาพลันถมึงทึง ในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบน่ากลัว
“ชิงหยวน ยืนขึ้น บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น!” เหม่ยลั่วเซียวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ และน้ำเสียงที่สงบของเขาก็เผยให้เห็นถึงความโกรธ
อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นคนทำในแวบแรก แต่เขาแค่ต้องการเหตุผลเพื่อระบายโทสะในใจ
ที่สำคัญที่สุด เขาค่อนข้างรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะเด็กน้อยเช่นนี้จะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?
“ลุงสี่! เป็นมัน! มันทำให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคืองและถือว่าทุกคนอยู่ใต้มัน นอกจากนี้มันยังทำให้ศิษย์น้องเกาและคนอื่น ๆ ต้องขายหน้า วิธีการของมันน่ารังเกียจ ในขณะที่ท่าทีของมันก็ดื้อด้านอย่างสุดทน! ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้กับทุกคน!” ตั้งแต่เหมยลั่วเซียวเข้ามาในห้องโถง เหมยชิงหยวนก็รู้สึกโล่งใจ ซึ่งแม้ว่าในใจจะตื่นเต้น แต่เขากลับทำท่าทีราวเป็นภรรยาที่ขุ่นเคืองเพราะถูกทำร้ายอย่างอยุติธรรม โดยเอาแต่จ้องมองไปทางเฉินซีอย่างไม่พอใจ ในขณะที่กัดฟันแล้วกล่าว
…ในขณะที่กล่าว เหมยชิงหยวนได้พยายามดิ้นรนด้วยความตั้งใจที่จะลุกขึ้นยืน และหวังจะกลับไปยืนข้างลุงสี่
เพียะ!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เฉินซีกลับตบหน้าเหมยชิงหยวนอย่างแรงจนคอเกือบหัก ทำให้เจ้าตัวร้องครวญครางอย่างน่าสังเวชและคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง
การตบครั้งนี้รุนแรงและเร็วเกินไป ซึ่งเกินความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ที่นี่
ซึ่งไม่ใช่แค่เหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียที่ไม่คิดว่าเฉินซีจะกล้าลงมือต่อหน้าพวกเขา แม้แต่บรรพบุรุษเฟยหลิง ประมุขเวินหัวถิงและผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะทำเช่นนี้จริง ๆ
ทันใดนั้น เวินหัวถิงและเลี่ยเผิงต่างคร่ำครวญอยู่ในใจอย่างขมขื่น เพราะการกระทำเช่นนี้ของเฉินซีไม่ต่างอะไรกับการผลักตัวเองเข้าสู่กองเพลิง ดังนั้นพวกเขาจะกอบกู้สถานการณ์ได้อย่างไร?
บรรยากาศกลายเป็นความเงียบสงัดในทันที มีเพียงเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเหมยชิงหยวนเท่านั้นที่ดังก้องออกมา และมันทำให้เหมยลั่วเซียวหงุดหงิดจนมุมปากของเขากระตุกอย่างรุนแรง
“สหายเต๋าเหมย…” บรรพบุรุษเฟยหลิงขมวดคิ้วและมองไปที่เฉินซีด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรทั้งนั้น” แต่ก่อนที่จะทันได้กล่าวอะไร เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยมือของเหมยลั่วเซียว ดวงตาของผู้พูดเย็นยะเยือกเหมือนใบมีด เมื่อกวาดผ่านเวินหัวถิง เลี่ยเผิง และคนอื่น ๆ ก่อนจะหยุดที่เฉินซีในที่สุด จากนั้นเจ้าตัวจึงกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะพาเด็กคนนี้ไปด้วย มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่?”