บทที่ 878 ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม
บทที่ 878 ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม
ลมแรงพุ่งขึ้น หมู่เมฆาล่องลอย ได้ยินเสียงครืนเสียงหวีดหวิวก้องไปทั่วฟ้าดิน
ที่ยอดเขาจรัสตะวันตก ประมุขนิกายเวินหัวถิงและคนอื่น ๆ แหงนมองฟ้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พายุรุนแรงโหมกระหน่ำในขณะที่คลื่นเมฆเคลื่อนตัว ลมที่พัดหวีดหวิวทำให้เสื้อผ้าพลิ้วไหว
เมื่อศิษย์ทุกคนมาถึงยอดเขาจรัสตะวันตก พวกเขาต่างมายืนอยู่ที่ตีนเขาพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย และตอนนี้ทุกคนต่างเบิกตากว้างมองฟ้า คล้ายคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่
ทัณฑ์สวรรค์เซียนปฐพี!
ผู้บ่มเพาะทั้งหลายรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง เพราะหากเอาชนะมันไปได้ก็จะผงาดขึ้นสูง เปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นเซียน!
แม้เซียนปฐพีจะเทียบเซียนสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็มีพลังสูงส่งกว่าผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่มากมายนัก!
วันนี้ได้เกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นบนนภา ทุกคนจึงรู้ดีว่ามันคือทัณฑ์สวรรค์เซียนปฐพี ซึ่งผู้อาวุโสเฉินซีกำลังต้องเผชิญ และย่อมไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนี้ พวกเขาจึงพากันมาดูพร้อมกัน!
นับว่าเป็นการมาเฉลิมฉลอง อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันหาได้ยากในการเข้าสังเกตการณ์ทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นจะมีใครยอมพลาดไปได้?
อีกฝั่ง ประมุขนิกายและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างมากันพร้อมหน้าเพื่อระวังภัยให้เฉินซี
เรื่องนี้จะประมาทเลินเล่อไม่ได้ การที่ศิษย์อัจฉริยะหาใครเทียมเช่นเฉินซีกำลังจะผ่านบททดสอบทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้… เพราะทุกคนรู้ดีว่ายิ่งมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด สวรรค์ก็ยิ่งอิจฉาเท่านั้น ทำให้บทลงทัณฑ์น่าสะพรึงกลัวขึ้น
ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวปกป้องชายหนุ่มอย่างสุดกำลัง ไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเป็นแน่!
“เฉินซีพูดเช่นนั้นจริงหรือ?” เวินหัวถิงขมวดคิ้วมองเสิ่นเหยียน
“ท่านประมุขนิกาย ท่านอาจารย์สั่งไว้เช่นนั้น ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะจริง ๆ เขาบอกว่าก็แค่ทัณฑ์สวรรค์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังพลขนาดใหญ่รบกวนผู้อาวุโสทั้งหลายในนิกายให้มาถึงที่นี่หรอกขอรับ เพราะท่านอาจารย์รับมือเองได้” เสิ่นเหยียนโค้งคำนับให้แล้วตอบคำ
ก็แค่ทัณฑ์สวรรค์?
เวินหัวถิงกับเลี่ยเผิงหัวเราะเสียงขมขื่นไม่หยุด เพราะเป็นสิ่งที่มากเกินไปจริง ๆ คนที่ไม่รู้จักเฉินซีคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกหยิ่งยโสไปแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรายังต้องตั้งค่ายกลอยู่หรือไม่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งขมวดคิ้วถาม
“ก็ตั้งมันไปเถอะ ถึงเขาจะมีพรสวรรค์เลิศเลอเพียงไหน มีพลังต่อสู้มากมายเพียงใด สุดท้ายก็เพิ่งบ่นเพาะมาไม่นานอยู่ดี ไม่รู้ว่าทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามน่ากลัวขนาดไหน ในฐานะศิษย์พี่ในนิกายเดียวกัน เราต้องเตรียมพร้อมอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้” ผู้อาวุโสอีกคนครุ่นคิดอยู่นานก่อนเอ่ย
“ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น เมื่อหลายปีก่อนชิงซิ่วอี้ก็เอาชนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้ชั่วข้ามคืน แล้วตอนนั้นนางมีพลังสะท้านฟ้าขนาดไหนกัน!? เท่าที่ข้ารู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์หรือด้านอื่น ๆ เฉินซีถือว่าเหนือกว่าชิงซิ่วอี้เสียอีก อีกทั้งที่ยังเป็นทัณฑ์สวรรค์ระดับแรกเท่านั้น จะขวางฝีเท้าเขาได้อย่างไร?”
“นั่นก็จริง แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วค่อยดูไปตามสถานการณ์ย่อมดีกว่า ถึงอย่างไรนี่ก็คือทัณฑ์สวรรค์ จะประมาทมันไม่ได้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
ผู้อาวุโสทั้งหลายพากันปรึกษาหารือ
เป็นตอนนั้นเองที่สีหน้าเวินหัวถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาเลื่อนมองไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสคนอื่นเองก็สังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน เพราะเสียงคุยพลันหยุดลง ต่างคนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน
ดวงตะวันส่องแสงจ้าลอยอยู่กลางฟ้าสีคราม ทว่าท้องฟ้ากว้างกลับเต็มไปด้วยเมฆทัณฑ์สวรรค์สีดำหนาแน่นลอยเด่น แต่เมื่อมองตรงกลาง… กลับเห็นดวงดารานับไม่ถ้วน!
ดารานับไม่ถ้วนนี้กระจายอยู่บนท้องฟ้าเหมือนอัญมณีล้ำค่า งดงามสะท้านถึงทรวงใน
แต่ภาพนี้กลับทำให้ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ดวงดาราปรากฏยามตะวันส่อง!” เวินหัวถิงพึมพำด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“นี่คือสัญญาณการเกิด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่เต๋าแห่งสวรรค์ไม่ยอมให้มีอยู่ เมื่อเกิดสัญญาณนี้ขึ้น ก็แสดงว่าสายฟ้าแห่งการลงทัณฑ์กำลังจะลงมาบนโลกแล้ว!” เสียงของเลี่ยเผิงสั่นเล็กน้อย
“ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดมาหลายหมื่นปีแล้ว มีที่เกิดติดต่อกันหลายครั้งก็ช่วงเซียนยุคบรรพกาลออกเดินทาง กำจัดผู้ท้าทายสวรรค์ไปหลายคน แต่ตอนนี้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งได้ หรือว่า ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ท้าทายสวรรค์กำลังจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกอีกครั้งแล้ว?”
แม้พวกระดับสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะเป็นผู้มากฝีมือในแดนภวังค์ทมิฬ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเย็นวาบในใจ เมื่อได้เห็นภาพน่าตกใจเช่นนี้
ชุดสีเขียวของอาซิ่วพลิ้วไปตามแรงลม ผมยาวถึงเอวสีดำขลับพลิ้วไหว นัยน์ตามองท้องฟ้าและเอ่ยพึมพำขึ้นว่า “จริงด้วย ท่านลุงหกไม่ได้หลอกข้า…”
“ว่าไงนะ! ดาราปรากฏยามเที่ยงวันหรือ!?” อวี๋จงเสียพุ่งออกมาจากห้อง ร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวไม่เห็นภาพบนฟ้า
เสียงนี้ทำให้เหมยลั่วเซียวที่กำลังพักฟื้นอยู่ในห้องสะดุ้งตื่น เมื่อเอ่ยคำด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเขาก็ดูเครียดขึง “ดาราปรากฏยามเที่ยงวัน? การมี ‘สิ่งแปลกปลอม’ ปรากฏขึ้นในขณะที่กำลังจะเกิดกลียุคแห่งสามภพ เป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่างหรือไม่?”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในแดนภวังค์ทมิฬพากันตื่นตกใจ ผู้อาวุโสที่เร้นกายต่างลืมตาขึ้นจากการปิดด่านบ่มเพาะ แหงนหน้ามองฟ้าจากที่ห่างไกล
ทันใดนั้นเอง ผู้บ่มเพาะทั้งหลายในใต้หล้าต่างหยุดการกระทำทุกอย่าง สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อแหงนมองฟ้าเหนือศีรษะ
เทือกเขาหนามม่วงตระกูลไป๋
ผู้นำตระกูลไป๋จิงเฉินกำลังซดก๋วยเตี๋ยวแล้วเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมส่งเสียงเหอะขึ้นฟ้า แล้วเอ่ยออกมาไม่กี่คำว่า “ยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายอีก!”
จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกศิษย์เข้ามากล่าวว่า “ส่งข่าวผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ บอกให้พี่สาวข้ารีบกลับมาโดยเร็ว! …ด่วน!”
…
ทันทีที่ดวงดาราปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน ก็เหมือนกับแสงวาดผ่านฟ้าเหนือแดนภวังค์ทมิฬ ก่อนมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหตุใดมันถึงหายไปล่ะ?
ทุกคนต่างสงสัยและไม่เข้าใจ
เมื่อเต๋าแห่งสวรรค์เผยปรากฏการณ์เช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่คิดท้าทายสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว และ ‘สิ่งแปลกปลอม’ นี้ก็ถูกตรวจพบโดยเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการลงทัณฑ์จึงซัดลงมาเพื่อหมายกำจัด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ว่า
แต่มันเพิ่งปรากฏเพียงแวบเดียวก็หายไปเสียแล้ว หรือจะหมายความว่ามันกำจัดสิ่งแปลกปลอมแล้วอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีใครเดาคำตอบได้ถูก แต่ละคนต่างงุนงงกันทั้งสิ้น
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
ตอนนี้ทุกคนหายจากอาการตกใจแล้ว แต่ภายในใจยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่
“ฮ่า! ดาราปรากฏยามเที่ยงวันดันมาเกิดในวันที่เฉินซีเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้พอดี นับว่าบังเอิญเสียจริง…” เลี่ยเผิงหัวเราะลั่นขึ้นมาเพื่อคลายบรรยากาศ
แต่เมื่อพูดจบ ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของทุกคนรอบตัวดูประหลาดไปเล็กน้อย แม้กระทั่งประมุขนิกายเองก็ด้วย
“หรือพวกเจ้าทุกคนจะคิดว่าเฉินซีเป็น…” เลี่ยเผิงตกตะลึงแล้วเอ่ยขึ้นเสียงลังเล จากนั้นจึงหุบปากไป
เช่นนี้จะไม่น่าตกใจไปหน่อยหรือ? เฉินซีจะไปเกี่ยวข้องกับการที่มีดาราปรากฏยามเที่ยงวันได้อย่างไร?
บังเอิญ!
ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่!
เลี่ยเผิงส่ายหน้าด้วยใจเต้นแรง
“ทุกคน ไม่จำเป็นต้องคาดเดาหรอก หากเฉินซีเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ จริง เช่นนั้นเต๋าแห่งสวรรค์ก็คงส่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ลงมานานแล้ว ตอนนี้คงไม่อาจรอดชีวิตได้ แต่เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นนี่ ฉะนั้นมันจึงไม่เกี่ยวข้องกับเฉินซี” หลังจากที่เงียบอยู่นาน เวินหัวถิงจึงเอ่ยออกมาช้า ๆ
ทุกคนได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงคลายสีหน้าลง ใช่แล้ว ปรากฏการณ์น่าตกใจเช่นนั้นปรากฏขึ้นเพียงพริบตาเดียว อีกทั้งยังไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ซัดลงมาอีกต่างหาก เช่นนี้จะเกี่ยวกับเฉินซีได้อย่างไร?
ครืน!
ทันใดนั้นเอง คลื่นเสียงฟ้าร้องที่ราวกับพายุโหมกระหน่ำก็ดังขึ้น ดังก้องไกลไปในรัศมีแสนลี้ทีเดียว
ลมแรงกระโชกส่งเสียงหวีดหวิว ฝุ่นทรายและเศษหินกระเด็นไปทั่ว ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังลั่นไปทั่วทั้งฟ้าดิน สัตว์อสูรบนทิวเขาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองพากันหวาดกลัวจนตัวสั่น หมอบตัวต่ำลงกับพื้น
เมฆลงทัณฑ์สีดำเหมือนรอยหมึกแต่งแต้มฟ้า กระจายตัวไปทั่วอาณาเขตบริเวณเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก ทำให้บรรยากาศมืดมิดไปหมด อีกทั้งเมฆลงทัณฑ์หนาเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยอำนาจสวรรค์อันน่าหวาดกลัว ส่งแรงกดดันลงมาจนทำคนหายใจแทบไม่ออก
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
สายฟ้าสีเงินนับไม่ถ้วนลั่นเปรี๊ยะอยู่ภายในเมฆลงทัณฑ์ เป็นเหมือนงูสีเงินที่เคลื่อนไปมาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนแส้ในมือเซียนสายฟ้าที่โจมตีใส่โลกมนุษย์ แรงกดดันของมันน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ศิษย์ทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกพากันตกตะลึงแล้วถอยร่นเข้าไปในสถานที่ปลอดภัย
แม้กระทั่งสีหน้าของเวินหัวถิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว พวกเขาต่างเตรียมท่าพร้อมรับการต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปหรือเซียนปฐพีก็แล้วแต่ เมื่อต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ของเต๋าแห่งสวรรค์ พวกเขาย่อมต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา และหากถูกสายฟ้านั้นฟาดขึ้นมา …ก็คงไม่ต้องนึกถึงผลที่ตามมาเลยทีเดียว!
ฟิ้ว!
ท่ามกลางบรรยากาศกดดันนั้น ลำแสงสีทองพลันสว่างวาบขึ้นมาจากฝั่งริมสระชำระกระบี่บนยอดเขาจรัสตะวันตก พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า
มันเป็นเหมือนเส้นทางสีทองที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับท้องฟ้า เป็นแสงสีทองสว่างจ้าท่ามกลางเมฆลงทัณฑ์สีดำ
พร้อมกันนั้นก็มีร่างสูงยืนอยู่บนลำแสงสีทอง เขาเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าและเส้นผมพลิ้วตามแรงลม เงาร่างนั้นยืนหยัดเป็นสง่า ที่เอวมีน้ำเต้าสีเขียวห้อยอยู่ กำลังยืนเอาสองมือไพล่หลัง ให้กลิ่นอายความเรียบง่าย และมีท่าทางสบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
เฉินซี!
แค่มองเพียงครู่เดียวทุกคนก็รู้ได้ว่าเงาร่างเจ้าของท่าทางสบายอารมณ์และกำลังมีสีหน้าผ่อนคลายเช่นนั้น ก็คือเฉินซีนั่นเอง!
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ายามเฉินซีเผชิญหน้ากับสายฟ้าลงทัณฑ์ที่กำลังก่อตัวอย่างบ้าคลั่ง เขาจะสามารถนิ่งสงบได้เพียงนี้ และยังมีท่าทางสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตนด้วยซ้ำไป
แค่ท่าทีไม่สนใจโลกเช่นนี้ กลับทำให้ศิษย์ทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง!
ครืน!
บนท้องฟ้า เสียงสายฟ้าดั่งเสียงคำรามแห่งเทพ เมฆลงทัณฑ์สีทะมึนส่งเสียงครืนแล้วเข้ามาบรรจบกัน จนกลุ่มเมฆสีดำพลันกลายเป็นสีคราม
ถึงขั้นที่ว่าภายในเมฆลงทัณฑ์ที่เกิดสายฟ้าวาดลงมาไม่หยุดนั้น สายฟ้าเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นสีครามจาง ๆ พวกมันเปล่งประกายและเจิดจ้า และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการลงทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม!
ทัณฑ์สวรรค์แรกก่อนรุดหน้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
อย่างที่เขาพูดกันว่า มหาเต๋าก็เหมือนฟ้าโปร่งที่คนสามารถเหินร่างขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้ก็จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด สามารถกลายเป็นเซียนปฐพีได้!
เปรี้ยง!
เมื่อเมฆลงทัณฑ์บนฟ้าควบรวมกันจนถึงที่สุด เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องทันที มันส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณ ดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง เป็นเสียงดังจนแก้วหูของทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกแทบแตก ในใจเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้น
พร้อมกันนั้น สายฟ้าเส้นหนาและเฉียบคมสีน้ำเงินสายหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ได้ปรากฏตัวออกมาจากเมฆลงทัณฑ์ ย้อมทั้งฟ้าดินให้กลายเป็นสีคราม!
ตู้ม!
สายฟ้าลงทัณฑ์สีน้ำเงินเส้นแรกเหมือนกับโซ่สวรรค์จากเต๋าแห่งสวรรค์ มันซัดลงมาใส่เฉินซีที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศเข้าอย่างจัง!