บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 878 ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 878 ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม

บทที่ 878 ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม

ลมแรงพุ่งขึ้น หมู่เมฆาล่องลอย ได้ยินเสียงครืนเสียงหวีดหวิวก้องไปทั่วฟ้าดิน

ที่ยอดเขาจรัสตะวันตก ประมุขนิกายเวินหัวถิงและคนอื่น ๆ แหงนมองฟ้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พายุรุนแรงโหมกระหน่ำในขณะที่คลื่นเมฆเคลื่อนตัว ลมที่พัดหวีดหวิวทำให้เสื้อผ้าพลิ้วไหว

เมื่อศิษย์ทุกคนมาถึงยอดเขาจรัสตะวันตก พวกเขาต่างมายืนอยู่ที่ตีนเขาพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย และตอนนี้ทุกคนต่างเบิกตากว้างมองฟ้า คล้ายคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่

ทัณฑ์สวรรค์เซียนปฐพี!

ผู้บ่มเพาะทั้งหลายรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง เพราะหากเอาชนะมันไปได้ก็จะผงาดขึ้นสูง เปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นเซียน!

แม้เซียนปฐพีจะเทียบเซียนสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็มีพลังสูงส่งกว่าผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่มากมายนัก!

วันนี้ได้เกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นบนนภา ทุกคนจึงรู้ดีว่ามันคือทัณฑ์สวรรค์เซียนปฐพี ซึ่งผู้อาวุโสเฉินซีกำลังต้องเผชิญ และย่อมไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนี้ พวกเขาจึงพากันมาดูพร้อมกัน!

นับว่าเป็นการมาเฉลิมฉลอง อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันหาได้ยากในการเข้าสังเกตการณ์ทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นจะมีใครยอมพลาดไปได้?

อีกฝั่ง ประมุขนิกายและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างมากันพร้อมหน้าเพื่อระวังภัยให้เฉินซี

เรื่องนี้จะประมาทเลินเล่อไม่ได้ การที่ศิษย์อัจฉริยะหาใครเทียมเช่นเฉินซีกำลังจะผ่านบททดสอบทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้… เพราะทุกคนรู้ดีว่ายิ่งมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด สวรรค์ก็ยิ่งอิจฉาเท่านั้น ทำให้บทลงทัณฑ์น่าสะพรึงกลัวขึ้น

ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวปกป้องชายหนุ่มอย่างสุดกำลัง ไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเป็นแน่!

“เฉินซีพูดเช่นนั้นจริงหรือ?” เวินหัวถิงขมวดคิ้วมองเสิ่นเหยียน

“ท่านประมุขนิกาย ท่านอาจารย์สั่งไว้เช่นนั้น ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะจริง ๆ เขาบอกว่าก็แค่ทัณฑ์สวรรค์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังพลขนาดใหญ่รบกวนผู้อาวุโสทั้งหลายในนิกายให้มาถึงที่นี่หรอกขอรับ เพราะท่านอาจารย์รับมือเองได้” เสิ่นเหยียนโค้งคำนับให้แล้วตอบคำ

ก็แค่ทัณฑ์สวรรค์?

เวินหัวถิงกับเลี่ยเผิงหัวเราะเสียงขมขื่นไม่หยุด เพราะเป็นสิ่งที่มากเกินไปจริง ๆ คนที่ไม่รู้จักเฉินซีคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกหยิ่งยโสไปแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรายังต้องตั้งค่ายกลอยู่หรือไม่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งขมวดคิ้วถาม

“ก็ตั้งมันไปเถอะ ถึงเขาจะมีพรสวรรค์เลิศเลอเพียงไหน มีพลังต่อสู้มากมายเพียงใด สุดท้ายก็เพิ่งบ่นเพาะมาไม่นานอยู่ดี ไม่รู้ว่าทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามน่ากลัวขนาดไหน ในฐานะศิษย์พี่ในนิกายเดียวกัน เราต้องเตรียมพร้อมอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้” ผู้อาวุโสอีกคนครุ่นคิดอยู่นานก่อนเอ่ย

“ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น เมื่อหลายปีก่อนชิงซิ่วอี้ก็เอาชนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้ชั่วข้ามคืน แล้วตอนนั้นนางมีพลังสะท้านฟ้าขนาดไหนกัน!? เท่าที่ข้ารู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์หรือด้านอื่น ๆ เฉินซีถือว่าเหนือกว่าชิงซิ่วอี้เสียอีก อีกทั้งที่ยังเป็นทัณฑ์สวรรค์ระดับแรกเท่านั้น จะขวางฝีเท้าเขาได้อย่างไร?”

“นั่นก็จริง แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วค่อยดูไปตามสถานการณ์ย่อมดีกว่า ถึงอย่างไรนี่ก็คือทัณฑ์สวรรค์ จะประมาทมันไม่ได้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า”

ผู้อาวุโสทั้งหลายพากันปรึกษาหารือ

เป็นตอนนั้นเองที่สีหน้าเวินหัวถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาเลื่อนมองไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสคนอื่นเองก็สังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน เพราะเสียงคุยพลันหยุดลง ต่างคนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน

ดวงตะวันส่องแสงจ้าลอยอยู่กลางฟ้าสีคราม ทว่าท้องฟ้ากว้างกลับเต็มไปด้วยเมฆทัณฑ์สวรรค์สีดำหนาแน่นลอยเด่น แต่เมื่อมองตรงกลาง… กลับเห็นดวงดารานับไม่ถ้วน!

ดารานับไม่ถ้วนนี้กระจายอยู่บนท้องฟ้าเหมือนอัญมณีล้ำค่า งดงามสะท้านถึงทรวงใน

แต่ภาพนี้กลับทำให้ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“ดวงดาราปรากฏยามตะวันส่อง!” เวินหัวถิงพึมพำด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

“นี่คือสัญญาณการเกิด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่เต๋าแห่งสวรรค์ไม่ยอมให้มีอยู่ เมื่อเกิดสัญญาณนี้ขึ้น ก็แสดงว่าสายฟ้าแห่งการลงทัณฑ์กำลังจะลงมาบนโลกแล้ว!” เสียงของเลี่ยเผิงสั่นเล็กน้อย

“ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดมาหลายหมื่นปีแล้ว มีที่เกิดติดต่อกันหลายครั้งก็ช่วงเซียนยุคบรรพกาลออกเดินทาง กำจัดผู้ท้าทายสวรรค์ไปหลายคน แต่ตอนนี้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งได้ หรือว่า ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ท้าทายสวรรค์กำลังจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกอีกครั้งแล้ว?”

แม้พวกระดับสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะเป็นผู้มากฝีมือในแดนภวังค์ทมิฬ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเย็นวาบในใจ เมื่อได้เห็นภาพน่าตกใจเช่นนี้

ชุดสีเขียวของอาซิ่วพลิ้วไปตามแรงลม ผมยาวถึงเอวสีดำขลับพลิ้วไหว นัยน์ตามองท้องฟ้าและเอ่ยพึมพำขึ้นว่า “จริงด้วย ท่านลุงหกไม่ได้หลอกข้า…”

“ว่าไงนะ! ดาราปรากฏยามเที่ยงวันหรือ!?” อวี๋จงเสียพุ่งออกมาจากห้อง ร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวไม่เห็นภาพบนฟ้า

เสียงนี้ทำให้เหมยลั่วเซียวที่กำลังพักฟื้นอยู่ในห้องสะดุ้งตื่น เมื่อเอ่ยคำด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเขาก็ดูเครียดขึง “ดาราปรากฏยามเที่ยงวัน? การมี ‘สิ่งแปลกปลอม’ ปรากฏขึ้นในขณะที่กำลังจะเกิดกลียุคแห่งสามภพ เป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่างหรือไม่?”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในแดนภวังค์ทมิฬพากันตื่นตกใจ ผู้อาวุโสที่เร้นกายต่างลืมตาขึ้นจากการปิดด่านบ่มเพาะ แหงนหน้ามองฟ้าจากที่ห่างไกล

ทันใดนั้นเอง ผู้บ่มเพาะทั้งหลายในใต้หล้าต่างหยุดการกระทำทุกอย่าง สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อแหงนมองฟ้าเหนือศีรษะ

เทือกเขาหนามม่วงตระกูลไป๋

ผู้นำตระกูลไป๋จิงเฉินกำลังซดก๋วยเตี๋ยวแล้วเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมส่งเสียงเหอะขึ้นฟ้า แล้วเอ่ยออกมาไม่กี่คำว่า “ยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายอีก!”

จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกศิษย์เข้ามากล่าวว่า “ส่งข่าวผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ บอกให้พี่สาวข้ารีบกลับมาโดยเร็ว! …ด่วน!”

ทันทีที่ดวงดาราปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน ก็เหมือนกับแสงวาดผ่านฟ้าเหนือแดนภวังค์ทมิฬ ก่อนมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เหตุใดมันถึงหายไปล่ะ?

ทุกคนต่างสงสัยและไม่เข้าใจ

เมื่อเต๋าแห่งสวรรค์เผยปรากฏการณ์เช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่คิดท้าทายสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว และ ‘สิ่งแปลกปลอม’ นี้ก็ถูกตรวจพบโดยเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการลงทัณฑ์จึงซัดลงมาเพื่อหมายกำจัด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ว่า

แต่มันเพิ่งปรากฏเพียงแวบเดียวก็หายไปเสียแล้ว หรือจะหมายความว่ามันกำจัดสิ่งแปลกปลอมแล้วอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีใครเดาคำตอบได้ถูก แต่ละคนต่างงุนงงกันทั้งสิ้น

ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก

ตอนนี้ทุกคนหายจากอาการตกใจแล้ว แต่ภายในใจยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่

“ฮ่า! ดาราปรากฏยามเที่ยงวันดันมาเกิดในวันที่เฉินซีเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้พอดี นับว่าบังเอิญเสียจริง…” เลี่ยเผิงหัวเราะลั่นขึ้นมาเพื่อคลายบรรยากาศ

แต่เมื่อพูดจบ ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของทุกคนรอบตัวดูประหลาดไปเล็กน้อย แม้กระทั่งประมุขนิกายเองก็ด้วย

“หรือพวกเจ้าทุกคนจะคิดว่าเฉินซีเป็น…” เลี่ยเผิงตกตะลึงแล้วเอ่ยขึ้นเสียงลังเล จากนั้นจึงหุบปากไป

เช่นนี้จะไม่น่าตกใจไปหน่อยหรือ? เฉินซีจะไปเกี่ยวข้องกับการที่มีดาราปรากฏยามเที่ยงวันได้อย่างไร?

บังเอิญ!

ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่!

เลี่ยเผิงส่ายหน้าด้วยใจเต้นแรง

“ทุกคน ไม่จำเป็นต้องคาดเดาหรอก หากเฉินซีเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ จริง เช่นนั้นเต๋าแห่งสวรรค์ก็คงส่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ลงมานานแล้ว ตอนนี้คงไม่อาจรอดชีวิตได้ แต่เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นนี่ ฉะนั้นมันจึงไม่เกี่ยวข้องกับเฉินซี” หลังจากที่เงียบอยู่นาน เวินหัวถิงจึงเอ่ยออกมาช้า ๆ

ทุกคนได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงคลายสีหน้าลง ใช่แล้ว ปรากฏการณ์น่าตกใจเช่นนั้นปรากฏขึ้นเพียงพริบตาเดียว อีกทั้งยังไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ซัดลงมาอีกต่างหาก เช่นนี้จะเกี่ยวกับเฉินซีได้อย่างไร?

ครืน!

ทันใดนั้นเอง คลื่นเสียงฟ้าร้องที่ราวกับพายุโหมกระหน่ำก็ดังขึ้น ดังก้องไกลไปในรัศมีแสนลี้ทีเดียว

ลมแรงกระโชกส่งเสียงหวีดหวิว ฝุ่นทรายและเศษหินกระเด็นไปทั่ว ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังลั่นไปทั่วทั้งฟ้าดิน สัตว์อสูรบนทิวเขาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองพากันหวาดกลัวจนตัวสั่น หมอบตัวต่ำลงกับพื้น

เมฆลงทัณฑ์สีดำเหมือนรอยหมึกแต่งแต้มฟ้า กระจายตัวไปทั่วอาณาเขตบริเวณเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก ทำให้บรรยากาศมืดมิดไปหมด อีกทั้งเมฆลงทัณฑ์หนาเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยอำนาจสวรรค์อันน่าหวาดกลัว ส่งแรงกดดันลงมาจนทำคนหายใจแทบไม่ออก

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

สายฟ้าสีเงินนับไม่ถ้วนลั่นเปรี๊ยะอยู่ภายในเมฆลงทัณฑ์ เป็นเหมือนงูสีเงินที่เคลื่อนไปมาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนแส้ในมือเซียนสายฟ้าที่โจมตีใส่โลกมนุษย์ แรงกดดันของมันน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!

ศิษย์ทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกพากันตกตะลึงแล้วถอยร่นเข้าไปในสถานที่ปลอดภัย

แม้กระทั่งสีหน้าของเวินหัวถิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว พวกเขาต่างเตรียมท่าพร้อมรับการต่อสู้

ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปหรือเซียนปฐพีก็แล้วแต่ เมื่อต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ของเต๋าแห่งสวรรค์ พวกเขาย่อมต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา และหากถูกสายฟ้านั้นฟาดขึ้นมา …ก็คงไม่ต้องนึกถึงผลที่ตามมาเลยทีเดียว!

ฟิ้ว!

ท่ามกลางบรรยากาศกดดันนั้น ลำแสงสีทองพลันสว่างวาบขึ้นมาจากฝั่งริมสระชำระกระบี่บนยอดเขาจรัสตะวันตก พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า

มันเป็นเหมือนเส้นทางสีทองที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับท้องฟ้า เป็นแสงสีทองสว่างจ้าท่ามกลางเมฆลงทัณฑ์สีดำ

พร้อมกันนั้นก็มีร่างสูงยืนอยู่บนลำแสงสีทอง เขาเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าและเส้นผมพลิ้วตามแรงลม เงาร่างนั้นยืนหยัดเป็นสง่า ที่เอวมีน้ำเต้าสีเขียวห้อยอยู่ กำลังยืนเอาสองมือไพล่หลัง ให้กลิ่นอายความเรียบง่าย และมีท่าทางสบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

เฉินซี!

แค่มองเพียงครู่เดียวทุกคนก็รู้ได้ว่าเงาร่างเจ้าของท่าทางสบายอารมณ์และกำลังมีสีหน้าผ่อนคลายเช่นนั้น ก็คือเฉินซีนั่นเอง!

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ายามเฉินซีเผชิญหน้ากับสายฟ้าลงทัณฑ์ที่กำลังก่อตัวอย่างบ้าคลั่ง เขาจะสามารถนิ่งสงบได้เพียงนี้ และยังมีท่าทางสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตนด้วยซ้ำไป

แค่ท่าทีไม่สนใจโลกเช่นนี้ กลับทำให้ศิษย์ทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง!

ครืน!

บนท้องฟ้า เสียงสายฟ้าดั่งเสียงคำรามแห่งเทพ เมฆลงทัณฑ์สีทะมึนส่งเสียงครืนแล้วเข้ามาบรรจบกัน จนกลุ่มเมฆสีดำพลันกลายเป็นสีคราม

ถึงขั้นที่ว่าภายในเมฆลงทัณฑ์ที่เกิดสายฟ้าวาดลงมาไม่หยุดนั้น สายฟ้าเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นสีครามจาง ๆ พวกมันเปล่งประกายและเจิดจ้า และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการลงทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม!

ทัณฑ์สวรรค์แรกก่อนรุดหน้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพี

อย่างที่เขาพูดกันว่า มหาเต๋าก็เหมือนฟ้าโปร่งที่คนสามารถเหินร่างขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้ก็จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด สามารถกลายเป็นเซียนปฐพีได้!

เปรี้ยง!

เมื่อเมฆลงทัณฑ์บนฟ้าควบรวมกันจนถึงที่สุด เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องทันที มันส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณ ดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง เป็นเสียงดังจนแก้วหูของทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกแทบแตก ในใจเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้น

พร้อมกันนั้น สายฟ้าเส้นหนาและเฉียบคมสีน้ำเงินสายหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ได้ปรากฏตัวออกมาจากเมฆลงทัณฑ์ ย้อมทั้งฟ้าดินให้กลายเป็นสีคราม!

ตู้ม!

สายฟ้าลงทัณฑ์สีน้ำเงินเส้นแรกเหมือนกับโซ่สวรรค์จากเต๋าแห่งสวรรค์ มันซัดลงมาใส่เฉินซีที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศเข้าอย่างจัง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท