บทที่ 883 เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในถ้ำกระบี่
บทที่ 883 เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในถ้ำกระบี่
เมื่อตอนที่เฉินซีมาถึงถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตเป็นครั้งแรก เขาได้รับรู้เกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตจากปากของเสิ่นหลางหยา
ว่ากันว่า เมื่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองถูกสร้างขึ้นในยุคบรรพกาล บงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณก็วางวายไปอย่างน่าเสียดายขณะที่บรรลุถึงขอบเขตสูงสุด โดยร่างกายของมันถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายดีและฝ่ายร้าย
พลังของฝ่ายชั่วร้ายได้รวมตัวกันเป็นกระบี่เซียนซึ่งเต็มไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า ในขณะที่พลังฝ่ายดีของมันนั้นเปลี่ยนเป็นพลังอันทรงธรรม และรวมตัวกันเป็นถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตที่คอยต้านทานพลังจากกระบี่เซียน
กระบี่เซียนเป็นตัวแทนแห่งการนองเลือดซึ่งบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณประสบมาทั้งชีวิต และวิญญาณโลหิตที่อยู่ภายในถ้ำก็ล้วนแต่ก่อเกิดจากปราณโลหิตที่ไหลล้นอยู่ภายในกระบี่
ขณะที่ถ้ำกระบี่เป็นตัวแทนแห่งความทรงธรรมและปัญญาตลอดทั้งชีวิตของบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณ มันตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อสร้างรากฐานให้แก่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และยังคงยืนยงแม้จะเผชิญกับสายธารแห่งกาลเวลามานาน
ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่อยู่ภายในนั้นไม่อาจแยกแยะได้ว่าอันไหนดีหรืออันไหนเลว พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากแก่นโกลาหลภายในร่างกายของบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณ และตกลงไปอยู่ในชั้นที่ห้าสิบห้าถึงชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่
ตอนที่เขาเข้ามาถึงค่ายกลใหญ่ซึ่งอยู่ภายในแอ่งอสนีบาตชั้นที่หกสิบเมื่อครั้งก่อน เฉินซีได้เก็บผลึกโกลาหลที่มีรูปร่างเหมือนกระบี่ไปสามชิ้น คราวนั้น เขาใช้มันไปกับการขัดเกลาคุณภาพของยันต์ศัสตราให้เทียบเท่ากับสมบัติอมตะ
ทว่านั่นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มประสบกับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
เฉินซียังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า หากไม่ใช่เพราะเขาสวมชุดเกราะขนนกหมวกใต้พิภพ เขาก็คงจะตายไปแล้ว และตอนนั้นเอง เขาได้สาบานกับตัวเองว่าเมื่อไรที่ตนแข็งแกร่งขึ้น จะกลับมาแก้แค้นคนผู้นั้นอย่างแน่นอน!
ไม่เพียงเท่านั้น คนผู้นั้นยังทะนงตนมาก โดยบอกว่าจะรอเฉินซีให้มาฆ่าบนชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่
‘ข้ามาถึงตรงนี้แล้ว แต่สหายเต๋าคนนั้นกลับไม่อยู่ หรือว่าเขาจะซ่อนตัวที่ชั้นเก้าสิบเก้าจริง ๆ?’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างตั้งใจอยู่นาน ทว่าเขาก็จนปัญญาจะหาคำตอบ ดังนั้นชายหนุ่มจึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตถูกแบ่งออกเป็นเก้าสิบเก้าชั้น
ยิ่งลึกลงไปเท่าไร ความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิตก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นเท่านั้น เฉินซีไม่กล้าจินตนาการเลยว่านับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีคนเข้าไปถึงชั้นที่เก้าสิบเก้าได้จริง ๆ หรือ?
หากคิดให้ไกลกว่านั้นคือ การที่ยอดคนลึกลับคนนั้นเข้าไปกบดานอยู่บนชั้นสุดท้ายของถ้ำกระบี่ได้ ย่อมแปลว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างมาก
‘ช่างเถิด ดีกว่าต้องไปหงุดหงิดต่อหนทางเบื้องหน้า…’ เฉินซีส่ายหน้าสลัดความคิดออกจากหัว ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
นอกจากความตั้งใจที่จะมาแก้แค้นแล้ว การที่เขาเข้ามาในถ้ำกระบี่ครั้งนี้ก็ด้วยตั้งใจจะฝึกฝนความแข็งแกร่งเป็นหลัก ชายหนุ่มอยากรู้ว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตนมีมากน้อยเพียงไรเมื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
ฟึ่บ!
กระนั้น ทันทีที่เขาหันหลังกลับ สัมผัสพลังอันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะพรรณนาก็ทำให้ชายหนุ่มแน่นอกจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกที่อันตรายถึงชีวิตทำให้ทุกอณูขุมขนลุกเกรียว
ไม่ดีแล้ว!
ท่าทางของเฉินซีเปลี่ยนไปอย่างเร็ว เขาใช้พลังเคลื่อนย้ายโดยไม่ลังเลเพราะตั้งใจจะหลบเลี่ยงสิ่งนั้น ทว่าเหตุการณ์ถัดมาก็ทำให้ชายหนุ่มต้องตกตะลึง เมื่อพื้นที่รอบ ๆ ตัวเขาเหมือนจะถูกปิดตายด้วยแผ่นหิน และเพียงแค่เห็น เฉินซีก็รู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง
เขารู้สึกราวกับว่าความแข็งแกร่งภายในร่างถูกปิดผนึก เฉินซีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแมลงตัวน้อยที่ติดอยู่ในใยแมงมุมยักษ์ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องการต่อสู้ กับอีแค่กระดิกนิ้วมือเบา ๆ ยังทำไม่ได้!
มันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!!
ถึงอย่างไร เขาก็เป็นถึงคนที่สามารถจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าได้ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในขอบเขตสถิตกายา และบัดนี้ ชายหนุ่มได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ความแข็งแกร่งที่มีก็เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หก แม้แต่ระดับเจ็ด เขาก็กล้าเผชิญหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง
ทว่าตอนนี้ ชายหนุ่มกลับถูกตรึงไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่แม้จะขยับไปมาได้!
คนผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
เฉินซีเข้าใจทันทีว่าตนประเมินความสามารถของคนลึกลับที่ถูกกักขังไว้ในนี้ต่ำเกินไป ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายต้องสูงยิ่งกว่าขอบเขตเซียนปฐพีอย่างแน่นอน!
ไม่อย่างนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็คงมีโอกาสได้ขัดขืนบ้าง ไม่เหมือนกับตอนนี้
หัวใจของเขาตกลงไปที่ตาตุ่มทันที
“สหายเต๋าตัวน้อย เจ้าบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีแล้วอย่างไร สุดท้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็ยังเป็นมดปลวกอ่อนแออยู่ดี” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเยาะที่แหลมสูงและแหบแห้งก็ดังขึ้นเป็นการถากถาง มันดังกึกก้องสะเทือนไปทั้งโสตประสาท
“เอาแต่ซ่อนตัวเหมือนหนูอยู่ได้! ต่อให้เจ้าจะมีพลังที่น่าเกรงขามเพียงไหน ก็เป็นได้แค่คนน่ารังเกียจเท่านั้น” เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงนี้ อย่างน้อยคนผู้นั้นก็ไม่ได้คิดจะฆ่าเขาในทันที
“หึ! ข้าใช้กระบวนท่าที่ล้ำลึกในการจับตัวเจ้าจากชั้นที่เก้าสิบเก้าเลยนะ อย่างนี้เรียกว่าซ่อนเหมือนหนูได้ด้วยหรือ?” เสียงนั้นพูดอย่างเย็นชา
ถ้ำกระบี่ชั้นที่เก้าสิบเก้า!
เฉินซีตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สถานที่ที่เขากำลังยืนอยู่คือชั้นที่หกสิบ นอกเหนือจากทางเข้าออกแล้ว ถ้ำกระบี่แต่ละชั้นดูจะแยกขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง! การที่สหายเต๋าผู้นี้สามารถใช้พลังทะลวงผ่านแต่ละชั้นของถ้ำกระบี่มาได้… ไม่อยากจะคิดเลยว่าการบ่มเพาะของอีกฝ่ายจะน่ากลัวเพียงไหน!
เฉินซีจำได้ชัดเจนว่าครั้งล่าสุดที่เข้ามาในนี้ ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้น้อยกว่าในปัจจุบันมาก ไม่อย่างนั้นแล้ว ตัวเขาคงไม่สามารถหลบหนีออกมาได้
เหตุใดความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจึงได้น่าสะพรึงกลัวในเวลาเพียงไม่กี่ปี?
คนผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่?
เซียนสวรรค์?
หรือว่าเซียนลึกลับ?
หรือจะ…
เฉินซีเดาไปมากกว่านี้ไม่ได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจที่มีจำกัด
“สหายเต๋าตัวน้อย จงเชื่อฟังและมาที่ชั้นเก้าสิบเก้าตามคำสั่งของข้าซะ ตราบใดที่ข้าสามารถหลบหนีไปได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าดีหรือไม่?” เสียงแหบแห้งกลายเป็นเสียงที่มีชีวิตชีวาและอบอุ่น ทุกคำพูดของอีกฝ่ายไม่ต่างกับท่วงทำนองที่ล้ำลึกไปด้วยเต๋า ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับกำลังฟังเสียงสวดภาวนาของปราชญ์ซึ่งมีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนต้องคล้อยตาม
ทว่าการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีนั้นล้ำลึกมาก เขาบรรลุถึงขอบเขตวิญญาณดวงใจมานานแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มไม่มีทางต้องมนต์สะกดของเสียงนั้น “ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ แต่บอกว่าก่อนว่าเจ้าเป็นใคร” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าน่ะหรือ?” เสียงนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นาน อีกฝ่ายก็กัดฟันพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าเป็นใครน่ะหรือ? ข้าคือบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ครั้งหนึ่งข้าเคยฟันเทพและอสูรด้วยกระบี่ในมือ ทำลายล้างทั้งปราชญ์และพุทธองค์มานับไม่ถ้วน ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์นิกาย เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าข้าเป็นใคร?”
สุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นไหว จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร ก็เมื่อครู่นี้คนผู้นั้นเพิ่งพูดว่าตนเป็นผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
หลังจากที่ได้ยินคำตอบ ชายหนุ่มก็ไม่อาจสงบใจได้เลย ด้วยจะมีบรรพบุรุษที่ตายไปนานมากแล้วอยู่ในนิกายของเขาได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นกำลังโกหก
“ในเมื่อเจ้าวิเศษวิโสเพียงนั้น เหตุใดจึงมาติดอยู่ในนี้ได้?” ขณะที่เอ่ยปากถาม เฉินซีก็พยายามดิ้นรนขัดขืนไปด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่สามารถดึงเอาความแข็งแกร่งออกมาได้ ร่างกายของชายหนุ่มแข็งทื่อไม่ต่างรูปสลักหิน
“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้คนทรยศเต๋าบงกช!” เสียงนั้นตะคอกออกมาอย่างไม่ลังเล “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้สารเลวเต๋าบงกชมันหลอกลวงผู้คนและรวบรวมกำลังภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมาจับตัวข้า ข้าก็คงไม่ถูกขังไว้ที่นี่หรอก”
เต๋าบงกช!
ทันใดนั้น เฉินซีก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ก้าวขึ้นไปบนแท่นดอกบัวครั้งแรก ยามนั้นเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวที่มีท่าทางเฉยเมยดั่งดอกบัวกลางสายธารสงบ
เต๋าบงกชคือผู้ที่ทำให้เฉินซีเข้าใจถึงการควบคุมความลึกล้ำของมหาเต๋าในการควบคุมด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทั้งยังได้มอบสัจธรรมสวรรค์ ซึ่งเป็นของตกทอดที่ล้ำค่าที่สุดของนิกายให้แก่เขาอีกด้วย
แต่ชายหนุ่มจำได้อย่างชัดเจนว่าเต๋าบงกชบอกว่าเขากำเนิดขึ้นมาจากกลีบของบงกชศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาที่ความโกลาหลได้เกิดขึ้น อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นสิ่งไร้รูปร่างที่มีเพียงกระแสแห่งเจตจำนงสวรรค์เท่านั้น
แล้วเต๋าบงกชจะจับคนผู้นี้ไปทำไมกัน?
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
เห็นได้ชัดว่าสหายเต่าผู้นี้กำลังกล่าวความเท็จ
กระนั้น คำพูดนี้ก็ทำให้เฉินซีรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะต้องเกี่ยวข้องกับเต๋าบงกชอย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้นแล้ว เสียงของชายผู้ถูกจับขังไว้ในถ้ำกระบี่ก็คงจะไม่แสดงถึงความเกลียดชังที่มีต่อเต๋าบงกชมากถึงเพียงนี้
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในใจของชายหนุ่ม “ด้วยกำลังที่ข้ามี เห็นทีคงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” เฉินซีพูด
“เจ้ายังอ่อนแอมากเกินไปจริง ๆ หากจะต้องพึ่งความแข็งแกร่งของเจ้า ความคิดที่จะหลบหนีก็คงเป็นได้เพียงความฝัน” เสียงนั้นเยาะเย้ยเฉินซีอย่างไม่อ้อมค้อม “ข้าไม่ได้สนใจความแข็งแกร่งของเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือสัจธรรมสวรรค์ที่เจ้าบ่มเพาะ!”
ม่านตาเฉินซีหดเล็กลง “สัจธรรมสวรรค์?”
“ใช่แล้ว มีเพียงการหยั่งรู้มันอย่างถ่องแท้เท่านั้นที่จะทำให้ข้าสามารถต้านทานต่อข้อจำกัดที่เต๋าบงกชสร้างขึ้น และหลบหนีออกไปได้!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงขู่ก็ดังขึ้น “อย่าได้คิดโกหกข้าว่าเจ้าไม่มีมัน ข้าเห็นถึงประกายของเต๋าบงกชที่แผ่ออกมาจากตัวเจ้า เจ้าปิดข้าไม่ได้หรอก! หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าจะพยายามจับเจ้าไว้ทำไมกัน”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “สัจธรรมสวรรค์นั้นลึกล้ำมาก ข้าจะเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร? แต่ถึงข้าจะไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ข้าก็มีกลีบดอกบัวที่บันทึกสัจธรรมสวรรค์ไว้อยู่”
“อะไรนะ!?” เสียงนั้นดูตกใจอย่างยิ่ง “เต๋าบงกชให้สมบัติศักดิ์สิทธิ์เจ้ามาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? เร็วเข้า! เอามาให้ข้าดู!” อีกฝ่ายดูร้อนใจอย่างมาก
ทันทีที่เสียงนั้นดังก้อง เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนเบาลง เขาสามารถขยับร่างกายได้เป็นปกติ แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่มีความคิดที่จะหนี เขาสะบัดฝ่ามือหนึ่งครั้ง ก่อนกลีบดอกบัวสีทองที่วับวาวอย่างทองคำบริสุทธิ์จะปรากฏขึ้น มันเปล่งประกายอันอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เป็นแบบนั้นไม่ผิดจริง ๆ! ฮ่า ๆๆ! สวรรค์ทรงโปรด!”
ฟิ้ว!
ไม่นาน เฉินซีก็เห็นบางอย่างขยับไหวผ่านหน้าของเขา จากนั้นร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มดวงหน้าคมคายในชุดสีดำที่มีผมยาวสีแดงราวโลหิต นัยน์ตาของเจ้าตัวดำลึกและปกคลุมไปด้วยเงาที่ชั่วร้าย ทั่วทั้งร่างกายนั้นให้สัมผัสที่มืดมนเป็นอย่างมาก
นี่ไม่ใช่กายหยาบ หากเป็นดวงจิตหนึ่ง เมื่อเฉินซีมอง กายก็พลันแข็งค้างด้วยรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับจอมมารผู้ชั่วร้าย
สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกใจที่สุดก็คือ รูปลักษณ์ของชายหนุ่มผมแดงเลือดที่ดูคล้ายคลึงกับเต๋าบงกชไม่ผิดเพี้ยน!
เขาไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน!
จริงอยู่ที่กลิ่นอายพลังอันสง่างามของพวกเขาแตกต่างกันจนเรียกได้ว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกัน ทว่ารูปร่างหน้าตาของพวกเขากลับเหมือนกันราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียว!
นี่มันอะไรกัน?
ม่านตาของเฉินซีหดแคบลงอย่างรวดเร็ว ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆๆ! เมื่อข้าได้กลีบดอกบัวนี้ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องการจากเจ้าอีก” ชายในอาภรณ์สีดำสนิทระเบิดเสียงหัวเราะ ท่าทางอันหยิ่งทะนงกอปรกับใบหน้าเศร้าหมองและเหี้ยมอำมหิตอำพรางความงดงามที่มีสิ้น
ตู้ม!
เพียงชั่วพริบตา นิ้วของอีกฝ่ายก็กลายเป็นกรงเล็บที่ตะปบลงมายังศีรษะของเฉินซี!