บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 892 แท่นบูชาลึกลับ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 892 แท่นบูชาลึกลับ

บทที่ 892 แท่นบูชาลึกลับ

เผ่าช่างฝีมือวิญญาณ!

หุ่นวิญญาณศึก!

สิ่งเหล่านี้ทำให้เฉินซีตระหนักถึงความพิเศษของสถานที่แห่งนี้

“ไปกันเถอะ ห้องโถงใหญ่นี้น่าจะมีหุ่นวิญญาณศึกมากกว่าหนึ่งตัว พลังต่อสู้ของเจ้านี่อ่อนแอเกินไป ไม่มีอะไรให้สนใจนัก” อาซิ่วยืนขึ้น เริ่มก้าวเดินออกไป ตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ราวกับมองว่าสถานที่นี้คือเขาวงกตล่าสมบัติ

เฉินซีครุ่นคิดสักพัก แต่ยังคงเดินตามไป พร้อมถามไถ่เกี่ยวกับหุ่นวิญญาณศึกไปด้วย

อาซิ่วรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดังที่คาดไว้ เพราะนางได้อธิบายทุกสิ่งที่เขาสงสัยออกมา

ตามที่นางว่ามา เผ่าช่างฝีมือวิญญาณคือเผ่าลึกลับ วิถีบ่มเพาะของพวกเขาแตกต่างจากผู้บ่มเพาะธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

เผ่าช่างฝีมือวิญญาณจะสร้างหุ่นวิญญาณศึกขึ้น ทว่าไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นใช้ แต่เพื่อให้ตัวเองใช้ ส่วนคนหนุ่มสาวของเผ่าช่างฝีมือวิญญาณ ก่อนที่พวกเขาจะเกิดขึ้นมา จะมีหุ่นวิญญาณศึกที่ถูกหลอมโดยผู้อาวุโสประจำเผ่าเป็นของตัวเอง

เมื่อทารกกำเนิดขึ้นมา พวกเขาจะร่ายกฎเพื่อดึงวิญญาณของทารกออกมา ก่อนประทับเข้าไปในหุ่นวิญญาณศึก ส่วนร่างเดิมก็จะถูกทิ้ง

ทารกจะได้รับการสนับสนุนจากหุ่นวิญญาณศึก เพื่อบ่มเพาะร่างกายจนเติบใหญ่

แม้กระทั่งในเผ่าช่างฝีมือวิญญาณเอง ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้รับหุ่นวิญญาณศึก มีเพียงสมาชิกกลุ่มน้อยที่มีวิญญาณแก่กล้า กับสถานะสูงส่งเท่านั้นที่จะได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้

เดิมทีเผ่าช่างฝีมือวิญญาณต้องการหุ่นวิญญาณศึก แต่เมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะหลอมหุ่นวิญญาณศึกเพื่อตัวเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ก็จะสายเกินกว่าจะทำการบ่มเพาะร่วมกับหุ่นวิญญาณศึกเช่นกัน พวกเขาจึงมิอาจประสบความสำเร็จครั้งใหญ่บนวิถีแห่งการบ่มเพาะได้

การหลอมหุ่นวิญญาณศึกเป็นขั้นตอนที่เข้มงวดและลึกล้ำนัก มันถูกแบ่งออกเป็นเก้าขั้นตอน ประกอบด้วยการแกะสลักไม้ ประทับลวดลาย ใส่กลไก ใส่อวัยวะเทียม สร้างรูปลักษณ์จริง ดึงวิญญาณ ประทับวิญญาณ สร้างหัวใจและควบคุมวิญญาณ

แต่ละขั้นตอนเข้มงวดมาก อย่างการแกะสลักไม้ ต้องเลือกใช้วัสดุชั้นเลิศนานาชนิด เพื่อหลอมร่างของหุ่นวิญญาณศึก

อย่างประทับลวดลาย ก็ต้องใช้เคล็ดลับพิเศษเพื่อหลอมเส้นลมปราณ จุดชีพจร และกระดูกของหุ่นวิญญาณศึก… อีกทั้งยังมีอวัยวะภายในอีก

จนกระทั่งถึงขั้นตอนควบคุมวิญญาณ ซึ่งต้องใช้วิญญาณเพื่อหลอมหุ่นวิญญาณศึก …เมื่อถึงขั้นตอนนี้ จึงจะนับว่าเป็นหุ่นวิญญาณศึกที่แท้จริง

ด้วยเก้าขั้นตอนนี้ มันก็ชัดเจนแล้วว่าหุ่นวิญญาณศึกแตกต่างจากหุ่นเชิดธรรมดา

วิถีการบ่มเพาะหุ่นวิญญาณศึกนั้นพิเศษมาก เพียงต้องใช้สมบัติอย่างผลึกวิญญาณกับวารีวิญญาณกักเก็บไว้ในร่างกาย เส้นลมปราณในร่างกายจะถูกหลอมด้วยลักษณะของการเปลี่ยนแปลงตามกลไก จากนั้นก็รวมกันเป็นแก่นแท้ในทะเลลมปราณของจุดตันเถียน

เทียบกับผู้บ่มเพาะแล้ว วิถีการบ่มเพาะนี้รัดกุมกว่าและง่ายกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันแทบไม่จำเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชาบ่มเพาะลมปราณแต่อย่างใด แม้กระทั่งเคล็ดขัดเกลากายาก็หาจำเป็นไม่ มันช่างวิเศษนัก

ทว่าตามที่อาซิ่วว่า มันมีความแตกต่างในการบ่มเพาะของหุ่นวิญญาณศึกอยู่ กุญแจสำคัญมีอยู่สองขั้นคือ ‘การแกะสลักไม้’ ของหุ่นวิญญาณศึก กับ ‘ประทับลวดลาย’

การแกะสลักไม้คือพื้นฐานของการหลอมร่างกาย คุณภาพของวัสดุที่ใช้จะเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในอนาคตของหุ่นวิญญาณศึก

ประทับลวดลายคือโครงสร้างเส้นลมปราณกับจุดชีพจร มันคือเส้นทางการเคลื่อนไหวที่จำเป็นต่อการควบแน่นลมปราณ ซึ่งส่งผลโดยตรงว่าหุ่นวิญญาณศึกจะแข็งแกร่งหรือไม่

แน่นอนว่าขั้นตอนอื่น ๆ ย่อมมีผลต่อความแข็งแกร่งของหุ่นวิญญาณศึกแตกต่างกัน แต่หากกล่าวถึงขั้นตอนสำคัญ ก็ต้องเป็นสองขั้นตอนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย

กระบวนการทั้งหมดนี้ได้ย้ำเตือนเฉินซีตอนเขาอยู่ในนรกขุมที่เก้า ซึ่งชายหนุ่มได้ใช้ยันต์อักขระสลักลงในจุดชีพจรและเส้นลมปราณ มันมีความคล้ายคลึงกับขั้นตอน ‘ประทับลวดลาย’ นี้อย่างน่าประหลาด

“แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันโหดเหี้ยมก็คือ ถึงแม้หุ่นวิญญาณศึกจะมีสติปัญญา แต่มันก็คือเครื่องมือสังหารอันโหดเหี้ยม”

ริมฝีปากของอาซิ่วยกขึ้น กล่าวว่า “เหตุผลอยู่ที่ขั้นตอนสุดท้ายอย่างการควบคุมวิญญาณนั่นล่ะ หลังจากหลอมรวมกับหุ่นวิญญาณศึกแล้ว สติของมันจะไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอีกต่อไป นอกจากการบ่มเพาะแล้ว มันจะทำเพียงปล่นฆ่า นับว่าโหดเหี้ยมยิ่งนัก”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวในใจอย่างไม่มีสาเหตุ เพราะแบบนี้…ยังเรียกว่ามนุษย์ได้อีกหรือ?

เผ่าช่างฝีมือวิญญาณทำการบ่มเพาะด้วยความช่วยเหลือของหุ่นวิญญาณศึก ปฏิบัติกับพวกมันในฐานะร่างของตัวเอง ถึงแม้วิธีนี้จะอ่อนโยนกว่าการเกิดใหม่ด้วยการยึดร่าง แต่พวกเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือภูตผี …แค่คิดก็ทำเอาขนลุกซู่แล้ว!

นี่ทำให้เฉินซีรู้สึกราง ๆ เช่นกันว่า มันอาจเป็นเพราะมรดกเต๋าบ่มเพาะนี้น่ารังเกียจ จึงทำให้ผู้บ่มเพาะต่างพิภพถูกคนทั้งสามภพกดขี่ ก่อนจะถูกขับไล่ออกจากสามภพในฐานะกบฏ

แน่นอนว่า เผ่าช่างฝีมือวิญญาณเป็นเพียงกลุ่มย่อยของชาวต่างพิภพ

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นว่า ยามเผชิญกับศีลธรรมที่ขัดต่อจริยธรรมของทั้งสามภพนี้ แม้กระทั่งทวยเทพของสามภพก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะบ่มเพาะปราณแท้หรือร่างกาย ล้วนต้องให้ความเคารพต่อธรรมชาติ

ทันทีที่ตัวตนอย่างหุ่นวิญญาณศึกได้บ่มเพาะจนกลายเป็นเซียน มันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกัน?

อีกทั้งพวกมันยังไม่ต้องบ่มเพาะเพื่อกลายเป็นเซียน เนื่องจากสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่มีร่างกาย ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่สามารถเข้าสู่ยมโลกได้ นอกเสียจากต้องถูกฆ่า หรือพละกำลังสูญสิ้น ไม่เช่นนั้น ชีวิตพวกมันก็ราวกับเป็นอมตะ!

เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ เฉินซีเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินชื่อหุ่นวิญญาณศึก

ตู้ม!

ในตอนนี้ ช่องว่างเปิดออกอีกครั้งบนกำแพงของห้องโถงใหญ่ หุ่นวิญญาณศึกตัวที่สองพุ่งออกมา มันถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีน้ำเงิน สายฟ้าวูบไหว ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ซึ่งทันทีที่ปรากฏตัว มันก็แทงเข้าใส่อาซิ่วผู้อยู่ใกล้ที่สุดทันที

อาซิ่วฟาดหลังมือ ฝ่ามือดังกล่าวเต็มไปด้วยแสงดารา รวมกันเป็นคมกระบี่สีเงิน ฟันเข้าใส่ศีรษะของอีกฝ่ายทันที!

ทว่าสิ่งที่เฉินซีหวาดกลัวคือ ศพไร้หัวของหุ่นวิญญาณศึก คล้ายกับไม่ได้รับผลกระทบอะไร มันถือหอกยาวสีน้ำเงิน กระทืบเท้าพุ่งออกไป ปลายหอกเหมือนกับแสงสว่าง ระเบิดหอกอันเกรี้ยวกราดนับไม่ถ้วน ฉีกกระชากความว่างเปล่า ปกคลุมทั่วทั้งร่างของอาซิ่วเอาไว้

“โอ้โห! มันเป็นถึงหุ่นวิญญาณศึกระดับสูง มีพลังเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเลยหรือนี่” อาซิ่วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะปรบมือ ทำให้แสงดาราเปล่งประกายระยับ และทันทีที่สิ้นเสียงดังปัง ทั่วทั้งร่างหุ่นวิญญาณศึกก็ถูกบดขยี้ ไม่เหลือแม้แต่ผุยผง

เฉินซีเปิดปาก ก่อนหุบลงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เขาวางแผนไว้ว่าจะศึกษาหุ่นวิญญาณศึกนี้ แต่ตอนนี้ดูท่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามแผนเสียแล้ว

“ไม่ต้องห่วง ข้าสัมผัสได้ว่าหากเข้าไปในห้องโถงหลักลึกกว่านี้ หุ่นวิญญาณศึกจะมีคุณภาพสูงขึ้น เจ้าจะต้องเจอสมบัติตกทอดอย่างแน่นอน”

อาซิ่วยิ้มชั่วร้าย

เมื่อเห็นเช่นนี้ เขายังจะพูดอะไรได้อีก?

ห้องโถงหลักนี้ลึกยิ่งนัก พวกเขาทั้งสองเร่งความเร็ว จึงได้พบกับหุ่นวิญญาณศึกจำนวนมากทะลวงผ่านกำแพงมาตลอดทาง ความแข็งแกร่งของพวกมันอยู่ในขอบเขตสถิตกายาโดยประมาณ ไม่มีใครกลัวตาย ทั้งยังโหดเหี้ยมยิ่งนัก

ทว่าเฉินซีทราบดีว่า พละกำลังของอีกฝ่ายคล้ายกับถูกใช้ไปมาก สติของพวกมันจึงเลือนหายไปนานแล้ว ต่อให้ไม่ใช้ท่าไม้ตาย ชายหนุ่มก็ยังคงสามารถสังหารอีกฝ่ายได้หลังจากผ่านไปไม่กี่รอบ ทำให้พวกมันกระแทกกับพื้นดังโครม กลายเป็นเถ้าธุลี

เหตุผลนั้นคาดเดาได้ง่ายนัก นั่นเพราะตัวตนของหุ่นวิญญาณศึกเหล่านี้อยู่มานาน นานเสียจนต้องย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ชาวต่างพิภพยังไม่ถูกขับไล่ออกจากสามภพ

ด้วยระยะเวลายาวนานขนาดนั้น หุ่นวิญญาณศึกเหล่านี้ยังคงรักษาพลังต่อสู้ส่วนหนึ่งเอาไว้ นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวตนของพวกมันน่าทึ่งเพียงใด!

หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา

ทั้งสองเดินเลี้ยวเข้ามุมมืด เพิ่งจะก้าวไปข้างในไม่ทันไร ขอบเขตการมองเห็นพลันเปิดกว้าง นี่คือดินแดนกว้างใหญ่ที่ผนึกที่นี่ไว้นานเท่าใดไม่ทราบ

บนพื้น หุ่นวิญญาณศึกแถวแล้วแถวเล่า ยืนเรียงรายอย่างเคร่งขรึมอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก เมื่อมองรอบข้าง พวกมันมีจำนวนมหาศาลจนไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้

หุ่นวิญญาณศึกนี้สูงตระหง่าน เหมือนกับรูปปั้นดินเผา ราวกับยืนตระหง่านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่โบราณกาล ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเคร่งขรึม โบราณ และเย็นยะเยือกยิ่งนัก

เมื่อเห็นฉากนี้ เขาอดหรี่ตาเล็กน้อยไม่ได้ ในใจตกตะลึงยิ่งนัก

ราวกับทหารนับพันกำลังยืนทบทวนตัวเองอยู่ที่นี่อย่างเคร่งขรึม ราวกับกำลังรอคอยการมาถึงของราชา ราวกับกำลังรอคอยการบุกทะลวง พร้อมรบทุกเมื่อ ช่างเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่นัก

กองทัพแนวหลังสุดของหุ่นวิญญาณศึกจำนวนมากนี้มีแท่นบูชาโบราณตั้งอยู่ ความสูงราวหนึ่งพันจั้ง ทั่วทั้งแท่นสูงเป็นสีดำสนิท มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่บนนั้น ราวกับเปลวเพลิงนิรันดร์สาดส่องทั่วทุกหนแห่ง

อาซิ่วพลันกระซิบว่า “นี่ ดูข้าแสดงกลสิ”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น ก่อนที่เฉินซีจะทันตอบสนอง นางก็ก้าวไปข้างหน้า ชี้ไปยังหุ่นวิญญาณศึกไร้ที่สิ้นสุดที่อยู่ไกลออกไป ส่งเสียงเรียกแจ่มชัดสามครั้งว่า “ล้ม ๆๆ!”

เมื่อเห็นว่านางกำลังเล่นเป็นเด็ก มุมปากของเฉินซีอดกระตุกไม่ได้ แต่อึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็ได้เห็นฉากอันน่าตกตะลึง

โครม! โครม! โครม!

หุ่นวิญญาณศึกจำนวนมากที่เรียงแถวกันอยู่ พลันล้มลงไป ส่งเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ควันธุลีตลบฟุ้ง เศษซากปลิวว่อน กระจายไปทั่วพื้นที่

ความรู้สึกนั้นเหมือนกับกองทัพนับพันถูกกวาดล้างในพริบตา ช่างน่าตื่นตายิ่งนัก

หลังจากเสียงดังไปได้ครึ่งเดียว ควันก็ได้หายไป

เศษซากจำนวนมากกองรวมกันบนพื้น มันคือโครงกระดูกของหุ่นวิญญาณศึก ซึ่งมิอาจระบุได้ว่าอัตลักษณ์นั้นเป็นของผู้ใด

จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจคร่าว ๆ หลังจากผ่านมานานแสนนาน หุ่นวิญญาณศึกเหล่านี้อาจจะใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น จนในที่สุดก็กลายเป็นรูปปั้นที่เปราะบางยามอยู่ตรงหน้า

เสียงของอาซิ่วเหมือนกับถังแป้งที่เผาไหม้ ทำลายสมดุลของที่นี่ ส่งผลให้หุ่นวิญญาณศึกเหล่านี้เสียกำลังที่จะยืนหยัด จนในที่สุดก็ถูกกำจัด

“สมบัติตกทอดอยู่บนแท่นบูชา รีบไปเร็ว!”

อาซิ่วกวักมือเรียกเฉินซี ก่อนกลายเป็นสายแสง แล้วพุ่งตรงไปยังแท่นบูชาสูงพันจั้งซึ่งอยู่ภายในห้องโถง

เฉินซีตามหลังติด ๆ เมื่อมาถึงแท่นสูง เขาก็พบว่าอาซิ่วกำลังถือกล่องที่ดูเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยกเอาไว้ นางดูมีความสุขไม่น้อย

แท่นนี้กินบริเวณราวสิบจั้ง เปลวเพลิงคู่หนึ่งถูกจุดตรงกลาง พวกมันดูเหมือนกับคงอยู่ชั่วนิรันดร์ นอกจากนี้ ยังมีแท่นหินสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงิน ซึ่งกล่องในมือของอาซิ่วได้รับมาจากแท่นหินสีน้ำเงินดังกล่าว

แต่ที่ด้านหนึ่งของแท่นหินสีน้ำเงินยังคงมีหุ่นวิญญาณศึกอยู่ มันสูงเจ็ดฉื่อ สวมชุดเกราะสีดำ เกล็ดสีดำละเอียดปกคลุมทั่วร่างกาย มันสวมหมวกสีดำเรียบง่ายไว้บนศีรษะ เผยเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่ปิดอยู่

ในมือถือหอกยาวสองจั้ง ชายหนุ่มมองออกว่า แม้อีกฝ่ายจะมีฝ่ามือเรียวยาวสีขาว แต่กลับให้ความรู้สึกที่ทั้งสงบและทรงพลัง …แค่ยืนอยู่ที่นี่เพียงอย่างเดียวก็แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกและรุนแรงออกมา!

เมื่อเห็นหุ่นวิญญาณศึกตัวนี้เป็นครั้งแรก ในใจของเฉินซีกลับรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ราวกับอึดใจต่อมา หุ่นวิญญาณศึกในชุดเกราะสีดำและหมวกสีดำจะลืมตาขึ้น ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท