บทที่ 894 เงาของศัตรูที่ย่างกราย
บทที่ 894 เงาของศัตรูที่ย่างกราย
ตลอดทางที่เดินออกจากดินแดนภูตผี เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ขณะที่เขามองไปยังอาซิ่วซึ่งกำลังอิ่มเอมใจอยู่ข้าง ๆ กาย
การเผชิญหน้าที่เกือบจะเหมือนการละเล่นระหว่างเด็กตัวเล็ก ๆ จบลงโดยที่ซางจือหมดเรี่ยวแรง
ในช่วงเวลานี้เอง หูของเฉินซีต้องทนทรมานอยู่ราวหนึ่งก้านธูป จนถึงขณะนี้ สองประโยคนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
ประโยคหนึ่งคือ ‘ยอมจำนนต่อข้าซะ’
ส่วนอีกประโยคคือ ‘เกียรติยศแห่งซางจือ ไม่อาจยอมให้เสื่อมเสีย’
เฉินซีไม่อาจจินตนาการได้ว่าอาซิ่วได้รับความอดทนและความพากเพียรนี้มาจากที่ใด นี่นางว่างถึงขนาดโต้เถียงกับหุ่นวิญญาณศึกเป็นเวลานาน และทำสิ่งนั้นซ้ำไปซ้ำมา…
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือซางจือดูจะให้ความร่วมมืออย่างมาก แต่ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นจากการปฏิเสธของเขา
โชคดีที่พละกำลังของซางจือได้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ดังนั้นมันจึงถูกใช้ไปอย่างมากในระหว่างการโต้เถียง ทำให้เมื่อพลังงานส่วนสุดท้ายในร่างกายหมดสิ้นไป ในที่สุดซางจือก็หุบปาก
ในขณะที่อาซิ่วเป็นประหนึ่งแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะ นางอิ่มเอมใจและร่าเริง พลางยกมือขึ้นเพื่อกวาดซางจือที่มีขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือออกไป
หากเป็นไปตามที่อาซิ่วกล่าว นี่คือร่างที่แท้จริงของซางจือ และมันคล้ายกับหุ่นรบตัวเล็กที่คัมภีร์จักรพรรดิแห่งการควบคุมบันทึกไว้ในนั้น แต่มันแตกต่างจากหุ่นวิญญาณศึกทั่วไปอย่างมาก
เพราะซางจือดูเหมือนจะมีระดับที่สูงกว่าและฉลาดกว่ามาก เฉินซีไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวัตถุวิญญาณใด แต่เห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของซางจือ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูออกว่า หุ่นรบตัวเล็ก ๆ นี้คือหุ่นวิญญาณศึก!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของซางจือก็อ่อนแอลงมาก แต่มันยังสามารถใช้พลังที่เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ยิ่งกว่านั้น มันยังเข้าฟาดฟันอย่างเด็ดเดี่ยวและปราศจากความกลัว ทำให้มันดูเหมือนเครื่องจักรที่เกิดมาเพื่อเข่นฆ่าอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ซางจือที่อยู่ในยุครุ่งเรืองนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด?
…
ฟิ้ว!
ณ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เรือเหาะสมบัติได้บดขยี้ชั้นเมฆและพาเฉินซีกับคนอื่น ๆ ทะยานขึ้นไป
การเดินทางไปแคว้นต้าเยี่ยนครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้รับคัมภีร์จักรพรรดิแห่งการควบคุมของเผ่าช่างฝีมือวิญญาณ และหุ่นวิญญาณศึกประหลาดอย่างซางจือโดยไม่คาดคิด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ เฉินซีกังวลกับสถานการณ์ในแดนภวังค์ทมิฬมากกว่า
พวกคนต่างพิภพได้ปรากฏตัวในแดนภวังค์ทมิฬครั้งแล้วครั้งเล่า และเห็นได้ชัดว่าพวกมันคงพบวิธีที่จะหลบหนีจากการตรวจจับของเต๋าแห่งสวรรค์ ทำให้พวกมันสามารถบุกไปยังเมืองต่าง ๆ ได้อย่างไม่เกรงกลัวเหมือนห่าฝูงตั๊กแตน ทำให้หลายเมืองและกองกำลังมากมายตกอยู่ในเปลวเพลิงอันนองเลือดของสงคราม
หากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป มันก็เหมือนกับประกายไฟเล็ก ๆ ที่แผดเผาทุ่งหญ้าให้มอดไหม้ และแผ่กระจายไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ ในเวลานั้น ดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ซึ่งอยู่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด และเหล่าสิ่งมีชีวิตมหาศาลที่อาศัยอยู่ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากถูกพัดพาเข้าสู่วังวนแห่งสงครามได้
เมื่อถึงเวลานั้น การนองเลือด การฆ่าฟัน และความตายจะกลายเป็นประเด็นหลักของแดนภวังค์ทมิฬ …ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ พวกเขามีแต่ต้องสู้หรือตาย ซึ่งผู้บริสุทธิ์ในเวลานั้นย่อมไม่พ้นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเหล่านี้
นับตั้งแต่เฉินซีก้าวเข้าสู่เส้นทางของการบ่มเพาะจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมากอบกู้โลก และไม่เคยรู้สึกสงสารต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในใต้หล้า แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายและพายุซึ่งกำลังใกล้เข้ามา หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
ไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินซีมิอาจจะพลิกสถานการณ์และช่วยทุกคนในโลกจากภัยพิบัตินี้ด้วยความสามารถที่มีได้
บางทีสิ่งเดียวที่เฉินซีทำได้คือ การพึ่งพากำลังของตัวเองเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่เคียงข้าง จากความโกลาหลที่กำลังจะมาถึง
นี่เป็นสัญญาณกลียุคของภพทั้งสาม ที่แม้ยังไม่ถึงที่สุด ทว่าภพมนุษย์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลแล้ว…
เขาพอจะจินตนาการได้ว่า ขนาดแดนภวังค์ทมิฬยังเป็นเช่นนี้ โลกใบใหญ่แห่งอื่น หรือแม้แต่ภพเซียนและยมโลกเองก็อาจประสบกับภัยพิบัติใหญ่เช่นกัน
เมื่อเผชิญกับกลียุคเช่นนี้ที่ส่งผลกระทบต่อภพทั้งสาม พลังของคนเพียงคนเดียวย่อมอ่อนแอเกินไป บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่หม้อใบจิ๋วกล่าวไว้ …ท่ามกลางกลียุคที่เกิดขึ้น เทพเจ้าก็เหมือนต้นหญ้า เซียนและปีศาจก็เหมือนมด และไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยไม่ได้รับอันตราย
เคร้ง! เคร้ง!
บนเรือเหาะสมบัติ เสียงที่ชัดเจนของโลหะแตกหักได้ดังขึ้นขัดจังหวะการไตร่ตรองของเฉินซี เขาพลันหันขวับกลับไปมอง ก่อนที่อารมณ์อันหนักอึ้งจะกลายเป็นประหวั่นพรั่นพรึง!
ซางจือซึ่งกลายร่างเป็นหุ่นรบตัวเล็กขนาดเท่ากำปั้น กำลังจับสมบัติอมตะและเคี้ยวมัน แม้ว่ามันกำลังกินอยู่ รูปร่างของมันก็สูงตรงอย่างมาก เปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายอำมหิตและเย็นยะเยือกดุจตัวประหลาดที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก
อาซิ่วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ในขณะที่มือของนางประคองใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามนั้นไว้ หญิงสาวยิ้มขณะมองไปที่ซางจือด้วยดวงตาสดใส ราวกับมีความสุขจากการได้เลี้ยงสัตว์ตัวน้อย
ทว่าหลิงไป๋ ไป๋คุย และอาหมานกลับตกใจอย่างมากแทน พวกเขามองไปที่ซางจือด้วยสีหน้ามึนงง และดูจะไม่กล้าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถกินได้มากกว่าพวกเขา ยิ่งกว่านั้น รสนิยมของมันก็แปลกประหลาดยิ่งนัก…
แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญสำหรับเฉินซี สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาซิ่วได้ขอสมบัติอมตะนี้จากเขาไป!
แม้ว่าจะเป็นเพียงสมบัติอมตะธรรมดา ๆ แต่ก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอาหารเลี้ยงซางจือไปแล้ว…
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว อารมณ์ของชายหนุ่มจะดีได้อย่างไร?
ในขณะเดียวกัน หลิงไป๋ก็นั่งตัวตรงพร้อมกับกอดอก จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางเย็นชาและทะนงตนว่า “ข้าเคยกินสมบัติวิเศษมาก่อน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ไป๋คุยพยักหน้าหงึกหงักเช่นกัน และดูเหมือนว่ามันจะกล่าวว่ามันก็เคยกินสมบัติวิเศษในอดีตเช่นกัน
อาหมานเกาหัวและกล่าวด้วยท่าทางน้ำลายสอ “ข้ายังไม่เคยลองเลย รสชาติของมันดีหรือไม่?”
หลิงไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับสู่ท่าทีภาคภูมิใจในขณะที่กล่าวว่า “รสชาติมันแย่มาก และยังทำให้ฟันของเจ้าสึกกร่อน”
ไป๋คุยรีบพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทำตัวดั่งผู้ติดตามตัวน้อยที่พยักหน้าให้กับทุกเรื่อง
อาหมานไม่เชื่อพวกเขา และชี้ไปที่ซางจือพร้อมกับกล่าวว่า “แต่ท่าทางที่เขากิน …มันดูอร่อยมากเลยนะ”
“เอ่อ… บางทีรสชาติของสมบัติอมตะอาจจะดีจริง ๆ ก็ได้กระมัง?” หลิงไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงแนะนำว่า “เหตุใดเราจึงไม่ลองกินสมบัติอมตะดูล่ะ? ข้าก็ไม่เคยลองมาก่อนเช่นกัน”
ไป๋คุยกับอาหมานพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านี้จะสอดคล้องกับความตั้งใจของพวกเขา
“พวกเจ้าคิดจะกินสิ่งใดกัน?” เฉินซีไม่อาจทนได้อีกต่อไป และเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดมน น้ำเสียงของเขาราวกับถูกรีดออกมาจากรอยแยกระหว่างฟัน เพราะชายหนุ่มไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมล้างผลาญเช่นการเอาสมบัติอมตะมาเป็นอาหารได้อย่างแน่นอน!
ถึงขนาดที่ชายหนุ่มสงสัยว่า หากเขายังคงทำตามคำขอของตัวตะกละเหล่านี้อีกต่อไป บางทีพวกมันอาจกินสมบัติอมตะในวันนี้ และอาจโวยวายที่จะลิ้มลองรสชาติของสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬหรือสมบัติอมตะระดับจักรวาลในอนาคตได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อาจปล่อยให้แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นได้ และเขาต้องกำจัดความต้องการที่ว่าในขณะที่มันกำลังแตกหน่อ!
หลิงไป๋ตกตะลึง ไป๋คุยตกตะลึง และอาหมานก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกมันต่างสังเกตเห็นว่า เฉินซีในขณะนี้ดูเหมือนถังดินปืนที่ใกล้จะระเบิด
จอมตะกละทั้งสามต่างมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายศีรษะพร้อมกัน “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
“โอ้” ใบหน้าของเฉินซียังคงมืดมน แต่เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกพอใจกับท่าทีของอีกฝ่ายมาก เนื่องจากพวกมันรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง…
“เฉินซี รีบส่งสมบัติอมตะมาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า หากเขาไม่เติมพลังให้เต็ม เจ้าก็จะสูญเสียศัสตราชั้นยอดไป” ในขณะเดียวกัน อาซิ่วได้โบกมือเล็ก ๆ สีขาวของนางให้เฉินซี ในขณะที่สายตาของหญิงสาวจับจ้องไปที่ซางจือ ซึ่งใกล้จะกินสมบัติอมตะหมดแล้ว
ใบหน้าของเฉินซีแข็งทื่อทันที
ในทางกลับกัน สายตาที่พวกหลิงไป๋จ้องมองไปยังเฉินซีนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวัง ราวกับพวกมันจะไม่ยอมแพ้ต่อความปรารถนาในใจ และต้องการคว้าโอกาสนี้เพื่อลองอีกสักตั้ง
หลังจากดิ้นรนในใจเป็นเวลานาน ในที่สุดเฉินซีก็ตัดสินใจด้วยความยากลำบาก …ส่งสมบัติอมตะไปสองชิ้น
หลังจากนั้น คลื่นเสียงเคร้งคร้างก็ดังก้องไปทั่วเรือเหาะสมบัติ ทำให้หัวใจของเฉินซีแทบหลั่งเลือด เขากัดฟันในขณะที่คิดในใจ ‘ตัวแสบเหล่านี้ขัดเกลาฟันของพวกมันจนแข็งเพียงนี้ได้อย่างไร!’
…
หลังจากที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จากไปไม่นาน
มีคนสองคนได้เข้ามายังช่องเขาในดินแดนภูตผี ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาทึบ
คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีรูปลักษณ์ดุร้าย ร่างกายปกคลุมไปด้วยเกล็ดน่ากลัว และตาขวาถูกปิดด้วยผ้าปิดตาสีดำสนิท ซึ่งขับเน้นกลิ่นอายที่ทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมออกมา …แม้ว่าจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่มันก็ไม่อาจกลบความโหดเหี้ยมของคนคนนี้ได้
อีกคนเป็นหญิงสาวชุดแดงที่มีผมกระเซอะกระเซิงสีแดงเพลิง รูปร่างหน้าตาของนางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับดู ๆ แล้วเหมือนแมงมุมพิษหลากสีอย่างไรอย่างนั้น
“บัดซบ! มีคนเคยมาที่นี่!” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่หน้ากำแพงหิน มองไปที่แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลที่ถูกฉีกออก ท่าทางโหดร้ายและน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่น่าเกลียดและมีรอยแผลเป็นของเจ้าตัว
“เราเข้าไปดูกันก่อนเถอะ ข้าหวังแต่เพียงว่าโบราณวัตถุยังคงอยู่ในนั้น…” หญิงสาวชุดแดงเม้มริมฝีปากสีแดงสดขณะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา น้ำเสียงของนางทุ้มต่ำ เฉียบคม เหมือนอสรพิษแลบลิ้น
ทั้งสองไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ และเคลื่อนที่ไปตามทางด้วยความเร็วสูงสุด ตลอดเส้นทาง พวกเขามักจะพบหุ่นวิญญาณศึกที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น และทำให้สีหน้าของคนทั้งคู่ค่อย ๆ มืดมนลง
เมื่อเห็นซากหุ่นวิญญาณศึกที่กองทับกันอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างจนเหมือนกับซากปรักหักพังขนาดใหญ่ และแท่นบวงสรวงที่สูงถึงพันจั้งถูกทำลาย เปลวเพลิงแห่งความพิโรธที่ลุกโชนก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งออกจากดวงตา
ฟิ้ว!
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยังคงไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ และร่างของเขาทะยานขึ้นเหนือซากปรักหักพังวนไปมา พร้อมกับค้นหาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวก็มาหยุดที่เบื้องหน้าแท่นหินปูนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนรอยแผลเป็นอันน่าเกลียดของอีกฝ่ายจะย่นเข้าหากัน ทำให้ตัวคนดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“มรดกหุ่นวิญญาณศึกถูกชิงไปแล้ว! ที่สำคัญที่สุด ‘หุ่นวิญญาณซางจือ’ ที่บรรพบุรุษของเผ่าเราสร้างขึ้นด้วยความพยายามมาทั้งชีวิตก็หายไปเช่นกัน!” เสียงของชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่ง ดูไร้ความปรานียิ่งนัก
“เพราะไอ้โง่กุ้ยเผิง! เขาระดมกำลังขนาดใหญ่และสร้างความวุ่นวาย หมายมั่นจะทำลายแคว้นต้าเยี่ยน ก่อนที่จะค้นหาโบราณวัตถุของเผ่า! หรือเขาคิดว่าชนพื้นเมืองของแดนภวังค์ทมิฬนั่นโง่กว่าหมูหรือไร?” เมื่อนางได้ยินว่ามรดกหุ่นวิญญาณศึกสูญหายไป หญิงสาวชุดแดงหาได้สนใจไม่ แต่เมื่อหญิงสาวได้ยินว่า ‘หุ่นวิญญาณซางจือ’ ก็หายไปด้วย ใบหน้าที่งดงามของนางกลับกลายเป็นสีแดงก่ำในบัดดล และเจ้าตัวก็คำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พวกมันน่าจะออกไปได้ไม่นานนัก” จู่ ๆ ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ก็สูดหายใจแรง จากนั้นเขาจึงหลับตาเป็นเวลานาน ก่อนจะลืมตาแล้วกล่าวว่า “ข้าได้กลิ่นของมันแล้ว”
“คนเดียวหรือ?” หญิงสาวชุดแดงถามกลับ
“มีกลิ่นของบุคคลเดียวและมันจางมาก ข้าสามารถระบุได้ว่าพลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่ง และมันก็เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เลียริมฝีปากหนาก่อนจะตัดสินใจทันที “ชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ไล่ตามเขากันเถอะ มิฉะนั้น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะไม่ยกโทษให้เรา หากเรากลับไปมือเปล่า!”
“บัดซบ! กุ้ยเผิงทำให้เกิดเรื่องไร้สาระนี่ขึ้น แต่เรากลับต้องมาคอยเก็บกวาดทำความสะอาดให้เสียนี่!” หญิงสาวในชุดแดงพึมพำด้วยความรำคาญ ในที่สุดนางก็เดินตามชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ไป
ฟิ้ว!
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ทะลุมิติและหายไปในพริบตา