บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 898 คู่ต่อสู้เหล่านั้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 898 คู่ต่อสู้เหล่านั้น

บทที่ 898 คู่ต่อสู้เหล่านั้น

เรือเหาะสมบัติล่องลอยไปในอากาศ แต่มันกลับไม่ได้เร็วเท่าเก่า

ภายในลำเรือไม่มีใครพูดอันใด ทำให้บรรยากาศหดหู่ยิ่ง

หลิงไป๋ยืนเงียบอยู่ท้ายเรือด้วยใบหน้าขรึม ดวงตาดุร้ายเยือกเย็น หมัดที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำกันแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ เกิดเป็นโลหิตแดงไหลริน แต่เจ้าตัวเหมือนไม่รู้สึก

ไป๋คุยเอนหลังนอนอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างกายหลิงไป๋ ท่าทางเหมือนไม่อยากลืมตา

มู่ขุยเหลือบมองหลิงไป๋และไป๋คุยด้วยความกังวล หว่างคิ้วเผยแววโกรธออกมาให้เห็น

อาหมานเองก็ผิดไปจากปกติ นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาพยายามบ่มเพาะอย่างสุดความสามารถ มีวงพลังหนาแน่นวงแล้ววงเล่ากระเพื่อมออกมาจากร่างไม่หยุด

เหมิงเหวยกับโม่ย่าเองก็นิ่งเงียบ ทั้งสองกำลังเฝ้าสังเกตการบ่มเพาะของคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า ศึกครั้งก่อนน่าสะพรึงเกินไป ถึงแม้จะไม่เสียกำลังคน แต่ก็เสียกำลังใจ ฉะนั้นหากไม่รีบแก้ไขให้ทันการณ์ก็จะทิ้งความเสียหายที่ไม่อาจซ่อมแซมได้ไว้

…ขณะเดียวกัน เฉินซีกำลังหลอมยันต์ศัสตราอยู่เงียบ ๆ ที่อีกมุมหนึ่ง

อำนาจยันต์ศัสตรานี้ก็เหนือกว่าสมบัติอมตะธรรมดาอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดของยันต์ศัสตราออกมาได้ เพราะยันต์เทวะทั้งห้าที่อยู่ภายในนั้นยังไม่ถึงขั้นที่สามารถ ‘สื่อสารกับเทพไท้’ ได้

แต่ขั้นตอนนั้นยังอยู่ห่างไกลเกินไป อย่างน้อยเขาต้องมีการบ่มเพาะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ จึงจะสามารถสัมผัสสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพ’ อะไรนั่นได้ ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ปรับปรุงและเสริมพลังให้ยันต์ศัสตราไปก่อน

ซึ่งเขาก็ใช้วิธีที่ไม่ซับซ้อน นั่นคือการสลักยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ ยันต์เทวะวิญญาณอสูร ยันต์เทวะวิหคอมตะวายุ และยันต์เทวะจักรพรรดิตะวันออกไว้บนยันต์ศัสตรานั่นเอง

ก็เหมือนกับยันต์เทวะห้าธาตุ …ยันต์เทวะทั้งสี่นี้เองก็เป็นสิ่งตกทอดจากเขาเทพพยากรณ์ แต่ถูกส่งต่อมาให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสี่ที่เป็นบรรพบุรุษผู้สร้างพิภพยันต์อักขระขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ยันต์เทวะทั้งสี่จึงกลายเป็นวิชาลับของตระกูลเหลียง กู่ อิน และหลัว

ตอนที่ชายหนุ่มอยู่ในพิภพยันต์อักขระ หลียางได้มอบยันต์เทวะทั้งสี่ให้แก่เขา และตอนนี้ตัวเขาสามารถทำความเข้าใจการสลักยันต์เทวะทั้งเก้าแล้ว

จากที่เฉินซีประเมินไว้ เมื่อสลักยันต์เทวะทั้งสี่ประเภทเข้าไป ก็จะถึงเวลาปรับปรุงคุณภาพของยันต์ศัสตราได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นแค่ต้องหาวัตถุดิบเซียนมาใช้กับยันต์ศัสตราเพื่อยกระดับของมันก็พอ

ภายในลำเรือนั้น ทุกคนเหมือนยุ่งแต่กับเรื่องของตนเอง ทำให้บรรยากาศยิ่งดูกดดันกว่าเดิม

มีเพียงซางจือที่ดูจะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบกายเลย

การปรากฏตัวของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูและการจากไปของอาซิ่วส่งผลให้ทุกคนมีไฟแค้นสุมอก รวมถึงเฉินซีด้วย เป็นไฟโกรธที่มาจากความไร้กำลังของตนเอง

พวกเขาอาจจะมีความแข็งแกร่งอยู่บนจุดสูงสุดในภพมนุษย์ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนน่ากลัวอย่างจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนมดที่โดนเพียงลมวูบหนึ่งก็ปลิว ทั้งอ่อนแอและไร้พลัง

ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นกุมชะตากรรมของตนเองไว้ในมือและถูกเหยียบย่ำความตั้งใจ ทำให้ทุกคนทั้งรู้สึกโกรธ เสียใจ และไม่อยากเจอแบบนั้นซ้ำสอง

ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสำรวจตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง เลิกมองอดีต แล้วหันหน้าไปมองอนาคตที่แสนไกลแทน

หลายชั่วยามต่อมา

ทิวเขาที่กว้างใหญ่สูงตระหง่านปรากฏสู่สายตา เหมือนไขสันหลังที่ทอดตัวเชื่อมฟ้าดิน อีกทั้งยอดเขาหลายลูกยังเต็มไปด้วยปราณเซียนสีม่วงหนาแน่น

หากมองจากบนฟ้าสูงลงมา ก็จะเห็นเหมือนมังกรตัวใหญ่กำลังนอนอยู่ พร้อมกับปราณรุนแรงแห่งราชันลอยคลุ้ง ทุกครั้งที่ตะวันลอยเด่น หมอกม่วงอันมืดมัวก็จะปกคลุมภูเขาเหล่านี้ไว้ทำให้ดูลึกลับ

กระแสปราณรุนแรงมาจากทางทิศตะวันออก เป็นสถานที่หายาก ซึ่งมีชีพจรมังกรรวมตัวกันอยู่

ที่นี่คือเทือกเขาหนามม่วง สถานที่ตั้งของตระกูลไป๋ เป็นสถานที่ซึ่งโลกแห่งการบ่มเพาะในแดนภวังค์ทมิฬทั้งเกลียดและยำเกรงในเวลาเดียวกัน

ตอนนี้ บนพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ของภูเขาได้มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวกว่าหิมะและผิวเนียนดั่งหยกยืนอยู่ ในมือคนผู้นั้นถือพัดหยกที่มีลวดลายสีทอง เป็นลายหญิงงามทั้งสิบแปดนาง วาดไว้น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

หากเป็นในสมรภูมิ ผู้สวมชุดโดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้ย่อมกลายเป็นเป้าโจมตีแรกเป็นแน่ ก็เด่นเสียขนาดนี้จะให้จัดการใครได้อีก?

แน่นอน คนที่กล้าสวมชุดโดดเด่นสะดุดตาทั้งยังยืนอยู่บนเขาอย่างไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ ย่อมเป็นคนจากตระกูลไป๋ …ไป๋กู้หนานนั่นเอง

เขาทำท่าเหมือนรอมานานแล้ว กำลังขยับพัดไปมาด้วยความเบื่อหน่ายไร้ความตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นเรือเหาะสมบัติกำลังพุ่งเข้ามา เจ้าตัวพลันยืดหลังตรง นัยน์ตาดูเป็นประกาย เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

“สหายเดินทางมาไกล ช่างน่ายินดีเสียจริง!” เขาหัวเราะลั่นเต็มไปด้วยความสุขใจ

‘คนพวกนี้แต่งตัวโดดเด่นเสียจริง…’ เมื่อเฉินซีเห็นไป๋กู้หนานในชุดสีขาวดั่งหิมะ ผู้ทำผมมาอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งในมือยังมีพัดสาวงาม มุมปากชายหนุ่มก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มในทันที

“บัดซบ! เจ้าบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว! ไอ้เจ้าบ้า!” ไป๋กู้หนานกระโดดขึ้นเรือเหาะสมบัติ ก่อนจะมองเฉินซีหัวจรดเท้าแล้วสบถออกมา

เขายังจำวันที่เฉินซีเดินทางออกจากเมืองหลีหั่วในวันนั้นได้ ตอนนั้นการบ่มเพาะของชายหนุ่มอยู่เพียงขอบเขตสถิตกายา ตอนนี้ผ่านไปแค่สิบปี แต่อีกฝ่ายกลับรุดหน้าไปถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ทำให้ไป๋กู้หนานทั้งตกตะลึงและอิจฉา ร้องเตือนตัวเองในใจทันทีว่า อย่าได้เอาตนเองไปเทียบกับเจ้าบ้านี่ ไม่งั้นคงได้โกรธตายกันไปข้างแน่…

ไป๋กู้หนานย่อมถูกไป๋จิงเฉินกำชับว่าให้รอต้อนรับเฉินซีอยู่ที่นี่ …และแน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะเฉินซี ด้วยความหยิ่งผยองของเจ้าตัว ไป๋กู้หนานก็คงไม่มาหรอก!

“เฉินซี ท่านน้าเล็กของข้ากลับมาแล้ว แต่ได้รับคำแนะนำมาว่าอย่าเพิ่งปรากฏตัวสู่สาธารณะจะดีกว่า เจ้าก็รู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใดก็ต้องดิ้นรนกันทั้งสิ้น พวกเฒ่าหัวรั้นเหล่านั้นเลิกคิดวิธีสังหารศัตรูในสมรภูมินอกพิภพไปตั้งนานแล้ว มานั่งปวดหัวกับความขัดแย้งภายในแทน น่าเสียดายที่ตระกูลไป๋ของข้าก็หนีจุดนี้ไม่พ้น” หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย ไป๋กู้หนานก็เล่าสถานการณ์ตระกูลไป๋คร่าว ๆ ให้เฉินซีฟัง

จากที่ไป๋กู้หนานเล่ามา ความขัดแย้งภายในตระกูลไป๋เหมือนจะเกิดขึ้นจากสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนำโดยผู้นำตระกูลไป๋จิงเฉิน ส่วนอีกฝ่ายนำโดยผู้อาวุโสระดับสูงไป๋เฉิง

อีกทั้งสาเหตุของความขัดแย้งยังเกี่ยวข้องกับเฉินซีด้วย

เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนอะไร ทางฝั่งผู้อาวุโสระดับสูงสนิทสนมกับตระกูลจั่วชิวมาก อีกทั้งยังรับฟังคำหลายเรื่องจากตระกูลจั่วชิวมาตั้งแต่เมื่อก่อน ดังนั้นจึงพยายามตัดสัมพันธ์กับจั่วชิวเสวี่ยเมื่อทำได้ และถึงขนาดคิดจะช่วยจัดการศัตรูของตระกูลจั่วชิวเช่นเฉินซีกับบิดาของเขา เฉินหลิงจวิน รวมทั้งคอยเป็นคนกลางให้ตระกูลจั่วชิวในภพมนุษย์ด้วย

แต่ฝั่งไป๋จิงเฉินกลับไม่คิดจะพึ่งพาใคร และไม่คิดจะใช้ตระกูลจั่วชิวไต่เต้าอำนาจ แต่เป็นเพราะไป๋หว่านฉิง ฝั่งไป๋จิงเฉินจึงค่อนข้างหันเหไปทางจั่วชิวเสวี่ย

แน่นอนว่านี่ก็แค่เรื่องของความคิดเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของจั่วชิวเสวี่ย ไม่มีใครรู้ว่าจะสามารถจับตัวนางกลับตระกูลจั่วชิวได้หรือไม่

เฉินซีไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน เพิ่งจะมารู้จักไป๋กู้หนานเมื่อครู่นี้เอง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งในใจ

กระทั่งคนจากตระกูลเก่าแก่และมีอำนาจที่ไม่มีใครในแดนภวังค์ทมิฬกล้าล่วงเกินอย่างตระกูลไป๋ ยังยอมเป็นลิ่วล้อให้ตระกูลจั่วชิว …เห็นได้ชัดว่าตระกูลจั่วชิวมีอำนาจน่าเกรงขามเพียงใด!

“ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ข้ามาเยือนตระกูลไป๋ในครั้งนี้ก็อาจเป็นการกระโดดเข้ากองไฟอย่างนั้นสิ?” เฉินซีคิดอยู่เล็กน้อยแล้วถามเสียงเรียบ

ไป๋กู้หนานหัวเราะลั่น จากนั้นตบอกตนเองและเอ่ยด้วยเสียงกล้าหาญ “ไม่ต้องห่วง เจ้ายังมีข้าอยู่ หากใครกล้าแตะขนสักเส้นบนร่างเจ้า ข้าจะหักขามันเอง!”

เฉินซีเลิกคิ้วสูง

แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋กู้หนานก็เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าตระกูลไป๋ของข้าชอบเรื่องความแข็งแกร่งมาก ดังนั้นคำพูดของข้าบางครั้งก็ไร้ประโยชน์ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไป ไม่มีใครกล้าลงมือเกินเลยหากยังมีท่านลุงกับท่านน้าเล็กอยู่หรอก”

เฉินซีไม่ได้ยึดถือคำพูดของไป๋กู้หนานเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว เพราะเรื่องที่ตัวเขาเป็นบุตรชายของจั่วชิวเสวี่ยกับเฉินหลิงจวิน เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงตระกูลไป๋รู้ดีมาตั้งแต่ต้น

เช่นนั้นฝั่งผู้อาวุโสระดับสูงก็คงอยากส่งเขาลงนรกเต็มทีสินะ …

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะกล้าเล่นกับไฟหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่ว่าชายหนุ่มจะสามารถทำให้ทั้งตระกูลไป๋ยอมรับเขาได้หรือไม่ต่างหาก เพราะถึงอย่างไร ต้นแปรสำคัญก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีพละกำลังแกร่งกล้าพอหรือไม่!

“ใช่แล้ว ต้องระวังเจ้าพวกนี้ไว้ให้ดีนะ” ระหว่างพูด แผ่นหยกเงาได้ปรากฏขึ้นในมือของไป๋กู้หนาน เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ก่อนแผ่นหยกจะส่องแสง ฉายภาพชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งขึ้นกลางอากาศ

คนคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม แต่กลับมีนัยน์ตารูปดอกท้องดงาม กรอบหน้าคมเหมือนใช้กระบี่สลัก ส่วนผมดำก็มัดเป็นเปียแล้วกลัดเป็นก้อนกลมไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าผากชัดเจน

เขามีดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย รูปร่างสูงสง่า มีเสน่ห์เฉพาะตัวอันไม่อาจอธิบายได้ ดุจงูเหลือมที่ชั่วร้ายแต่ก็งดงามไปพร้อมกัน ให้ความรู้สึกสยดสยองอย่างไรชอบกล

“ไป๋เจวี้ยน ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า ชอบทรมานก่อนสังหารศัตรู ตอนนี้บ่มเพาะมาได้เจ็ดร้อยปีแล้ว ทั้งยังเคยสังหารขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกมาแล้วด้วย อีกทั้งยังต่อสู้มาหลายครั้งแต่แพ้แค่ไม่กี่หน” ไป๋กู้หนานเอ่ยถึงคนผู้นี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่เฉินซีก็จับความเกลียดชังในน้ำเสียงนั้นได้

ต่อมา ภาพที่ฉายจากแผ่นหยกเงาก็เปลี่ยนเป็นหญิงสาวในชุดหลากสี นางปล่อยผมสยายเหมือนน้ำตกลงไปจนถึงเอว หน้าตานับได้ว่างดงามไม่ใช่น้อย แต่ใบหน้าฝั่งขวาถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากสีดำซึ่งส่องประกายโลหะอันเย็นยะเยือกออกมา

ผมสีขาวดั่งหิมะและหน้ากากสีดำสนิท รูปร่างอรชรเหมือนกระบี่กระหายเลือด เมื่อผสมกับชุดหลากสีที่นางสวมใส่อยู่ มันก็กลายเป็นความงามที่ดึงความหวาดกลัวภายในใจคนให้ออกมาได้

“ไป๋หง ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ที่สังหารคนอย่างไม่ลังเล มือเปื้อนเลือดมามาก อย่าคิดว่าเป็นสตรีแล้วจะประเมินความสามารถของนางต่ำได้ เพราะนางน่ากลัวกว่าไป๋เจวี้ยนเยอะ”

หลังจากเอ่ยถึงไป๋หงด้วยท่าทีธรรมดาไปแล้ว จอแสงจากแผ่นหยกก็เปลี่ยนไปฉายภาพคนอีกหลายคน โดยทั้งหมดมีอยู่ห้าคน พวกเขาล้วนผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน กรำศึกแลกเลือดมาไม่รู้เท่าไร คนที่อ่อนแอที่สุดเห็นจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่

พอแนะนำทุกคนจบ ไป๋กู้หนานก็ถอนหายใจออกมา เหมือนกับการพูดถึงคนเหล่านี้มันกดดันสำหรับเขา แต่พอมองไปทางเฉินซี เจ้าตัวก็เป็นต้องตกใจ!

เพราะเฉินซีไร้ซึ่งความกลัว ความจริงจัง ความตื่นเต้น หรืออารมณ์ใด ๆ เลย เขาดูสงบนิ่งมากจนเหมือนไร้อารมณ์ไปเสียอย่างนั้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท