บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 901 กระบี่อมตะแต้มโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 901 กระบี่อมตะแต้มโลหิต

บทที่ 901 กระบี่อมตะแต้มโลหิต

ไป๋เจวี้ยน!

ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เติบโตผ่านการต่อสู้อันนองเลือดมาอย่างโชกโชน เขามีรูปลักษณ์ที่ผอมบางและไม่สะดุดตา แต่มีสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นประทับใจเป็นอย่างมากคือดวงตารูปดอกท้อที่สวยงาม กอปรกับทรงผมที่ถักเป็นมวยหนาและเป็นเงางาม

อีกฝ่ายยืนตรงและหลับตาลง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามรอบ จากนั้นใบหน้าที่ดูมืดมนพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ ทำให้เขาดูเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังเดือดดาล!

“ช่างเป็นกลิ่นอายที่ทรงพลัง เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ทำให้ข้ารู้สึกคาดหวังได้เช่นนั้น โอ้ การฆ่าเขาอาจจะทำให้ข้าตื่นเต้นมากก็เป็นได้” ดวงตาของไป๋เจวี้ยนหรี่ลงราวกับอสรพิษที่จดจ้องไปยังเหยื่อ มันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและประกายที่น่ากลัว

“ตัวประหลาด!” ที่ด้านข้างของไป๋เจวี้ยน มีชายหนุ่มร่างเตี้ยล่ำราวกับลูกตำลึงได้ถ่มน้ำลายออกมาโดยไม่ยั้ง แต่หลังจากนั้น เขาก็ลูบคางในขณะที่หัวเราะเบา ๆ “แต่ข้าตั้งตารอที่จะสู้กับเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงถึงความคาดหวังที่จะพบกับใครบางคนที่สามารถต่อกรกับตนเองได้ ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างลึกล้ำแทน

หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาย่อมจำชายหนุ่มที่เตี้ยล่ำคนนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายคือไป๋ฉวิน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกที่มีรูปลักษณ์อ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วกลับเย็นชาและไร้ความปรานีที่สุด!

เขาไม่ชอบทรมานคู่ต่อสู้อย่างไป๋เจวี้ยน แต่ตราบใดที่เผชิญหน้ากับศัตรู ผลที่ตามมาก็คือความตายเท่านั้น!

“โอ้? ข้านึกว่าเจ้ามุ่งเป้าไปที่หมีตัวนั้นเสียอีก” ไป๋เจวี้ยนชำเลืองมองไป๋ฉวินและกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“ฮึ่ม! ข้าไม่ลืมเป้าหมายของเราในครั้งนี้ มันเป็นเพียงหมีที่ร้ายกาจ ดังนั้นข้าจึงมีวิธีการมากมายที่จะจัดการกับมัน หลังจากที่ข้าเอาชนะเฉินซีแล้ว บางที การฝึกให้มันกลายเป็นสัตว์ต่อสู้ของข้าก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่นัก” ไป๋ฉวินยิ้มในขณะที่กล่าวด้วยท่าทางอบอุ่น

“เขาเป็นของข้า” ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำที่มีจังหวะเฉพาะตัวก็ดังขึ้น และมันก็เหมือนกับกระบี่ขึ้นสนิมที่ดึงออกมาจากฝักเก่า ๆ มันไม่เสียดหู แต่กลับทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ

ไป๋เจวี้ยนและไป๋ฉวินต่างมองหน้ากัน ทั้งสองดูจะรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

คนที่กล่าวคือหญิงสาวที่มีผมยาวสลวยลงมาที่เอวประหนึ่งน้ำตก ใบหน้าซีกขวาของนางถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีดำ ซึ่งเผยใบหน้าที่งดงามของนางเพียงครึ่งเดียว

นางเป็นดั่งกระบี่สังหารที่หิวกระหายเลือด และแม้ว่านางจะยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว แต่กลับไม่มีใครกล้ามองข้ามการมีอยู่ของหญิงสาว และเสื้อผ้าหลากสีของนางก็ทำให้นางทั้งดูน่าสะพรึงกลัวและงดงามในเวลาเดียวกัน

ไป๋หง!

ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่เข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด และมือของนางก็แปดเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกัน การบ่มเพาะของนางอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนในตระกูลไป๋ต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่า ตราบใดที่นางตัดสินใจแล้ว จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลไป๋ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจนางได้!

“ตกลง หากเจ้าทำได้” สีหน้าของไป๋เจวี้ยนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังโถงรับรองแขกจากระยะไกล ก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเฝ้าดูไปก่อน และยามที่เคลื่อนไหว ท่านผู้เฒ่าก็ได้ออกคำสั่งกำชับมาแล้วว่า แม้เราจะต้องต่อสู้จนตัวตาย แต่เราก็ต้องกำจัดเฉินซีให้ได้!”

โถงรับรองแขกของตระกูลไป๋ดูเรียบง่ายยิ่งนัก รวมทั้งการจัดวางและการตกแต่งล้วนเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่หยาบกระด้าง

เฉินซียืนอยู่ในลาน และดูเหมือนกำลังตรวจสอบทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาอย่างเงียบ ๆ แต่จิตใจของชายหนุ่มกลับพุ่งเข้าสู่โลกแห่งดาราแทน

ร่างอวตารของเฉินซีที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้ม กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้หมู่ดาวมากมายบนท้องฟ้า มันกำลังอนุมานและทำความเข้าใจต่อคัมภีร์เต๋านิรันดร์ บางทีอาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่เฉินซีได้ออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ร่างอวตารของเขาก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด

คัมภีร์เต๋านิรันดร์ได้หลอมรวมมรดกสูงสุดของเขาวิญญาณนิรันดร์ ซึ่งประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์และศาสตร์เต๋าที่สอดคล้องกับความล้ำลึกของความเป็นนิรันดร์… ห้ากระบวนท่าแห่งนิรันดร์

ปัจจุบัน ร่างอวตารของเฉินซีได้เข้าใจศาสตร์เต๋านี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเขาสามารถใช้พลังของสามกระบวนท่าได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เฉินซีได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ และถึงแม้จะไปไม่ถึงขอบเขตขั้นสูง แต่เขาก็หาได้กังวลไม่ เพราะเต๋ารู้แจ้งสูงสุดเช่น มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งปารมิตา มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งการทำลายล้าง มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์และอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ยากในช่วงเวลาสั้น ๆ อยู่แล้ว!

นี่เป็นเหมือนการลับหินด้วยน้ำที่ไหลริน มันต้องผ่านการขัดเกลาเป็นเวลาที่นานโข จึงจะประสบความสำเร็จ

อันที่จริง หากเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวเขากลับประหยัดเวลาได้มากกว่าเมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เพราะตัวเขาครอบครองร่างอวตารซึ่งมีความสามารถในการรับรู้ร่วมกัน รวมถึงมีโลกแห่งดาราที่มีกฎแห่งเวลาที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

และตราบเท่าที่ร่างอวตารของเฉินซีนั่งบ่มเพาะที่นี่เงียบ ๆ การบรรลุมหาเต๋าที่หาได้ยากนี้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!

“น่าเสียดาย ร่างอวตารของข้ายังไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของทัณฑ์สวรรค์อันหนักหน่วงที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้ หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่เคล็ดวิชาปฏิการะโลกา?” เฉินซีถอนความคิดของเขาออกจากโลกแห่งดารา และขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ

ร่างอวตารของเฉินซีถูกควบแน่นด้วยแก่นโลหิตและวิญญาณของเขาผ่านเคล็ดวิชาปฏิการะโลกา ซึ่งเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเอง แต่มันก้าวเดินอยู่บนวิถีของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรเพียงอย่างเดียว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร่างอวตารของเฉินซีก็ได้บรรลุขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของทัณฑ์สวรรค์ที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพี ทั้งที่กาลเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับว่าร่างอวตารของเฉินซีถูกเต๋าแห่งสวรรค์มองข้าม

‘ใช่แล้ว ร่างอวตารคงมีชะตากรรมร่วมกันกับข้า และมันก็เหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกาย เนื่องจากร่างหลักอย่างข้าได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์แล้ว นี่อาจรวมถึงร่างอวตารของข้าด้วย บางทีตราบเท่าที่มันขัดเกลาจนถึงขีดสุด มันก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ถึงทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป และคงบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างง่ายดาย…’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยุดคิด แม้ว่าร่างอวตารของเขาจะไม่สามารถบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เสียใจมากนัก เพราะเขาไม่จำเป็นต้องพัฒนาความแข็งแกร่งในทุกด้าน และเพียงแค่มีเจตจำนงที่จะต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็เกินพอแล้ว

อืม? ขณะนี้ เฉินซีพลันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงเงยหน้ามองออกไปด้านนอก…

การจ้องมองของเขาครานี้ มันทั้งล้ำลึกและดูเหมือนจะมองผ่านความว่างเปล่าชั้นแล้วชั้นเล่าเพื่อไปถึงที่ไกลออกไป

ในห้วงจิตสำนึกของชายหนุ่ม ร่างงดงามที่กระหายเลือดและอำมหิตได้ลอยขึ้นมาทันที

“เป็นนางเองหรือ?” ใบหน้าของเฉินซีค่อย ๆ กลับคืนสู่ปกติ แต่ดวงตากลับทอแววประกายเย็นยะเยือกจาง ๆ เพราะหลังจากที่ไป๋ทั่วพ่ายแพ้ เขาก็รู้ว่าการทดสอบความแข็งแกร่งครั้งที่สองได้มาถึงแล้ว!

แต่ทันทีที่ร่างของเขามาถึงกลางอากาศจากโถงรับแขก ชายหนุ่มกลับพบว่าหลิงไป๋มาถึงเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว!

“ไม่สิ หลิงไป๋น่าจะเฝ้ารอคู่ต่อสู้อยู่ที่ด้านนอกโถงรับแขกมาตั้งแต่ต้น”

เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ความรู้สึกซับซ้อนพลันปรากฏที่ริมฝีปากของเฉินซีอย่างอดไม่ได้ เป็นเพราะเขารับรู้ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอาหมานหรือหลิงไป๋ ในใจของพวกเขาต่างอัดแน่นด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ จากการที่อาซิ่วถูกบีบบังคับให้จากไป และพวกเขาก็ไม่มีที่ระบายความโกรธแค้นนี้…

เมื่อชายหนุ่มนึกถึงอาซิ่ว เฉินซีก็พลอยรู้สึกแย่ขึ้นมาเช่นกัน เพราะหญิงสาวชุดเขียวคนนี้ดูเหมือนจะตกลงมาจากท้องฟ้า และจู่ ๆ นางก็เข้ามาในชีวิต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไป

นางชอบยิ้มเหมือนหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่บางครั้งนางก็เป็นเหมือนเทพธิดาเจ้าเล่ห์ที่มากด้วยปัญญา ยิ่งกว่านั้น… นางดูจะมีผลวิญญาณล้ำค่ามากมายที่ไม่มีวันหมดสิ้นในความครอบครอง!

ในช่วงวันเวลาที่นางอยู่ด้วยกัน ยอดเขาจรัสตะวันตกจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข หลิงไป๋ ไป๋คุย อาหมาน มู่ขุย เหมิงเหวย โม่ย่า และเหล่าหนุ่มสาวของเผ่านรกขุมที่เก้าชื่นชอบที่จะอยู่กับนาง

ถึงกระนั้นนางก็จากไปแล้ว

ซึ่งการจากไปของนางก็กะทันหันเหลือเกิน ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่ทันตั้งตัว และไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวขอบคุณนาง

“เซวียนหยวนซิ่ว ข้าหวังว่าข้าจะได้ศีรษะของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูไปมอบให้เมื่อข้าพบเจ้าครั้งต่อไป…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และจ้องมองไปยังระยะไกล

ผมของไป๋หงพลิ้วสยาย ในขณะที่นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ ในชุดหลากสี และหน้ากากสีดำสนิทที่ปิดครึ่งหน้าของหญิงสาว ทำให้เจ้าตัวเปล่งกลิ่นอายเย็นยะเยือกและอำมหิตออกมา

หลิงไป๋ยืนอยู่ตรงข้ามนาง

ขณะที่มีอีกสองคนยืนอยู่ข้างหลัง และพวกเขาคือไป๋เจวี้ยนกับไป๋ฉวินตามลำดับ ทั้งสองคนไม่มีความตั้งใจที่จะลงมือ ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีไร้กังวล คล้ายมายืนอยู่ที่นี่เพื่อให้กำลังใจไป๋หง

ในขณะนี้ ไป๋กู่หนาน เหมิงเหวย โม่ย่า มู่ขุย และคนอื่น ๆ ได้เข้ามาแล้ว พวกเขาต่างยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินซี ในขณะที่เตรียมพร้อมจะเข้าสู่การต่อสู้

“เจ้าตั้งใจจะขวางทางข้าใช่หรือไม่” ไป๋หงจ้องมองที่หลิงไป๋ในขณะที่นางกล่าวช้า ๆ เสียงที่ทุ้มต่ำของนางมีจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ และขณะที่มันดังก้องออกมา ก็พลอยทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด

“แล้วจะทำไมล่ะ?” หลิงไป๋สวมชุดสีขาวในขณะที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเผยชัดถึงโทสะ แม้ว่าเขาจะตัวสูงเพียงไม่กี่ฉื่อ แต่เรื่องการสร้างความเจ็บปวดที่เสียดแทงและรุนแรงให้ผู้อื่นก็มิอาจหาใครเทียบได้

“เจ้าไม่คู่ควรกับข้า” ไป๋หงส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ ซึ่งไม่มีเจตนาจะเยาะเย้ยหรือถากถาง และดูเหมือนว่านางกำลังกล่าวความจริง

“แล้วเช่นนี้ล่ะ?” ขณะที่กล่าว ร่างของหลิงไป๋พลันสว่างวาบ ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามร่างสูงใหญ่หลังตรง ผู้มีคิ้วที่เฉียงดุจกระบี่ และเปล่งกลิ่นอายที่เยือกเย็นดุร้ายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า!

ในตอนนี้ ทุกคนดูราวกับว่าพวกเขาได้เห็นกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกชักออกจากฝักและเผยให้เห็นคมของมัน โดยกระบี่นี้ก็หมายมั่นจะทะลวงท้องฟ้าให้เป็นรูโหว่!

“ผู้ฝึกกระบี่หรือ?” ดวงตาของไป๋หงที่แต่เดิมสงบเหมือนแอ่งน้ำนิ่งพลันสว่างวาบ และนางไม่ได้ปกปิดความกระหายในการต่อสู้แม้แต่น้อย มันเป็นลักษณะการตอบสนองระหว่างผู้ฝึกกระบี่ และเป็นท่าทางจากความกระหายที่จะเข้าสู่สนามรบ เพราะความสนใจของคนผู้หนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

เคร้ง!

กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของไป๋หง ในเวลาเดียวกัน ผมสีขาวราวหิมะของนางก็ยืดตรงและเริงระบำอยู่ในท้องฟ้าราวกับน้ำตกที่ปล่อยลงมาจากศีรษะ โดยตัวหญิงสาวในขณะนี้เปี่ยมล้นไปด้วยสำนึกกระบี่ที่กระหายเลือดและน่าสยดสยองยิ่ง!

กระบี่ของนางยาวประมาณสี่ฉื่อและกว้างสองชุ่น คมของมันหนาและมีรอยเปื้อนสีแดงเข้มดุจเลือด ทันทีที่มันปรากฏขึ้น รัศมีที่พวยพุ่งออกมาจากกระบี่ได้ฉีกกระชากท้องฟ้าจนเกิดรูโหว่เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งเกิดเสียงแหลมคมเสียดหูออกมาไม่หยุด

“ช่างเป็นกระบี่ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก!”

นี่คือการรับรู้ของทุกคนที่อยู่ที่นี่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันถูกกุมไว้ในฝ่ามือที่เรียวยาวและขาวของไป๋หง กระบี่เล่มนี้ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา มันส่องประกายแสงเจิดจ้า และดูจะไม่สามารถสะกดกลั้นความกระหายเลือดที่มีได้

“กระบี่อมตะแต้มโลหิต” นัยน์ตาของไป๋กู่หนานหรี่ลง ด้วยเขาไม่เคยคาดคิดว่าก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ไป๋หงจะชักอาวุธที่สร้างชื่อให้แก่นางออกมา!

กระบี่อมตะเล่มนี้อาบไปด้วยเลือด และเป็นอาวุธที่ดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ จุดคราบเลือดสีแดงเข้มที่เปื้อนอยู่บนใบมีดแสดงถึงจำนวนผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ถูกสังหารด้วยคมกระบี่นี้ และผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่ศัตรูก็ยังอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์!

สำหรับตัวตนที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกประทับอยู่บนกระบี่แต้มโลหิต

“กระบี่ของเจ้าอยู่ที่ใดเล่า?” ไป๋หงกุมกระบี่แต้มโลหิต ในขณะที่นางถามอย่างเย็นชาด้วยกลิ่นอายที่กดดัน

“กระบี่ของเจ้าก็คือกระบี่ของข้า” ใบหน้าเล็ก ๆ ที่หล่อเหลาไร้ที่ติของหลิงไป๋สงบนิ่ง ในขณะที่เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท