บทที่ 909 ทดสอบความแข็งแกร่ง
บทที่ 909 ทดสอบความแข็งแกร่ง
ภายในห้องที่มืดสนิทและอึมครึม โคมไฟทองสัมฤทธิ์ได้ส่องประกายแสงริบหรี่
“ข้าไม่สนใจ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องตามตื้อข้าอีกต่อไป” ทั้งร่างของไป๋เฉิงถูกปกคลุมด้วยความมืด ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเสียงของเจ้าตัวก็ทุ้มต่ำ แหบแห้ง และดูจะน่ากลัวอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโสไป๋เฉิง เจ้าตั้งใจที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือจากตระกูลจั่วชิวจริง ๆ หรือ?” มีเงาร่างหนึ่งบิดตัวไปมาต่อหน้าไป๋เฉิง และแม้แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็มองเห็นได้ยาก เนื่องจากถูกความมืดปกคลุม
น้ำเสียงของเงาร่างนี้เฉียบแหลมและเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่เหนือกว่า ซึ่งแม้ว่าไป๋เฉิงจะตอบปฏิเสธเงาร่างนี้ไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกรำคาญและกล่าวช้า ๆ ว่า “ตราบใดที่เรื่องนี้เสร็จสิ้น เราสามารถหารือถึงเรื่องการพาตระกูลไป๋ของเจ้ากลับไปสู่ภพเซียนได้”
ไป๋เฉิงถูกหยุดกลางคันด้วยการโบกมือของอีกฝ่าย “พอแล้ว!”
คนผู้นั้นเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหลมสูงว่า “ผู้อาวุโสไป๋เฉิง ในสายตาตระกูลจั่วชิวของข้า หากใครไม่สามารถเป็นสหายได้ มันก็เป็นได้แค่ศัตรู เจ้าควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง เพราะมันไม่เป็นไรหากเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ถ้าทั้งตระกูลไป๋มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยละก็ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรายินดีจะเห็นมันเกิดขึ้น”
“นี่เจ้าขู่ข้าหรือ?” ไป๋เฉิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และน้ำเสียงของเขาก็แข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด
“โอ๊ะ! ผู้อาวุโสไป๋เฉิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ให้คำแนะนำแก่ท่านเท่านั้น” คนในเงามืดหัวเราะเสียงแหลม
ไป๋เฉิงนิ่งเงียบไป ในขณะที่สีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้จบ ราวกับตะเกียงทองสัมฤทธิ์ที่ส่องแสงริบหรี่
คนผู้นั้นยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ และกล่าวช้า ๆ ว่า “หากผู้อาวุโสไป๋เฉิงไม่อยากฉีกหน้าไป๋จิงเฉิน เราก็สามารถช่วยเหลือได้ แม้กองกำลังของเราในภพมนุษย์จะไม่สามารถทำสิ่งใดกับไป๋จิงเฉินได้ แต่การฆ่าไอ้สารเลวที่ต้องตายไปนานแล้วก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเจ้าตัวก็ราวกับมีลับลมคมในบางอย่าง “แน่นอน หากผู้อาวุโสไป๋เฉิงต้องการ เราสามารถช่วยท่านจัดการกับไป๋จิงเฉิน และสนับสนุนท่านให้ครอบครองตำแหน่งผู้นำตระกูล ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญของท่าน กอปรกับความช่วยเหลือจากตระกูลจั่วชิวของข้า ท่านจะนำตระกูลไป๋ไปสู่ความรุ่งโรจน์ยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์!”
เพล้ง!
ใบหน้าของไป๋เฉิงมืดหม่น ในขณะที่เขาสลายถ้วยชาในมือจนเป็นผุยผง
หลังจากนั้น ไป๋เฉิงพลันสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ไปเสีย ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
คนผู้นั้นตกตะลึง ดูจะไม่อยากเชื่อว่าไป๋เฉิงจะปฏิเสธเงื่อนไขที่เอื้อเฟื้อเช่นนี้ และกล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ผู้อาวุโสไป๋เฉิง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เจ้า เจ้าคิดว่า…”
“ออกไป!” ไป๋เฉิงขัดจังหวะทันควัน และตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้า…” ชายคนนั้นลุกพรวดอย่างรวดเร็ว และร่างของเขากำลังสั่นไหวอยู่ในเงามืดราวกับกำลังโกรธจัด
ปัง!
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากทางด้านนอก ฝุ่นฟุ้งกระจายเข้ามาในห้อง และแสงแดดได้สาดส่องเข้ามาจากข้างนอก ขับไล่ความมืดภายในห้องทั้งหมดให้เลือนหายไป
“บังอาจ! เป็นผู้ใดกัน?” ชายคนนั้นกรีดร้องด้วยเสียงแหลมบาดหู ประกอบกับแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามา จึงเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเรียวขาว
เขาสวมเสื้อคลุมปักลายแขนกว้างและมีผ้าคาดเอว มีท่าทางเศร้าหมองและดูคล้ายผู้หญิง อีกทั้งยังทำให้คนอื่นรู้สึกเย็นยะเยือกและน่าสะพรึงกลัว
หลังจากนั้น เสียงของเจ้าตัวพลันหยุดชะงัก เพราะร่างสูงใหญ่ได้ปรากฏกายในระยะการมองเห็น และร่างนี้กำลังเดินเข้าไปในห้องโดยเอามือไพล่หลัง
ซึ่งน่าตกใจที่ผู้เข้ามาคือไป๋จิงเฉิน!
“เจ้ามาแล้วหรือ” ไป๋เฉิงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังไป๋จิงเฉิน ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้า…เจ้า…” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า ไป๋จิงเฉินจะมาปรากฏตัวที่นี่ ดังนั้นจึงรู้สึกตกใจจนกล่าวอะไรไม่ออก
“เจ้าอะไร! ไอ้สารเลว นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่คือถิ่นของใคร?”
เพียะ!
ไป๋จิงเฉินดูจะไม่ได้ขยับด้วยซ้ำ แต่มือขนาดเท่าใบพัดของเขาได้ตบลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง ทำให้อีกฝ่ายล้มลงกับพื้น ในขณะที่เลือดไหลออกจากปาก และร้องออกมาอย่างน่าสังเวช “เจ้ากล้าตบข้าจริงหรือ!”
ตึง!
ไป๋จิงเฉินกระทืบลงบนร่างของชายผู้นั้นอย่างรุนแรง และก่นด่าว่า “แล้วจะทำไม! แม้ว่าข้าจะฆ่าขยะอย่างเจ้า แต่เจ้าจะทำอันใดข้าได้หรือไร?”
ขณะที่กล่าว เขาได้ยกขาขึ้นและกระทืบชายผู้นั้นอีกครั้ง ทำให้กระดูกมากมายในร่างของอีกฝ่ายแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนร่างกายของคนผู้นั้นโชกไปด้วยเลือด และนอนขดตัวอยู่บนพื้น ในขณะที่ตัวสั่นอย่างน่าเวทนา
“มันไม่เกินไปหน่อยหรือ…” ไป๋เฉิงไม่อาจทนเห็นสิ่งนี้ได้ จึงกล่าวออกมา
“ทุกอย่างปกติดี เด็กคนนี้กำลังร้องขอมันอยู่ ในเมื่อมันกล้าแยกเขี้ยวใส่ข้า ดังนั้นมันจึงสมควรถูกทุบตีไม่ใช่หรือ?” ไป๋จิงเฉินกล่าวด้วยท่าทางไร้ความกังวล
ไป๋เฉิงตกตะลึงและดูจะตกอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะ
“ไป๋จิงเฉิน! หากเจ้าไม่สนใจว่าตระกูลไป๋จะถูกทำลาย เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มผู้นั้นคำรามอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดและดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง
“โอ้ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือ?” ไป๋จิงเฉินหัวเราะลั่น และกำลังจะลงมือขณะที่กล่าวจบ
“ช้าก่อน” ไป๋เฉิงกล่าวทันทีและหยุดอีกฝ่ายไว้
ชายหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นเองก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “อันใดกัน? เจ้าไม่กล้าทำมันหรือ? เข้ามา! ไป๋จิงเฉิน เจ้าหยิ่งผยองมากไม่ใช่หรือ?”
ทันใดนั้น ไป๋เฉิงก็หยิบเก้าอี้ขึ้นมาและฟาดมันไปทางชายหนุ่มอย่างแรง
โครม!
เศษขี้เลื่อยกระแทกทิ่มกับร่างนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระตุกด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการถูกตีครั้งนี้ และเขาก็หมดสติไป
เก้าอี้ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้คุณภาพสูง และมันถูกไป๋เฉิงใช้ประหนึ่งอาวุธ ดังนั้นพลังที่อัดแน่นอยู่จึงทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว!
“ไอ้ลูกสามแม่! ข้าตั้งใจจะปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าอันใดควรหรือไม่ควร เจ้านี่มันแส่หาเรื่องถูกตีเสียจริง!” ไป๋เฉิงก่นด่า ในขณะที่เขาง้างฝ่ามือที่ผอมแห้งและตบชายหนุ่มผู้นั้นให้ตื่น
“เจ้า…เจ้า…” ชายหนุ่มผู้นั้นดูอ่อนแรงมาก เขาลืมตาขึ้นมองไป๋เฉิงที่กำลังโกรธเกรี้ยว และยังไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
ไป๋เฉิงหัวเราะอย่างน่ากลัว ก่อนที่เขาจะเหยียบศีรษะของอีกฝ่าย และกัดฟันกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยกับพวกเจ้ามามากพอแล้ว บัดซบ! เจ้าเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ จากตระกูลจั่วชิว ตอนที่ข้าท่องไปในใต้หล้าเมื่อหลายปีก่อน เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
ไป๋เฉิงทุบตีอีกฝ่ายขณะที่สาปแช่ง และแรงที่เขาใช้นั้นก็รุนแรงยิ่งกว่าไป๋จิงเฉินนัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไป๋เฉิงจึงหยุดมือ ก่อนจะเหลือบมองกองเศษเลือดเนื้อที่อยู่บนพื้น และกล่าวช้า ๆ ว่า “โอ้ ข้าลืมบอกมันไปว่าถ้ามันไม่เอ่ยออกมา มันก็คงไม่ตาย”
ไป๋จิงเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ “ใช่ และถ้าเจ้าตอบรับมัน เจ้าก็ต้องตายด้วย!”
เขารู้ตั้งแต่พริบตาที่ไป๋เฉิงลงมือเพื่อสังหารอีกฝ่ายว่า ไป๋เฉิงได้แสดงเจตนาแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความขัดแย้งภายในตระกูลไป๋ที่เกิดจากการยุยงของตระกูลจั่วชิวได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ในวันนี้!
ตอนนี้พวกเขาต้องไตร่ตรองว่าจะเผชิญกับความโกรธของตระกูลจั่วชิวอย่างไร
แต่ไป๋จิงเฉินไม่สนใจ ในเวลาเดียวกัน เขาเชื่อว่าพี่ชายของเขาไป๋เฉิง น้องสาวของเขาไป๋หว่านฉิง และแม้แต่คนในตระกูลไป๋ก็ไม่สนใจเช่นกัน
ถ้าไป๋กู้หนานอยู่ที่นี่และเห็นฉากนี้ ดวงตาของเขาต้องเบิกโพลงอย่างแน่นอน จากนั้นเจ้าตัวก็คงจะถอนหายใจ เพราะความรู้สึกอหังการและหยิ่งทะนงที่อยู่ในสายเลือดของตระกูลไป๋
แน่นอน เมื่อความอหังการและความหยิ่งทะนงผสานรวมกับพละกำลังที่เท่าเทียมกัน มันก็คือความกล้าหาญและจิตวิญญาณที่ไม่ยอมสยบ!
…
เมื่อเฉินซีกลับมาที่ห้องโถงรับแขก เขาก็เห็นว่าทั่วทั้งห้องโถงยุ่งเหยิงไปหมด
ไป๋กู้หนานกรีดร้องราวกับกำลังร้องหาบิดามารดา พร้อมกับวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นกลัว
ที่ข้างหลังเขา ร่างอันเย็นชาและอำมหิตกำลังตามมาด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็ว ร่างนั้นถือหอกสีดำสนิทที่เหมือนกับแส้ที่ฉับไว และมันฟาดก้นของไป๋กู้หนานบ่อยครั้ง ทำให้เกิดเสียงเพียะที่กดดันดังก้องออกไป
ร่างที่เย็นชาสวมชุดเกราะรบสีดำสนิท ผมของอีกฝ่ายถูกมัดเป็นหางม้าอยู่ด้านหลังศีรษะ ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่าอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น เจ้าตัวยังมีผิวที่ขาวราวกับหยกเนื้อดี ประกอบคู่กับใบหน้าอันไร้ที่ติ ซึ่งทำให้คนผู้นี้ดูน่าทึ่งยิ่ง
นี่เป็นรูปลักษณ์ที่สามารถทำให้เหล่าสตรีต้องรู้สึกอิจฉาได้ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายถูกผ้าสีดำปิดไว้ จึงทำให้ผู้คนสงสัยยิ่ง ว่าเป็นดวงตาแบบใดที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าสีดำผืนนั้น!
เมื่อเฉินซีเห็นร่างที่เย็นชานี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ และเขาก็นึกได้มันว่าคือซางจือ หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ หมวกรบที่ซางจือเคยใส่นั้นได้หายไปแล้ว และนี่คือเหตุผลว่าทำไมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายจึงถูกเปิดเผย
หลิงไป๋ มู่ขุย อาหมานและคนอื่น ๆ หัวเราะเสียงดังจากทางด้านข้าง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสุขกับความโชคร้ายของไป๋กู้หนาน
“เฉินซี เร็วเข้า! ช่วยข้าปราบไอ้บัดซบนี่เร็วเข้า!” ไป๋กู้หนานสังเกตเห็นเฉินซี ราวกับเขาได้พบกับผู้ช่วยชีวิตแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจพุ่งตัวเข้าใส่ ขณะที่ร้องโหยหวนออกมา
แต่ก่อนที่จะทันได้เคลื่อนไหว ซางจือก็ฟาดหอกไปที่ก้นของไป๋กู้หนาน ทำให้อีกฝ่ายล้มกองกับพื้น และอยู่ในสภาพที่ดูน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง
หลิงไป๋และคนอื่น ๆ ต่างหัวเราะดังลั่นกับภาพตรงหน้า
เฉินซีขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ และก้าวไปข้างหน้าเพื่อบังตัวไป๋กู้หนานไว้ แน่นอนว่าซางจือหยุดโจมตีทันที และยืนอยู่ตรงนั้นประหนึ่งรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึก
“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินซีช่วยพยุงไป๋กู้หนานขึ้นมา
“ฟู่!” ไป๋กู้หนานจับเอวของเขา และหอบหายใจจากความเจ็บปวด แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้
“เขาคิดว่าซางจือเป็นหญิงสาว เขาจึงเกลี้ยกล่อมซางจือให้เอาผ้าสีดำที่ปิดตาออก และทำให้ซางจือรำคาญ” ร่างของหลิงไป๋ทะยานวาบลงมาบนไหล่ของเฉินซี ก่อนจะกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“หญิงสาวหรือ?”
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซางจือ เขาสังเกตเห็นว่า หลังจากที่ซางจือถอดหมวกรบออกแล้ว อีกฝ่ายก็ดูเหมือนหญิงสาวมากจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นเหมือนโฉมสะคราญที่งดงามยิ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ไป๋กู้หนานผู้เจ้าชู้กรุ้มกริ่มจะอยากให้ซางจือเอาผ้าปิดตาสีดำผืนนั้นออก…
เฉินซีรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อรู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มช่วยตรวจสอบอาการบาดเจ็บของไป๋กู้หนาน และเขาสังเกตเห็นว่าเป็นเพียงการบาดเจ็บเพียงผิวเผินที่เจ็บปวดแต่ไม่ทิ้งแผลเป็นไว้ ดังนั้นเฉินซีจึงผ่อนคลายทันที เพราะนั่นหมายความว่าซางจือรู้ขีดจำกัดในการลงมือ
“บัดซบ! ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าชายคนหนึ่งจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามจนแทบหยุดหายใจเช่นนี้ได้!?” ไป๋กู้หนานทำหน้าเสียใจและสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง
เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้ ไป๋กู้หนานก็ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และกล่าวว่า “เจ้าได้พบกับท่านอาแล้วหรือ?”
เฉินซีพยักหน้า แต่ยังไม่เต็มใจที่จะกล่าวเรื่องนี้
“แล้วเจ้าคิดจะทำสิ่งใดต่อไป?” ไป๋กู้หนานกล่าวต่อ
“บ่มเพาะแล้วค่อยเดินทางไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์t”
เดิมทีเฉินซีวางแผนไว้นานแล้วว่า เขาจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะที่นิกาย และหลังจากเดินทางออกจากตระกูลไป๋ เขาก็ว่าจะมุ่งหน้าไปยังนิกายวิถีกระแสสวรรค์เมื่อถึงเวลาเดิมพันกับปิงซื่อเทียน!
“โอ้? เจ้าตัดสินใจที่จะต่อสู้กับปิงซื่อเทียนจริง ๆ หรือ? งั้นแสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะต่อสู้กับปิงซื่อเทียนได้หรือไม่!” ในขณะนี้ เสียงอันหยาบคายดังออกมาจากทางด้านนอกห้องโถง
ทันใดนั้น ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง พลังหมัดก็ได้พุ่งเข้ามาเต็มระยะสายตาของเขา
ซึ่งพลังหมัดนี้… ก็ดูเหมือนจะแฝงด้วยพลังฟ้าดินไว้ด้วย!