บทที่ 922 ขัดเกลาหัวใจในภพมนุษย์
บทที่ 922 ขัดเกลาหัวใจในภพมนุษย์
ฟิ้ว!
ระลอกคลื่นสั่นไหวในอากาศ ขณะที่ร่างของเฉินซีหายลับไปจากยอดเขาจรัสตะวันตก
“ศิษย์น้องเล็กจากไปแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว”
“แม้ข้าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะทำเช่นนี้ แต่ความรู้สึกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังก็ทำให้ข้าหงุดหงิดอยู่ดี”
“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าพอจะทำได้ แม้ว่าเจ้าจะหงุดหงิดก็ตาม หลิงไป๋ นายท่านได้กำชับอย่างชัดเจนว่า ให้เราทุ่มเทและหมั่นเพียรบ่มเพาะ ตราบใดที่เราทุกคนปลอดภัย เขาก็จะไม่ต้องกังวล”
“เฮ้อ ข้าก็เข้าใจ เขาชอบเป็นเช่นนี้จริง ๆ ทั้งที่เราก็สู้ฟันฝ่ามาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งไปจนถึงแดนภวังค์ทมิฬด้วยกันไม่ใช่หรือ? ข้าแค่ไม่พอใจเล็กน้อย ข้ามั่นใจว่าจะสู้กับเขาให้สาแก่ใจเป็นแน่ แต่เขายังกล้าทำเช่นนี้อีก!”
“ปัญหาคือเจ้าจะสามารถเอาชนะนายท่านได้หรือ?”
“ฮึ่ย… มู่ขุย! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทุบตีเจ้าก่อน!”
“หยุดเถียงกันได้แล้ว ข้าหิวจนไส้กิ่วแล้ว”
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก หั่วโม่เลย หลิงไป๋ มู่ขุย อาหมาน ไป๋คุย เสิ่นเหยียน และคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองไปยังเฉินซีซึ่งจากไป ต่างคนต่างเผยความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาทางสีหน้า
“ข้าจะไปทำอาหาร” ทันใดนั้น ซางจือก็กล่าวขึ้นพร้อมกับหันหลัง และจากไปทันทีที่กล่าวจบ ยิ่งกว่านั้น ท่าทางของอีกฝ่ายยังเย็นชาและเปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร ราวกับไม่ได้จะไปทำอาหาร แต่กำลังรีบรุดไปที่สนามรบ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้
ก่อนที่เฉินซีจะจากไป เขาได้สั่งให้ซางจือดูแลทุกคนอย่างดี แต่ทุกคนก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ และพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าซางจือจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเขาจริง ๆ
แต่ความวุ่นวายนี้ก็ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่อเฉินซีของทุกคนลดลงอย่างมาก
ภายในลานอันเงียบสงบและสวยงามข้างริมสระชำระกระบี่
ที่นี่คือที่พักของเฉินซี และควรจะว่างเปล่าเมื่อเฉินซีจากไป แต่ทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมนักพรตสีเหลืองอมส้มกลับปรากฏตัวขึ้นภายในนั้น
น่าแปลกที่มันเป็นร่างอวตารของเฉินซี
“ดูเหมือนว่าข้าไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว พวกเขาก็จะไม่ออกจากยอดเขาจรัสตะวันตก…” ขณะที่ร่างนี้พึมพำ ร่างอวตารของเฉินซีก็หายไปอีกครั้ง
…
ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส มีเรือเหาะสมบัติลำหนึ่งกำลังบดขยี้ชั้นเมฆ ขณะที่มันบินด้วยความเร็วสูงสุด
“เจ้าทิ้งร่างอวตารและเคหาดาราไว้เบื้องหลัง เพราะเจ้าเกรงว่าการเดินทางครั้งนี้อาจจะประสบกับเคราะห์ร้ายหรือ?” หม้อใบจิ๋วถาม
“หากข้าแพ้เดิมพัน ข้าก็จะฆ่าตัวตาย” ที่ท้ายเรือ เฉินซีเอาแขนหนุนศีรษะ ขณะที่นอนเอนกายอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน และกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “การทำเช่นนี้ก็ถือเป็นเหลือทางรอดให้แก่ตัวข้า”
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้ากังวลว่าผู้หญิงของเจ้าจะแต่งงานกับปิงซื่อเทียนหรือไม่” หม้อใบจิ๋วยังคงถามต่อไป
“ข้าไม่เคยหยุดเชื่อในตัวซิ่วอี้ แต่ข้าแค่ไม่เชื่อในตัวปิงซื่อเทียน เขาเป็นคนจำพวกที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา และข้าก็ไว้ใจเขาไม่ได้” เฉินซีตอบอย่างใจเย็น
หม้อใบจิ๋วไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป
เฉินซีกลับถามด้วยความสงสัยแทน “ผู้อาวุโส ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของท่านอยู่ที่ระดับใด?”
“อย่างน้อยก็พอจะช่วยชีวิตเจ้าได้” หม้อใบจิ๋วตอบอย่างคลุมเครือ แต่เท่านี้ชายหนุ่มก็พอใจมากแล้ว
สามเดือนต่อมา
เรือเหาะสมบัติค่อย ๆ หยุดลงที่ด้านนอกของเมืองสุริยศารท
…
เมืองสุริยศารทเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ซึ่งสามารถนับย้อนไปถึงยุคบรรพกาลได้ และมันก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ก่อตั้ง
ที่ด้านข้างของเมืองโบราณแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีชื่อเสียงเลืองลือไปทั่วใต้หล้า …นิกายวิถีกระแสสวรรค์!
เมืองสุริยศารทมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีถนนเส้นตรงทอดยาวไปทั่วทุกทิศทาง ขณะที่ศาลาเรียงรายกันเป็นทิวแถวภายในเมืองประหนึ่งต้นไม้ในป่าใหญ่ เฉพาะผู้บ่มเพาะที่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างถาวรก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน ทำให้มีประชากรหนาแน่นและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
ปัจจุบัน นิกายวิถีกระแสสวรรค์เป็นผู้นำกองกำลังในบรรดานิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ และครอบครองพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ในขณะที่เมืองสุริยศารทซึ่งอยู่ใกล้กับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้กลายเป็นที่รู้จักเช่นกัน ทำให้เมืองสุริยศารทกลายเป็นสวรรค์แห่งการบ่มเพาะสำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไปที่ต้องการจะแสดงความเคารพต่อนิกายวิถีกระแสสวรรค์
เมื่อเฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติแล้ว และเดินเข้าไปในเมืองสุริยศารท ความรู้สึกแรกที่เขาสัมผัสได้คือ มีผู้คนอยู่หนาแน่นเต็มไปหมด ทุกหนทุกแห่งที่สายตาของเขาทอดมองไปคือ ผู้คนจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลมาอย่างไม่มีที่สุดสิ้นดุจสายน้ำ และคลื่นเสียงอึกทึกครึกโครมก็พุ่งปะทะใบหน้า ทำให้ทั่วทั้งเมืองดูคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างมาก
“ฮ่า ๆ! พี่อวิ๋น ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะมาที่นี่เช่นกัน”
“โอ้ ข้าจะพลาดงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? ปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้ต่างมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเมื่อหลายพันปีก่อน และตอนนี้พวกเขากำลังจะกลายเป็นคู่บำเพ็ญกัน หากพลาดโอกาสที่หายากนี้ ข้าคงเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ถูกของท่าน ข้าได้ยินมาว่า ไม่เพียงผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบจะมารวมตัวกัน เพื่อร่วมงานครั้งใหญ่นี้เท่านั้น แต่ยังมีแขกผู้มีเกียรติที่มาจากแดนไร้นามและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกอีกด้วย”
“ใช่แล้ว เป็นเพราะสาเหตุนี้เองที่ข้ามาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี แต่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีสหายนักพรตเต๋ามากมายที่มีความคิดแบบเดียวกับข้า และมาเร็วขนาดนี้ด้วย”
“อันที่จริง หากปราศจากเทียบเชิญที่ปิงซื่อเทียนเขียนขึ้นด้วยตัวเองแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มุ่งหน้ามายังนิกายวิถีกระแสสวรรค์และเข้าร่วมงานมงคลอันยิ่งใหญ่นี้ ท่านรู้หรือไม่? เทียบเชิญเพียงแผ่นเดียว ก็มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งพันศิลาอมตะในตลาดมืดเชียวนา!”
“ฟู่! เป็นไปไม่ได้กระมัง”
“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? แม้ว่ามันจะมีราคาที่สูงเช่นนั้น แต่ก็มีคนมากมายที่ไม่สามารถซื้อได้ แม้พวกเขาจะต้องการก็ตาม”
เฉินซีเอามือไพล่หลังไว้ ขณะที่เขาเดินผ่านลำธารที่มีผู้คนพลุกพล่าน สีหน้าของชายหนุ่มดูสงบนิ่งและสุขุม ในขณะที่เขาฟังหัวข้อที่ผู้คนต่างสนทนากัน
สามวันต่อมา
ภายในร้านอาหารในเมืองสุริยศารท
เฉินซีนั่งที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง ในขณะที่เขาดื่มสุราด้วยท่าทางไร้กังวล
ในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ เขาพบว่านิกายวิถีกระแสสวรรค์จะจัดงานมงคลยิ่งใหญ่เพื่อทำพิธีให้แก่ปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้ได้เป็นคู่บำเพ็ญในอีกประมาณหนึ่งปีนับจากนี้
ในเวลานั้น มีเพียงผู้ได้รับเทียบเชิญเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการเข้าสู่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ และเข้าร่วมงานมงคลด้วยตัวเอง ซึ่งมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในโลกเท่านั้นที่จะได้รับเทียบเชิญ ส่วนคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานมงคลที่ยิ่งใหญ่นี้แม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังดึงดูดผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนจากทั่วทุกสารทิศ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ก็ไม่เต็มใจที่จะพลาดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ดังกล่าวเช่นกัน
“เฮ้ เจ้าพอเคยได้ยินหรือไม่ว่า ชิงซิ่วอี้นั้นเคยให้กำเนิดบุตรชายแก่เฉินซีแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเมื่อหลายปีก่อน! ข้ารู้สึกว่างานมงคลครั้งนี้อาจจะไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก” ทันใดนั้น ผู้บ่มเพาะภายในร้านอาหารก็กล่าวเสียงแผ่วเบาด้วยทำทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“เจ้าเพิ่งรู้เรื่องนี้หรือ? ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่มายังเมืองสุริยศารทในครั้งนี้ต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว” อีกคนแค่นเสียงด้วยความเฉยเมย ทำตัวประหนึ่งจอมปราชญ์ผู้รอบรู้ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้
“โอ้? หากเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เฉินซีได้เดิมพันกับปิงซื่อเทียนเมื่อหลายปีก่อน” ผู้บ่มเพาะคนที่กล่าวก่อนหน้านี้ได้กล่าวอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
ผู้บ่มเพาะคนที่สองพลันตกตะลึงและกล่าวว่า “เดิมพันอันใดหรือ?”
“ใช่แล้ว เดิมพันอันใด?” ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน และใคร่รู้เป็นอย่างมาก
ผู้บ่มเพาะคนที่กล่าวก่อนหน้านี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย และจงใจไอแห้ง ๆ ก่อนเขาจะกล่าวว่า “การเดิมพันระหว่างสองคนนั้นเรียบง่ายมาก หากชิงซิ่วอี้ได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญกับปิงซื่อเทียนแล้ว เฉินซีจะทำให้การบ่มเพาะของเขาพิการ ก่อนที่จะลงมือฆ่าตัวตาย ในขณะที่หากปิงซื่อเทียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาจะยอมลดตัวกลายเป็นคนธรรมดา และปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามความประสงค์ของเฉินซี!”
“ว่ากระไรนะ!?”
“เรื่องนี้จริงหรือ?”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครั้งนี้พวกเขาจะไม่ตัดสินหาผู้ชนะในระหว่างงานมงคลหรือ?”
“สวรรค์! นี่มันไม่น่าประหลาดใจเกินไปหรือ? หนึ่งในนั้นเป็นเซียนที่ลงมาจากภพเซียน ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นอัจฉริยะที่ไร้ที่เปรียบซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลกหล้า แต่พวกเขากลับสาบานอย่างหนักแน่นเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งจริง ๆ หรือ?”
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล และพวกเขาทั้งหมดไม่กล้าเชื่อ
ในบรรดาผู้คนที่มีอยู่ มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีท่าทางสงบ
การสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นไปทั่วทุกมุมเมืองสุริยศารทในทุกช่วงเวลา และชายหนุ่มได้คุ้นเคยกับมันมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่ารู้สึกอะไรจากมัน แต่ชายหนุ่มพอจะคาดเดาได้ว่า ข่าวลือดังกล่าวอาจแพร่กระจายโดยผู้บ่มเพาะที่มาถึงแดนภวังค์ทมิฬจากสมรภูมิบรรพกาลพร้อมกับเขา
เนื่องจากการเดิมพันนี้ได้เกิดขึ้นในสมรภูมิบรรพกาลเมื่อหลายปีก่อน และมีพยานมากมายในเวลานั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดมันจากทุกคน
เฉินซียังรู้ด้วยซ้ำว่า แทนที่จะปรารถนาในการเข้าร่วมพิธีของปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้ คนเหล่านี้ที่มาถึงเมืองสุริยศารทนั้นต้องการดูว่าใครจะชนะการเดิมพันระหว่างเขากับปิงซื่อเทียนมากกว่า
หรือบางที ทั้งสองสาเหตุนี้อาจเป็นต้นเหตุของการมาเยือนเมืองสุริยศารทของพวกเขาก็เป็นได้
แต่เฉินซีไม่สนใจอีกต่อไป เป้าหมายของเขาคือการพาชิงซิ่วอี้กลับมา และสิ่งอื่นใดก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเขาได้
“เอ๊ะ คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเฉินซี ข้าเคยเห็นเขาจากระยะไกลในเมืองหลีหั่วเมื่อหลายปีก่อน…” ในขณะนี้ เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจได้ดังขึ้น จากนั้นเฉินซีก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาทางเขา
“อันใดกัน! เฉินซีหรือ?”
“ที่ไหนหรือ?”
“นี่เขาก็มาล่วงหน้าด้วยหรือ?”
ทันใดนั้นทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหล แต่เมื่อพวกเขามองไปทางโต๊ะซึ่งเฉินซีได้นั่งก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พบแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ในวันนี้ ข่าวหนึ่งได้กระจายไปทั่วเมืองสุริยศารทอย่างบ้าคลั่งว่าเฉินซีได้ปรากฏตัวแล้ว และทำให้ทั่วทั้งเมืองปั่นป่วนยิ่ง
แต่น่าเสียดายที่เมื่อผู้บ่มเพาะในเมืองต้องการค้นหาตัวเฉินซี พวกเขากลับไม่ร่องรอยใด ๆ ราวกับชายหนุ่มเป็นเพียงแสงวาบที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เบื้องหลัง
หนึ่งปีต่อมา
นิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้เปิดประตูและเริ่มต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเข้ามา
ณ ขณะนั้น ทั่วทั้งเมืองสุริยศารทก็เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่มีเทียบเชิญ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่อยู่ในเมืองสุริยศารท และรอให้นิกายวิถีกระแสสวรรค์กระจายข่าวออกมา
ในขณะที่บุคคลสำคัญเหล่านั้นที่ได้รับเทียบเชิญก็ได้มาถึงนิกายวิถีกระแสสวรรค์แล้วอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ภายในลานขนาดเล็กอันเงียบสงบ ชายหนุ่มผลักประตูออกไป และแหงนหน้าขึ้นมองเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ก่อนจะเดินเข้าไปในถนนที่พลุกพล่านด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ท่าทางสุขุมสงบนิ่ง และสวมชุดคลุมสีเขียว ชายผู้นี้เป็นเหมือนบัณฑิตที่เดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อท่องโลกกว้าง เขาไม่มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นเท่าไรนัก
หรืออาจกล่าวได้ว่า คนอื่น ๆ ไม่สามารถสังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาได้ เพราะถึงแม้ฝีเท้าของคนผู้นี้จะดูไม่เร็วหรือช้า แต่ก็ราวกับว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายมิติ ทำให้คนอื่นไม่สามารถติดตามได้ทัน
คนผู้นี้คือเฉินซีนั่นเอง!
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้บ่มเพาะและใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่ภายในเมืองสุริยศารทเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป มีกิจวัตรประจำวันสองอย่างก็คือ เดินเล่นไปตามท้องถนนในตอนกลางวัน และกลับมานอนในตอนพลบค่ำ
กระแสคลื่นที่ขุ่นมัวของภพมนุษย์ได้ชำระล้างดวงจิตแห่งเต๋า ทำให้หัวใจของชายหนุ่มก็ปลอดโปร่งและสงบอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ภูเขากระแสสวรรค์ มันคู่ควรที่ถูกขนานนามว่า สรวงสวรรค์แห่งเซียนจริง ๆ”
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ เขามองจากระยะไกล และเห็นว่าภูเขาลูกใหญ่โตดุจพยัคฆ์ ท้องฟ้าปกคลุมด้วยก้อนเมฆที่ก่อตัวขึ้นจากปราณเซียน และนกกระเรียนสีขาวกระพือปีกอยู่ภายในนั้น พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยเส้นชีพจรวิญญาณที่ปลดปล่อยหมอกปราณวิญญาณออกมา ทำให้มันยิ่งใหญ่ งดงาม น่าเกรงขาม และสูงส่ง
ภายในภูเขาลึกกลุ่มนี้มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามมากมายที่พวยพุ่งไปบนท้องฟ้า และก่อตัวเป็นกลิ่นอายอันน่าเกรงขามปกคลุมบริเวณโดยรอบของภูเขา
เฉินซีรู้ว่ามันเป็นสถานที่ที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ตั้งอยู่
เฉินซีเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล
สีหน้าของเขาไม่มีความเคร่งขรึม ความขุ่นเคือง หรือความมุ่งมั่น มีเพียงความสงบ …เป็นความสงบที่มาจากภายในสู่ภายนอก!