บทที่ 925 สังหารโหดจนถึงห้องโถง
บทที่ 925 สังหารโหดจนถึงห้องโถง
ภายในโถงมหาวีรชน
ดอกบัวสีทองดูพร่างพราวผลิบานบนพื้นดิน มันเปล่งแสงเป็นสายฝนสีดอกกุหลาบและปราณมงคลออกมา อีกทั้งยังมีเสียงมังกรคำราม วิหคเพลิงขับขาน และเสียงสวดของมหาเต๋า ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงดูศักดิ์สิทธิ์งดงามยิ่งนัก
ปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้ยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ตรงกลาง ระหว่างคนทั้งคู่มีน้ำถ้วยหนึ่งวางไว้ น้ำนี้เรียกว่านิรมล มันเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า แค่หยดหนึ่งยังมีมูลค่ามหาศาล
ดังนั้นมูลค่าของนิรมลวารีถ้วยนี้จึงสูงค่ามาก
ในตอนนี้ อวี้เจินยืนอยู่ทางด้านหลังคนทั้งสอง ในมือถือแหวนหยกสองวงไว้ มันเป็นแหวนเรียบง่ายที่มีสีอ่อน ส่องประกายสีทองออกมาอ่อน ๆ
แหวนคู่นี้เรียกว่า ‘ปัญญาเซียน’ ทำมาจากเขาของอสูรเซียนแรดวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถหาได้จากภพมนุษย์ แม้กระทั่งในภพเซียนยังนับเป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้มาอย่างยากลำบาก
อวี้เจินค่อย ๆ จุ่มแหวนลงในนิรมลวารีอย่างระมัดระวังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ตามคำร่ำลือนั้น หลังจากแหวนปัญญาเซียนได้รับการชำระล้างจากนิรมลวารีและสวมใส่โดยคู่บำเพ็ญแล้ว พวกเขาก็จะได้รับคำอวยพรจากสรวงสวรรค์
จิตใจและความรู้สึกไม่เพียงจะเชื่อมถึงกันเท่านั้น แต่จะได้โชคจากมหาเต๋ามาอีกด้วย เมื่อบ่มเพาะพลังต่อไป ถึงจะอยู่ห่างกันสุดขอบโลก แต่หากอีกฝ่ายเกิดปัญหา อีกคนก็จะสัมผัสได้ ทำให้มันเป็นแหวนที่วิเศษนัก
บรรยากาศในห้องโถงนั้นเงียบสงบ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจากทั่วทุกสารทิศต่างจับจ้องมันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด คล้ายว่ากำลังจ้องมองพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ของการผูกสัญญาคู่บำเพ็ญ
มีเพียงเลี่ยเผิงที่สีหน้าไม่ดีนัก ทั้งยังไม่อาจปิดบังสีหน้าไว้ได้อีกต่อไป
เขารู้ดีว่าเมื่อปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้สวมแหวนกันเมื่อไรก็ไม่อาจหยุดพิธีนี้ได้อีกต่อไป
หรือก็คือเมื่อมีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมาเป็นสักขีพยานเช่นนี้ หากตอนจบพิธีมีใครคัดค้านขึ้นมา ก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับทุกคนในห้องโถงนี้!
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ปิงซื่อเทียนเชื้อเชิญผู้มีฝีมือทั้งหลายในแดนภวังค์ทมิฬมาเป็นสักขีพยานในพิธีนี้ด้วย
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่ลู่เป๋ยอวี่จัดการหยุดเฉินซีไว้ที่ด้านนอกนิกาย
ส่วนเรื่องเดิมพันระหว่างปิงซื่อเทียนกับเฉินซีนั้น หลังจากจบพิธีไปก็ได้ผู้ชนะแล้วไม่ใช่หรือไร?
นี่คือแผนการของลู่เป๋ยอวี่ แน่นอนว่าในเมื่อกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ปิงซื่อเทียนสั่งมาเป็นแน่
ตอนนี้อวี้เจินชำระล้างแหวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางถือมันไว้ในมือข้างละวง สีหน้ายังคงความสุขุมเยือกเย็นอยู่
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็ยิ่งมีความเคร่งขรึมมากขึ้นแล้วพากันจ้องเหตุการณ์นิ่ง เพราะรู้ดีว่ากำลังจะได้เห็นช่วงสำคัญของพิธีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว
ถึงแม้จะอยู่มานานหลายปี แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายก็อดเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจไม่ได้ มีทั้งรู้สึกยินดี ริษยา และชื่นชมไปพร้อม ๆ กัน
และยังมีอีกอารมณ์ที่ทุกคนอดคิดเหมือนกันไม่ได้ เหตุใดถึงจังหวะสำคัญเช่นนี้แล้วเฉินซียังไม่มาสักที?
หรือจะเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสสูงสุดเจียงเซิงไห่แห่งหอกระบี่สยบดวงใจว่าไว้จริง? เพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าอย่างไรก็แพ้พนันแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีหน้ามาปรากฏตัวในวันนี้?
“ซื่อเทียน ซิ่วอี้ สวมแหวนนี้เสีย แล้วพวกเจ้าก็จะเป็นคู่บำเพ็ญกัน ต่อไปเมื่อพวกเจ้าบ่มเพาะร่วมกันก็ย่อมสนับสนุนกัน รักกัน และให้ความเคารพกันในฐานะคู่บำเพ็ญ ถนอมความสัมพันธ์กันเอาไว้…” อวี้เจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าดังกังวานไปทั่วทั้งห้องโถง เป็นเสียงให้พรที่เคร่งขรึมนัก
ปิงซื่อเทียนรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก นัยน์ตาเป็นประกายดั่งดวงดารา ส่งสายตาอ่อนโยนมองชิงซิ่วอี้ที่อยู่ข้างกาย และเอ่ยขึ้นก่อนอวี้เจินจะทันพูดจบว่า “ขอขอบคุณความเมตตาของสหายเต๋าทั้งหลายและอาจารย์ป้าอวี้เจินที่มอบให้แก่พวกเรามากมาย ช่วยเป็นสักขีพยานให้ข้ากับซิ่วอี้ด้วย ต่อไปข้าจะปฏิบัติต่อนางเหมือนปฏิบัติต่อตนเอง ให้ฟ้า ตะวันและจันทราเป็นสักขีพยานแก่ใจข้า”
ชิงซิ่วอี้เบ้ปากแต่ยังคงความสงบไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบ นางยังคงสีหน้านิ่งสงบไร้ความรู้สึกใด ราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอันใดในห้องโถงนี้
แต่ปิงซื่อเทียนไม่ได้สนใจ
กลับเป็นอวี้เจินที่ดูจะรู้ว่าชิงซิ่วอี้จะต้องทำเช่นนี้ เพราะนางดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย หลังจากได้ยินปิงซื่อเทียนเอ่ยเช่นนั้นแล้ว นางก็เผยรอยยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า “รีบสวมแหวนเสียสิ”
ว่าแล้ว นางก็ยื่นแหวนทั้งสองวงให้
ในจังหวะนั้น แม้กระทั่งปิงซื่อเทียนที่มีนิสัยเช่นนั้นยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ คิดจะสวมแหวนให้ตนเองก่อนแล้วค่อยสวมให้ชิงซิ่วอี้
“ข้าคัดค้าน!” เป็นตอนนั้นเองที่มีน้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยขัดขึ้นมา มันเป็นเหมือนฟ้าผ่าท่ามกลางบรรยากาศเงียบสนิท ทำให้ทุกคนชะงักไปทันที
ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ นัยน์ตาทั้งสองแทบลุกเป็นไฟตอนที่กวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะมาหยุดลงที่ปิงซื่อเทียน “สหายเต๋าปิง ผู้ชนะเดิมพันระหว่างเจ้ากับเฉินซียังไม่ตัดสิน แต่เจ้าจะผูกคู่บำเพ็ญเพียรกับสหายเต๋าซิ่วอี้แล้วหรือ? นี่มันไม่ยุติธรรมเลยไม่ใช่หรือไร?”
สีหน้าของลู่เป๋ยอวี่กับอวี้เจินขรึมขึ้นทันที พวกเขากำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกปิงซื่อเทียนหยุดไว้
เขาเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ภายในแววตามีจิตสังหารวาดผ่าน สายตาจับจ้องไปที่เลี่ยเผิงอยู่นานก่อนจะส่ายหน้า “ท่านไม่ได้สังเกตเลยหรือว่าแม้แต่ซิ่วอี้ก็ยังไม่คัดค้านเลย? ส่วนเรื่องเฉินซีน่ะ ฮ่า ๆ! พอเขามาถึงที่นี่ก็คงต้องสังหารตนเองชดใช้ความผิดแล้ว!”
ระหว่างที่พูดเขาก็เอื้อมไปคว้าแหวนมาอีกครั้ง
เป็นตอนนั้นเองที่มีน้ำเสียงหนึ่งดังลั่นทั่วทั้งห้องโถงมาจากด้านนอก “ข้อจำกัดสวรรค์สิบแปดชั้นก็ไม่เห็นจะดีเด่นอะไร! ปิงซื่อเทียน เจ้ายังมีแผนอะไรอีก? อยากจะใช้อะไรอีกก็เชิญเลย!”
น้ำเสียงนี้ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง ทำลายดอกไม้สีทองที่ปกคลุมพื้น สลายปราณมงคลและกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ในบรรยากาศไปจนหมด
พอทุกคนได้ยินเสียงนี้ พวกเขาก็เกิดความประหลาดใจ
ทุกคนย่อมรู้ว่านี่ก็คือเสียงของเฉินซีแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่กล้าเรียกชื่อปิงซื่อเทียนตรง ๆ เช่นนี้ แต่ที่พวกเขาตกใจคือคำของเฉินซีต่างหาก
ข้อจำกัดสวรรค์สิบแปดชั้นหรือ?
ไม่แปลกที่ตั้งนานแล้วเฉินซีเพิ่งจะมา กลับกลายเป็นว่านิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้เตรียมการไว้ตั้งแต่ต้น คิดขัดขวางชายหนุ่มไว้นอกนิกาย จะได้ดำเนินพิธีไปได้อย่างไร้อุปสรรค
แต่พละกำลังที่เฉินซีเผยจากการเอาชนะข้อจำกัดสวรรค์สิบแปดชั้นแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และมาถึงที่นี่ได้ทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่า
ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะกล้ามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าตนเองจะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดแต่ละขั้นและมาถึงที่นี่ในระยะเวลาสั้น ๆ ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตามากมายที่มองไปยังปิงซื่อเทียนกับลู่เป๋ยอวี่จึงเต็มไปด้วยความขบขัน
ทว่าเลี่ยเผิงกลับระงับความโกรธและความรังเกียจทั้งหมดเอาไว้และเอ่ยขึ้นว่า “ไม่แปลก ไม่แปลกเลย! ดูท่าจะมีใครเล่นเล่ห์กลลับ ๆ อยู่ เก่งจริง ๆ!”
“ศิษย์น้องลู่ ไปดูซิว่ามีสหายจองหองคนใดกล้ามาสร้างปัญหาในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้า!” ปิงซื่อเทียนหรี่ตาลง พิธีการถูกขัดขวางถึงสองครั้งสองครา ความโกรธในใจจึงเริ่มปรากฏ เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ทุกท่านใจเย็นลงก่อน ก็แค่ตัวตลกเท่านั้น ไม่มีอันใดให้ต้องตื่นเต้น”
พูดจบ เขาก็มองอวี้เจินและกล่าวว่า “อาจารย์ป้า ทำพิธีต่อเถิดขอรับ”
ลู่เป๋ยอวี่มีสีหน้าโกรธเคือง เมื่อได้ยินคำของปิงซื่อเทียนแล้วเขาก็แวบหายออกจากห้องโถงไปในทันที
ทุกคนเห็นดังนั้นก็ทำเหมือนไม่เห็นอะไร เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวาย แม้ว่าคำพูดของปิงซื่อเทียนจะดูเหมือนคำขู่ แต่พวกเขาก็ยังรับมือได้
“น่ารังเกียจนัก! ถึงนี่จะเป็นนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของเจ้า แต่ข้าเลี่ยเผิงผู้นี้ก็ใช่ว่าจะเกรงกลัว ในเมื่อพวกเจ้ากล้าเป็นปฏิปักษ์กับศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าด้วยวิธีน่ารังเกียจเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าสู้กับพวกเจ้าจนตัวตายเลย!” มีเพียงเลี่ยเผิงที่ไม่อาจยับยั้งตนเองไว้ได้อีกต่อไป แวบหายออกจากห้องโถงไปทันที
“รอก่อนสหายเต๋าเลี่ยเผิง!” อวี้เจินหายตัวไปขวางตรงหน้าเลี่ยเผิงไว้ นัยน์ตาคู่งามของนางเบิกขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “วันนี้เป็นวันดี ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุอัปมงคลขึ้น”
“ว่าไงนะ? คิดจะลงมือกับข้าที่นี่เลยอย่างนั้นรึ?” เลี่ยเผิงมีสีหน้าขรึม จับจ้องนางด้วยสายตาเหี้ยม
“ลงมือหรือ?” อวี้เจินยิ้มบางแล้วส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าเพียงต้องการให้สหายเต๋าเลี่ยเผิงสงบใจลงก่อน พิธีจบแล้วค่อยลงมือยังไม่สาย”
ถึงตอนนี้ปิงซื่อเทียนก็เอ่ยเสียงเรียบมาจากอีกด้านหนึ่ง “อาจารย์ป้าอวี้เจิน กลับมาเถอะ ก็แค่สหายคนหนึ่งที่คุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ เขาอยากไปก็ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเล่า”
“เพ้ย!” เลี่ยเผิงถุยน้ำลายใส่ด้วยความโกรธ จากนั้นจึงก้าวออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ครืน!
ทว่ายังไม่ทันก้าวไปถึงทางออก พลันเกิดเสียงสนั่นดังขึ้น ก่อนที่เงาดำหนึ่งจะถูกโยนเข้ามาในห้องโถง มันกลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้นแล้วกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
เหตุการณ์กระทันหันนี้ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งไป ยิ่งเมื่อเห็นคนที่กองอยู่กับพื้น นัยน์ตาทุกคนต่างเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
ร่างของคนผู้นั้นโชกด้วยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าสองข้างบวมเป่งเหมือนหมูป่าถูกเชือด แต่พอมองดี ๆ ก็เห็นว่าเป็นประมุขนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ลู่เป๋ยอวี่นั่นเอง!
หากไม่ใช่เพราะทุกคนคุ้นเคยกับเขาดีก็คงจำไม่ได้แล้ว ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็สภาพคนตรงหน้าย่ำแย่เกินไปจริง ๆ
“ศิษย์น้องลู่!’
“ศิษย์หลานเป๋ยอวี่! ชั่วร้ายนัก! เป็นฝีมือใครกัน?”
ปิงซื่อเทียนกับอวี้เจินร้องออกมาด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อ ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเดียว ลู่เป๋ยอวี่จะถูกทุบตีจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
“ขวางทางข้าเช่นนี้ ข้าไม่สังหารทิ้งก็นับว่าเมตตามากแล้ว” จังหวะนั้นเองที่น้ำเสียงเรียบเรื่อยดั่งน้ำนิ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง หลังจากน้ำเสียงก็ตามมาด้วยร่างสูงที่อาบไปด้วยแสงตะวันที่เยื้องย่างเข้ามาด้านในอย่างมั่นคง
เขาอยู่ในชุดสีเขียว รูปลักษณ์หล่อเหลา สองมือไพล่หลัง กวาดสายตามองไปรอบตัว เผยความรู้สึกกดดันราวกับเขาคือผู้ถืออำนาจสูงสุด
น่าตกใจนักที่เขาคือเฉินซีนั่นเอง!
ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาด้านใน ทุกสายตาก็จับจ้องไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ในสายตาเหล่านั้นมีทั้งความมึนงง ความชื่นชม ความเกลียด และความรู้สึกอื่น ๆ อีกมากมาย
“ไอ้หนู ในที่สุดก็มาถึงสักที!” เลี่ยเผิงนัยน์ตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงงึมงำด้วยความยินดี
เฉินซีไม่สนใจสายตาที่มองมาของผู้อื่น เขาพยักหน้าเบา ๆ ให้เลี่ยเผิงแล้วกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ลุงเลี่ยเผิง ท่านดูให้ดีก็พอ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
น้ำเสียงเขานิ่งสงบ เผยแววน่าเกรงขามออกมา