บทที่ 926 ยาเซียนเมามายลืมเลือนวิญญาณ
บทที่ 926 ยาเซียนเมามายลืมเลือนวิญญาณ
เฉินซีในยามนี้นับว่าเหนือล้ำกว่ากาลก่อนอย่างเทียบไม่ติด
หลังจากเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองสามสิบห้าปี หรือเท่ากับบ่มเพาะในโลกแห่งดาราราวสามร้อยห้าสิบปี ชายหนุ่มได้ก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ทั้งแปดครั้งจนกระทั่งบรรลุเป็นยอดราชัน จากนั้นเขาก็ได้เข้าสู่ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตเพื่อขัดเกลาฝีมือ …และบุกทะลวงถึงชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่!
ไม่ว่าจะการบ่มเพาะหรืออำนาจต่อสู้ ล้วนไปถึงจุดสูงสุดในขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว
หลังกลับจากถ้ำกระบี่ เขาก็เก็บตัวอยู่ในโลกแห่งดารา ใช้เวลาฝึกฝนอยู่ในนั้นราวสามร้อยปี ขัดเกลายันต์ศัสตรา บ่มเพาะอย่างเงียบงันจนบรรลุถึงจุดที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ทันทีที่ก้าวสู่ห้องโถงใหญ่ในยามนี้ ถึงแม้ท่าทางของเขาจะเงียบสงบ แต่เพราะครอบครองพลังที่ไม่อาจดูถูกได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติกับเฉินซีในฐานะผู้น้อย
กอปรกับรูปลักษณ์อันน่าสังเวชของประมุขนิกายลู่เป๋ยอวี่ ภาพลักษณ์ของเฉินซีในสายตาของทุกคนจึงยิ่งสุดจะหยั่งถึง
ต้องไม่ลืมว่า ลู่เป๋ยอวี่ผู้นี้คือประมุขของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยอำนาจที่เขามี ทำให้ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่ตกตะลึงมาแล้ว แต่ยามนี้เจ้าตัวกลับถูกอัดจนทำให้คนอื่นแทบจำหน้าไม่ได้ …ดังนั้นพวกเขาจึงพอจะจินตนาการได้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีสูงส่งมากแค่ไหน
ทว่าแม้จะเห็นกับตา แต่มันก็เชื่อได้ยากยิ่ง!
ในสถานที่แห่งนี้อาจมีเพียงเลี่ยเผิงที่พอจะคาดการณ์ไว้บ้าง เพราะชายชราได้เห็นยามที่เฉินซีก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ทั้งแปด และเห็นฉากการปะทะกันระหว่างชายหนุ่มกับประมุขนิกายเวินหัวถิงแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
ในตอนนั้น เฉินซียังไม่ได้เข้าไปในถ้ำกระบี่เพื่อขัดเกลาฐานการบ่มเพาะด้วยซ้ำ ทว่าการที่ลู่เป๋ยอวี่ถูกอัด มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด
บรรยากาศในโถงมหาวีรชนเงียบสงบ ขณะที่เสียงของเฉินซียังคงดังก้องในอากาศ
“จัดการเองอย่างนั้นหรือ? ช่างกล้าพูด!”
เป็นอวี้เจินที่ได้สติจากอาการตกตะลึงเมื่อครู่ ดวงตาของนางหรี่ลง มันคมปลาบราวกับกระบี่ จับจ้องมาที่เฉินซีอย่างเย็นชา
แต่เฉินซีดูจะเมินเฉย เขาไม่แม้แต่จะให้ความสนใจอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงจ้องมองชิงซิ่วอี้ผู้สวมอาภรณ์สีแดงเพลิงร้อนแรง ในใจเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา
ตื่นเต้น?
ยินดี?
หรือทั้งสองอย่าง?
ชายหนุ่มเปิดปาก แต่ไม่รู้จะพูดอันใด จึงทำได้แค่เงียบเท่านั้น
ห้องโถงหลักแห่งนี้มีขนาดใหญ่ แต่ในสายตาของเขากลับมีเพียงนางที่อยู่ในนี้
ท่าทีเมินเฉยต่อทุกสิ่งเช่นนี้ ทำให้อวี้เจินเดือดดาลอีกครั้ง นางหรี่ตา ขณะกล่าวเสียงเฉียบขาดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด แต่การฝืนบุกทะลวงเข้ามาในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้าก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะฆ่าเจ้าทิ้งได้!”
เฉินซีสูดหายใจเข้า ละสายตาจากชิงซิ่วอี้ ทว่าเขาก็ยังคงเมินเฉยอวี้เจินผู้กำลังต่อว่าอย่างดุดัน และเบนสายตาไปมองปิงซื่อเทียนแทน
อีกฝ่ายสวมมงกุฎขนนก เสื้อคลุมสีม่วงเข้มที่ปักลายเมฆ ดวงตาราวกับหมู่ดาว หน้าตาหล่อเหลา ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามชิงซิ่วอี้ ราวกับคู่กิ่งทองใบหยก ทำให้เกิดความรู้สึกฝาดขมเล็กน้อยก่อตัวขึ้นในใจของเฉินซีอย่างไม่อาจควบคุม
โดยเฉพาะเมื่อเห็นแหวน ‘ปัญญาเซียน’ ในมือของปิงซื่อเทียน ความรู้สึกฝาดขมในใจพลันกลายเป็นโทสะที่ยากจะอธิบาย จนอยากจะฉีกทึ้งทุกสิ่งทำลายทุกอย่าง!
ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกหนึ่งก้าว ทุกสิ่งจะแก้ไขไม่ได้ใช่หรือไม่?
เฉินซีมองปิงซื่อเทียน จากนั้นก็มองชิงซิ่วอี้ ก่อนที่อารมณ์แปรปรวนในใจจะสงบลงในท้ายที่สุด
ในชีวิตของเขาคำว่า ‘ถ้า’ ไม่มีอยู่จริง
‘ถ้า’ มาช้ากว่านี้แล้วจะทำไม?
ขอเพียงนางไม่ยอม เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารจนทำให้ที่แห่งนี้นองไปด้วยโลหิต!
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่โง่เขลาอะไรอย่างนี้! อยู่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์แท้ ๆ แต่ยังกล้าทำตัวอวดดีอีก ในเมื่อรนหาที่ตายนัก ก็อย่าถือโทษโกรธเคืองแล้วกัน!”
อวี้เจินเดือดดาลกับท่าทีของเฉินซีอย่างยิ่ง นางคำรามลั่น หมายจะก้าวไปเบื้องหน้าเพื่อบดขยี้ชายหนุ่มให้เป็นผุยผง
“พอได้แล้ว!”
เมื่อกล่าวจบ เลี่ยเผิงพลันผุดลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นิกายวิถีกระแสสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก ติดตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์จากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเข้ามาได้ นี่ยังนับว่าไม่น่าอายพออีกหรือ? ตอนนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยแล้ว นอกจากจะไม่ละอายแล้ว ยังคิดจะอาละวาดไปทั่วอีกรึ? …นี่คือวิธีการของนิกายวิถีกระแสสวรรค์งั้นรึ!!?”
“นี่เจ้าต่อว่าข้าอย่างนั้นหรือ?”
อวี้เจินตัวแข็งทื่อ นางไม่คาดคิดว่า จะมีใครมาต่อว่าเช่นนี้ ใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมของหญิงชราในคราบหญิงสาวพลันเปลี่ยนไป สายตาจับจ้องเลี่ยเผิง
“ใช่! ไม่รู้จักรักศักดิ์ศรีตัวเองในฐานะผู้อาวุโส จิตใจมืดบอด เผยพฤติกรรมน่ารังเกียจ ระหว่างเจ้ากับหญิงชราใจร้ายข้างถนน มันต่างกันตรงไหน?”
เลี่ยเผิงไม่ยอมรามือ เขายังคงจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาทั้งขบขันและขมวดคิ้ว คนหนึ่งคือผู้อาวุโสของปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้ มีสถานะเป็นที่เคารพ หลายปีมานี้นางเก็บตัวห่างไกลจากเรื่องทางโลก ส่วนอีกคนคือผู้อาวุโสคุมกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เขาเองก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน
มาตอนนี้ ทั้งสองเริ่มต่อว่ากันโดยไม่คำนึงถึงมารยาท ทำราวกับแม่ค้าปากตลาด หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าคงเป็นเรื่องตลกขบขันทั่วทั้งโลกบ่มเพาะใช่หรือไม่?
“อาจารย์ป้าอวี้เจิน โปรดระงับโทสะก่อนขอรับ”
ชั่วขณะนั้น เป็นปิงซื่อเทียนที่กล่าวขัดขึ้น เผยอำนาจยิ่งใหญ่ของทูตเซียนออกมา
ทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกมา อวี้เจินก็หุบปากทันที เพราะถึงแม้นางจะเป็นผู้อาวุโสของปิงซื่อเทียน แต่ในตอนนี้ นางไม่อาจขัดคำสั่งของอีกฝ่ายได้ตามใจชอบ
เลี่ยเผิงที่เห็นดังนั้น จึงพ่นลมออกจมูกเย็นชา ก่อนกลับไปนั่งที่เดิม
“ที่จริง ไม่ว่าเจ้าจะมาถึงก่อนหรือหลังก็มีค่าเท่ากัน เพราะซิ่วอี้ได้สัญญาเป็นคู่บำเพ็ญกับข้า และการปรากฏตัวของเจ้า ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของนางได้”
ปิงซื่อเทียนหันมา ดวงตาราวกับท้องนภากว้างใหญ่ จับจ้องมาที่เฉินซี “เดิมทีข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่เมื่อเจ้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ …ก็อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลย!”
รอยยิ้มหยันผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเฉินซี เขากล่าวว่า “วางข้อห้ามจำนวนมากไว้ที่หน้าประตูนิกาย แล้วมาบอกว่าจะปล่อยข้าไปเนี่ยนะ? ข้าเคยคิดว่าถึงแม้เจ้าจะหน้าไม่อาย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นเซียนสวรรค์อยู่บ้าง แต่ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามันหน้าไม่อาจจนถึงขั้นไม่มีความละอายใด ๆ เลย!”
ทุกคนตกตะลึง พวกเขาต่างประหลาดใจ เด็กคนนี้ช่างกล้าหาญเสียจริง ถึงขั้นกล้าต่อว่าทูตเซียนซึ่ง ๆ หน้า เกรงว่าคนแบบนี้ทั้งในอดีตหรือปัจจุบันคงมีอยู่ไม่มากกระมัง?
“หากเจ้ายอมรออยู่หน้านิกายแต่โดยดี เจ้าย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน”
ปิงซื่อเทียนไม่ได้สนใจแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “เจ้าตั้งใจจะเดิมพันให้สำเร็จไม่ใช่หรือ? เอาเถอะ ตามข้อตกลงในยามนั้น เจ้าก็ถือว่าแพ้แล้ว และถ้าข้าจำไม่ผิด ในตอนนั้นเจ้าสาบานอย่างหนักแน่นว่า หากทำไม่สำเร็จ เจ้าก็จะทำลายการบ่มเพาะ รวมถึงจบชีวิตตนเอง ซึ่งหากเจ้าผิดคำสาบาน สวรรค์และโลกจะถูกทำลาย เทพและมนุษย์ร่วมมือกันเข่นฆ่า ดังนั้น…เอาเลย!!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เปล่งออกมา ทุกคนตกตะลึง
ถึงแม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามีการเดิมพันระหว่างปิงซื่อเทียนกับเฉินซี แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่ารายละเอียดของการเดิมพัน จะจริงจังขนาดนี้!
ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ เกรงว่าคนผู้นั้นจะต้องถูกฆ่าต่อหน้าทุกคนในโถงใหญ่ และหากเรื่องทั้งหมดนี้แพร่งพรายออกไป อาจจะทำให้ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่ตกอยู่ในความตกตะลึง!
ถึงอย่างไร หนึ่งในพวกเขาก็คือทูตจากโลกเซียน ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะไร้เทียมทานผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกหล้า หากหนึ่งในพวกเขาล่วงลับ อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ได้
“ถูกต้อง ข้าได้ให้สาบานไว้เช่นนั้น”
ขณะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินซียังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง “แต่ไม่ว่าการเดิมพันจะชนะหรือไม่ สิ่งที่เจ้ากับข้าพูดย่อมไม่ถูกนับรวม”
“แน่นอน ผลลัพธ์ของเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในกำมือของซิ่วอี้ เจ้าสามารถถามนางได้ว่าเต็มใจจะไปกับเจ้า หรือยังคงตั้งใจจะไปกับข้า”
ปิงซื่อเทียนคลี่ยิ้มออกมา เขากล่าวด้วยท่าทางเกียจคร้าน ตรงหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมั่นใจและเหยียดหยันอย่างไม่ปกปิด
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หัวใจของเลี่ยเผิงพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม จากท่าทีของปิงซื่อเทียน เขาสามารถสัมผัสได้ว่า ต่อจากนี้จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น และเกรงว่ามันจะส่งผลเสียต่อเฉินซีอย่างร้ายแรง
ไม่เพียงแค่เลี่ยเผิงเท่านั้น แต่ความคิดส่วนใหญ่ของผู้อื่นก็เป็นไปในทางเดียวกัน
น่าเสียดายที่สีหน้าของชิงซิ่วอี้ยังคงสงบตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงหลัก หรือหลังจากที่เฉินซีมาถึง มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวบนใบหน้างดงามของนาง
มีเพียงความสงบ!
…ในสายตาคนนอก สภาพจิตใจที่สงบเช่นนี้กลับทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายรู้สึกละอายใจ
เฉินซีย่อมสังเกตเห็นทั้งหมดนี้เช่นกัน ทว่ามันไม่ได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาแต่อย่างใด
เขามุ่งไปข้างหน้า เผชิญหน้ากับชิงซิ่วอี้ มองดูใบหน้าอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย ขณะที่สิ่งต่าง ๆ จากอดีตปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
“ข้าให้สัญญากับอันเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะพาเจ้ากลับไป ตอนนี้ ข้ามาที่นี่แล้ว” หลังจากเงียบไปนาน เฉินซีก็เปิดปากขึ้นช้า ๆ ทุกถ้อยคำทั้งซื่อตรงและสงบนิ่ง
ใช่แล้ว เป้าหมายที่เขามาที่นี่ก็เพื่อพาตัวชิงซิ่วอี้กลับไป!
ในที่สุด ชิงซิ่วอี้ก็ตอบสนอง นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จับจ้องมาที่เฉินซี ไม่พูดไม่จา ราวกับตกอยู่ในภวังค์
จนถึงตอนนี้ ปิงซื่อเทียนยังคงสงบนิ่ง เขามองอวี้เจินผู้อยู่ทางด้านข้าง ขณะที่รอยยิ้มซึ่งมองไม่เห็นปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของทั้งสอง
ทั้งคู่ต่างเข้าใจดีว่า ไม่ว่าคำพูดของเฉินซีจะกินใจแค่ไหน หรือคนทั้งสองจะมีความผูกพันกันเช่นไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้!
เพราะก่อนหน้านี้ ชิงซิ่วอี้ได้ดื่ม ‘ยาเซียนเมามายลืมเลือนวิญญาณ’ เข้าไปแล้ว!
นี่คือสุราเซียนที่แปลกประหลาดยิ่ง วัตถุดิบหลักในการกลั่นมาจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ของน้ำแกงห้ารสในยมโลก ด้วยความช่วยเหลือจากวัตถุดิบเซียนอีกชิ้น ทำให้สามารถกลั่นมันออกมาได้
และไม่ว่าจะมนุษย์หรือเซียน ทันทีที่จิบเข้าไป จิตใจจะชาด้าน ทำตัวดุจหุ่นเชิด สูญเสียสติปัญญาและความคิดไปสักพัก
สิ่งนี้เป็นสมบัติหายากที่ไม่สามารถค้นพบได้ที่ใด เพราะน้ำแกงห้ารสหายากเกินไป มันมีอยู่ในยมโลกเท่านั้น ทว่าเพื่อชนะการเดิมพันครั้งนี้ รวมถึงเพื่อให้ได้ตัวชิงซิ่วอี้ ปิงซื่อเทียนจึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเปี่ยมด้วยความมั่นใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะต้องชนะอย่างแน่นอน
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่หมองหม่นยิ่ง อากาศคล้ายกับถูกแช่แข็ง ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ สายตาจับจ้องไปยังชิงซิ่วอี้ตาไม่กะพริบ พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าสิ่งที่นางจะกล่าวต่อจากนี้จะเป็นตัวตัดสินชะตาของเฉินซีและปิงซื่อเทียน!
และเมื่อมองดูการตอบสนองของปิงซื่อเทียนแล้ว ดูท่าว่าสมดุลของชัยชนะจะเอนเอียงมาทางฝั่งของเขา ส่วนเฉินซีคล้ายกับมีชะตาที่จะไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้ได้…
ในยามนี้ เลี่ยเผิงกำหมัดโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเบิกกว้าง ตื่นตระหนกจนแทบจะลืมหายใจ