บทที่ 943 ภูตกิเลน
บทที่ 943 ภูตกิเลน
เมื่อกู่เทียนและคนอื่น ๆ หยุดฝีเท้า พวกเขาก็พบว่าเฉินซีอันตรธานจากกลุ่มไปแล้ว
“หืม! เจ้าสหายเต๋าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนั่นไม่ใช่ว่าตามพวกเรามาไม่ทันหรอกนะ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
“หรือเขาจะตายไปแล้ว?” ใครบางคนถามเสียงฉงน
เหล่าวิญญาณผีร้ายที่กำลังสักการะจันทรานั้นช่างน่าขนพองสยองเกล้านัก ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยิงหยางหรอก แม้แต่ตัวตนขอบเขตสถิตกายาหรือขอบเขตเซียนปฐพีก็อาจถึงคราวจบสิ้นหากไม่อาจหนีได้ทันเวลา
“หุบปาก!” กู่เทียนขมวดคิ้วพลางกล่าวตำหนิ “ไปที่จุดพักกันก่อน หากในอีกหนึ่งก้านธูปเฉินซียังไม่ปรากฏตัว พวกเจ้าก็จงคุ้มครองคุณหนูและเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนข้าจะย้อนกลับไปตามหาเขา”
ผู้คุ้มกันอีกคนพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แล้วถ้าหากเขา…”
กู่เทียนโบกมือปราม “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป!”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าเฉินซีอาจจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว การที่เหล่าวิญญาณสักการะจันทรานั้นหมายความว่า ราชาวิญญาณกำลังจะถือกำเนิด และไม่มีทางที่พวกมันจะปล่อยให้คนตัวเล็ก ๆ ที่บรรลุเพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรอดพ้นเงื้อมมือไปได้
“คุณหนู? เหตุใดคุณหนูจึงลงมาเล่า?” กู่เทียนผินมองไปทางด้านข้างก่อนจะพบว่าชุยชิงหนิงได้ลงจากรถม้ามาแล้ว
“ท่านอากู่เทียน พี่ใหญ่เฉินซีจะเป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เด็กสาวเม้มปาก ใบหน้าเรียวเล็กที่ซีดเซียวของนางเผยร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน
นางรู้สึกเหมือนกับเฉินซีได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด เป็นเพราะนางละเลยและประมาทเกินไป จึงไม่ได้ดูแลเขาให้ดี
“คุณหนูอย่ากังวลไป เฉินซีเป็นคนดวงแข็ง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร” กู่เทียนปลอบใจคุณหนูด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“จริงสิ พี่ใหญ่เฉินซีสามารถหลบเลี่ยงการลอบสังหารของชิงเซียวมาได้ ครั้งนี้เขาเองก็ต้องรอดพ้นมาได้เช่นกัน” น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้แต่ดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้า
กู่เทียนได้แต่ลอบถอนใจ เขาเองก็หวังให้เป็นอย่างที่นางพูด
หลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง กู่เทียนจึงเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “คุณหนู คุณชายชุยหมิงที่อยู่ในเมืองผาทมิฬนั้นไว้ใจได้หรือไม่?”
ชุยชิงหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง “แน่นอน ญาติผู้พี่หกดีกับข้ามาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งพ่อของเขาคือท่านอาสามที่สนิทสนมกับท่านพ่อของข้ามาก เขาไม่มีทางจะอยู่ฝั่งเดียวกับผู้อาวุโสรองเป็นแน่”
กู่เทียนได้ยินเช่นนั้นก็พลันโล่งอก “ยอดเลย ถ้าเช่นนั้นเมื่อเราไปถึงเมืองผาทมิฬ ข้าจะขอร้องคุณชายชุยหมิงให้เปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองน้ำพุยมโลก ด้วยวิธีนี้ ศัตรูของพวกเราไม่มีทางตามทันแน่!”
ชุยชิงหนิงพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าหลังจากนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวนาง “ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังเกรงว่า แม้เราจะกลับไปที่ตระกูลได้ แต่เรา…” แววตาของนางสะท้อนนัยความสิ้นหวังออกมา
กู่เทียนตบไหล่เด็กสาวเบา ๆ เพื่อปลอบโยน “คุณหนูอย่ากังวลไป ข้าจะติดต่อกับสหายเก่าแก่จากกรมราชทัณฑ์ทันทีที่เราไปถึงตระกูล พวกเขาจะให้ความคุ้มครองแก่คุณหนูอย่างแน่นอน”
“เอ๊ะ! ดูนั่นสิ! เหมือนจะเป็นเฉินซี…” ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็คล้ายจะเห็นบางสิ่งก่อนพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นั่นเฉินซีจริง ๆ ด้วย แล้วที่ตามหลังเขามานั่นใครกัน?” คนอื่น ๆ ก็เห็นเช่นกันว่าตอนนี้กำลังมีร่างของคนสองคนพุ่งมาจากระยะไกล คนที่อยู่ข้างหน้าแน่นอนว่าเป็นเฉินซี แต่ข้างหลังนั้นเป็นสตรีที่พวกเขาไม่คุ้นหน้า
“เฉินซีถูกสตรีนางนั้นบังคับให้พามาเจอและจัดการพวกเราหรือไม่?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเผยความดุดันออกมา
กู่เทียนไหวมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาสงบใจลง
ถึงกระนั้น ตัวเขาเองก็มีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น ด้วยสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่ท่าทางเยือกเย็นผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างจากเขาเท่าไร!
พูดอีกอย่างหนึ่ง นางน่าจะบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่เป็นอย่างน้อย
แปลกเกินไปแล้ว! นี่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น เฉินซีเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักกับหญิงสาวที่มีพละกำลังน่าเกรงขามเช่นนี้ได้? เห็นที คงจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นแล้ว!
กู่เทียนซ่อนชุยชิงหนิงไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณ ก่อนจะลอบวางกลยุทธ์ป้องกันตัว
“ขออภัยที่ให้คอย” เฉินซีลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลงเมื่ออยู่ห่างออกไปหกลี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาทีละก้าวอย่างมั่นคง
ชายหนุ่มเองก็เห็นว่าสายตาของกู่เทียนเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แน่นอนว่าเป็นเพราะเป้ยหลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา!
“อ้อ ผู้นี้คือ…” เฉินซีตั้งใจจะแนะนำเป้ยหลิงให้ทุกคนรู้จัก เพื่อที่พวกเขาจะได้คลายจากความสงสัยระแวง
ทว่าไม่ทันจะได้พูดอะไร หญิงสาวก็แนะนำตัวเองตัดหน้าเขาไปดื้อ ๆ “ข้าชื่อเป้ยหลิง เป็นสาวใช้ของเขา”
ไม่ใช่เพียงกู่เทียนและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แม้แต่เฉินซียังมุมปากกระตุก ชายหนุ่มมองไปที่เป้ยหลิงด้วยสายตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
สาวใช้หรือ?
ให้สาบานที่ไหนก็ได้ เขาไม่เคยตระเตรียมคำโกหกเช่นนี้กับนางมาก่อน นี่เป็นข้อแก้ตัวที่นางเลือกขึ้นมาเองเพียงคนเดียว
ให้ตายเถิด ช่างเป็นคำโป้ปดที่ไร้ไหวพริบเสียจริง!
เฉินซีถอนหายใจ นึกเสียใจขึ้นมาที่คิดรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
ด้วยคำตอบแสนพิลึกนี้ ส่งผลให้ทั้งกู่เทียนและคนอื่น ๆ ยังคงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่นานทีเดียว
สิ่งที่พวกเขาคลางแคลงคงไม่พ้นว่าเหตุใดผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่ง ถึงเต็มใจลดตัวลงมาเป็นสาวใช้ของสหายเต๋าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้? ดูอย่างไรก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ยิ่งไปกว่านั้น สาวใช้นางนี้ยังมีหน้าตางดงาม อาภรณ์ที่นางสวมใส่ไม่เพียงประณีต ทว่ากิริยาท่าทางของนางยังสง่างามและนุ่มลึก ราวกับบุตรีจากตระกูลขุนนางใหญ่ แล้วอย่างนี้ นางจะเป็นสาวใช้ได้อย่างไรกัน?
มันผิดวิสัย!
น่าเหลือเชื่อเกินไป!
เฉินซีเตรียมเปิดปากอธิบาย ทว่าชุยชิงหนิงกลับพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงดังฟังชัด “พี่ใหญ่เฉินซี ในที่สุดท่านก็กลับมา ข้าเป็นห่วงท่านมากเลย”
ขณะที่พูด นางก็วิ่งตรงไปข้างหน้าก่อนจะกอดแขนเฉินซีแน่นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
สถานการณ์เบื้องหน้าทำเอากู่เทียนใจแป้วจนร่างกายสั่นสะท้าน เขาตะโกนออกมาอย่างคนร่ำไห้ “คุณหนู!”
ชุยชิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ใช้ดวงตาใสกระจ่างคล้ายไม่รู้เรื่องรู้ราวถามว่า “เป็นอะไรไปหรือท่านอากู่เทียน?”
กู่เทียนมองไปที่เฉินซีทีเป้ยหลิงที ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่เป็นไร”
เฉินซีตระหนักดีถึงสิ่งที่กู่เทียนกำลังคิดในใจ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปข้างหน้าและส่งกระแสปราณถึงกู่เทียนด้วยความรวดเร็ว
“จริงหรือ?” กู่เทียนตกใจมาก ดวงตาของเขาฉายแววความตกตะลึง
เฉินซีพยักหน้า
กู่เทียนจ้องมองไปทางเป้ยหลิงด้วยแววตาเวทนาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเฉินซี เขาก็คลายความระแวง และเร่งนำพาผู้คนออกเดินทางต่อ
ตามที่กู่เทียนกล่าว หากเร่งเดินทางด้วยความเร็วเต็มกำลัง พวกเขาก็จะไปถึงเมืองผาทมิฬได้ภายในเวลาสองวัน เมื่อไปถึงที่นั่น สถานการณ์ก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงเท่าไรนัก
ระหว่างการเดินทาง เป้ยหลิงพลันถามเฉินซีว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดอะไรกับเขาหรือ?”
เฉินซีถอนหายใจ “เจ้าอยากรู้จริง ๆ หรือ?”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบด้วยท่าทางจริงจัง
“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นพวกสมองทึบที่เผลอดื่มน้ำแกงยายเฒ่าเมิ่งเข้าไปและสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้เจ้ากำลังเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคุณชายของตระกูลเจ้า จึงได้ให้สัตย์สาบานติดตามรับใช้ ไม่ว่าข้าจะไล่อย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมไป จึงทำได้เพียงพาเจ้ามาด้วยเท่านั้น” เฉินซีตอบตามสัตย์จริงทั้งเสียงรู้สึกผิด
ผิดคาด เป้ยหลิงไม่เพียงไม่หัวเสีย ซ้ำนางยังพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาอีกว่า “ข้ออ้างนี้ไม่เลวเลย”
เฉินซีชะงัก เหตุใดหญิงสาวที่ดูเย่อหยิ่งเย็นชาผู้นี้จึงได้ดูพอใจกันเล่า?
ตลอดการเดินทาง การมีอยู่ของเป้ยหลิงทำให้ผู้คุมกันทั้งหลายต่างหวาดระแวงไม่น้อย แต่เมื่อกู่เทียนเล่าให้พวกเขาฟังถึงเหตุผลที่เฉินซีพานางมา พวกเขาก็อดสงสารนางขึ้นมาไม่ได้
น้ำแกงยายเฒ่าเมิ่ง… มีฤทธิ์ทำลายแม้แต่ความทรงจำของเทพเซียน
ใครจะคาดคิดกันว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่จะเผลอดื่มน้ำแกงยายเฒ่าเมิ่งโดยบังเอิญและสูญเสียความทรงจำ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก…
จริงอยู่ที่เหตุผลนี้ค่อนข้างน่าสงสัย แต่เนื่องด้วยตลอดสองวันที่เดินทางร่วมกันมา เป้ยหลิงเองก็ไม่ได้ทำตัวแปลก ๆ หรือมีพิรุธอะไร นางเอาแต่ติดสอยห้อยตามเฉินซีตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ดังนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ คลายความสงสัยลง
กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มอิจฉาเฉินซีมากกว่า พวกเขารู้สึกว่าสหายเต๋าขอบเขตทองคำหยินหยางผู้นี้นับเป็นคนที่โชคหล่นทับ จู่ ๆ เขาก็ได้หญิงงามที่แข็งแกร่งถึงขอบเขตเซียนปฐพีมาเป็นสาวใช้ อีกทั้งนางยังมีหน้าตางดงามหมดจดและท่าทางสง่าผ่าเผยมากเสียด้วย
ผ่านไปสองวัน ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลลิบ ที่นั่นปกคลุมไปด้วยมวลเมฆซึ่งปกคลุมท้องฟ้าให้มืดครึ้มประหนึ่งมีสัตว์อสูรมหึมาอาศัยอยู่เบื้องบน เป็นทิวทัศน์ที่โดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย
เมืองผาทมิฬ!
กู่เทียนและคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าผ่อนคลายลง พวกเขามีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นเค้าโครงของเมืองที่เป็นจุดหมาย
“ไม่คิดเลยว่าตลอดสองวันมานี้เราจะไม่พานพบกับอันตรายใด ๆ หรือว่าไอ้สารเลวนั่นมันยอมยกธงขาวแล้ว?” ผู้คุ้มคนหนึ่งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
คนอื่น ๆ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ว่าชิงเซียววางแผนเคลื่อนไหวเมื่อสองวันก่อน แต่เขาดันโชคร้ายได้พบกับเฉินซีเข้าก่อนจะได้ลงมือ …ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็สามารถรับมือกับอันตรายนั้นได้สำเร็จ เขาช่วยให้กู่เทียนและคนอื่น ๆ รอดพ้นเภทภัยมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! หรือว่าเจ้าจะกำลังภาวนาให้มีใครสักคนมาขัดขวางและจัดการฆ่าพวกข้าทิ้งอยู่?” กู่เทียนกล่าวสวนกลับไปรอบหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเดินทางต่อ
ยิ่งเข้าใกล้เมืองผาทมิฬเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าเมืองใหญ่แห่งนี้มืดสนิท ที่นี่มีกำแพงเมืองซึ่งสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง รายล้อมไปด้วยคบเพลิงขนาดใหญ่ประหนึ่งมังกรไฟตัวเขื่องกำลังพ่นควัน เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงแสงเรืองรองไปทั่วทุกทิศ ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างไสว
ตอนนี้เอง พวกเขาจึงเห็นว่าที่นี่กำลังมีสิ่งมีชีวิตมากมายเดินทางผ่านเข้าออกประตูเมือง ดูไปแล้วก็ค่อนข้างคึกคักไม่น้อย
สายตาของเฉินซีสะท้อนภาพบุรุษสองคนซึ่งมีท่าทางดุดัน ในมือของพวกเขาถือแส้ยาวราวหนึ่งจั้ง ขณะที่กำลังนำพาดวงวิญญาณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง นับเป็นภาพที่ประหลาดตานัก
พวกเขาคือ ‘นักล่าวิญญาณ’ เป็นงานเฉพาะที่มีแค่ในยมโลกเท่านั้น โดยคนกลุ่มนี้มีหน้าที่จับวิญญาณอาฆาตและวิญญาณร้ายเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ทว่าไม่นานนัก ความสนใจของเฉินซีก็ถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งแย่งชิงไป
คนที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มในอาภรณ์สีทองอร่าม คนผู้นั้นถือพัดหยกไว้ในมือขณะกำลังนั่งอยู่บนหลังของสัตว์เทวะสีดำสนิทที่มีความสูงเกือบสามจั้ง ท่าทางที่ดูสบาย ๆ ของอีกฝ่าย คล้ายว่ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่
กลุ่มผู้ติดตามของเขาราวหนึ่งร้อยคนมาพร้อมศัสตราวุธครบครัน พวกเขาทุกคนล้วนมากด้วยความสามารถและความแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดจากกลิ่นอายดุดันที่แผ่กระจายออกมา ขบวนเดินทางของคนกลุ่มนี้แทบจะกินพื้นที่ถนนทางเข้าเมืองจนหมด
ทว่าไม่เพียงผู้สัญจรไปมาจะไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมาแล้ว พวกเขายังหันมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสายตาเคารพยำเกรง
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดูดดูดความสนใจจากเฉินซี หากแต่เป็นเจ้าตัวเขื่องที่บุรุษชุดทองกำลังขี่อยู่… นั่นคือภูตกิเลนไม่ผิดแน่!
กิเลนเป็นสัตว์เทวะที่น่าสะพรึงกลัว ชื่อเสียงของพวกมันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดินไม่ต่างกับวิหคอมตะ วิหคเพลิงนภา เต่าทมิฬ พยัคฆ์ขาว รวมไปถึงสัตว์เทวะอื่น ๆ อีกมากมาย เห็นได้ชัดว่าเจ้ากิเลนตัวนี้ตายไปแล้ว โดยชายหนุ่มชุดทองผู้นี้ได้มันมาภายหลังจากที่วิญญาณของมันเข้าสู่ยมโลกและทำให้มันกลายเป็นสัตว์พาหนะ
“ญาติผู้น้อง! ในที่สุดเจ้าก็มาถึง!” ดวงตาของชายหนุ่มบนหลังภูตกิเลนส่องประกายทันทีที่เห็นกู่เทียนและคนอื่น ๆ จากระยะไกล เขาโดดลงจากหลังของมัน ก่อนจะเยื้องกรายตรงมาทางกลุ่มของกู่เทียนด้วยเสียงหัวเราะ