บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 943 ภูตกิเลน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 943 ภูตกิเลน

บทที่ 943 ภูตกิเลน

เมื่อกู่เทียนและคนอื่น ๆ หยุดฝีเท้า พวกเขาก็พบว่าเฉินซีอันตรธานจากกลุ่มไปแล้ว

“หืม! เจ้าสหายเต๋าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนั่นไม่ใช่ว่าตามพวกเรามาไม่ทันหรอกนะ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล

“หรือเขาจะตายไปแล้ว?” ใครบางคนถามเสียงฉงน

เหล่าวิญญาณผีร้ายที่กำลังสักการะจันทรานั้นช่างน่าขนพองสยองเกล้านัก ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยิงหยางหรอก แม้แต่ตัวตนขอบเขตสถิตกายาหรือขอบเขตเซียนปฐพีก็อาจถึงคราวจบสิ้นหากไม่อาจหนีได้ทันเวลา

“หุบปาก!” กู่เทียนขมวดคิ้วพลางกล่าวตำหนิ “ไปที่จุดพักกันก่อน หากในอีกหนึ่งก้านธูปเฉินซียังไม่ปรากฏตัว พวกเจ้าก็จงคุ้มครองคุณหนูและเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนข้าจะย้อนกลับไปตามหาเขา”

ผู้คุ้มกันอีกคนพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แล้วถ้าหากเขา…”

กู่เทียนโบกมือปราม “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป!”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าเฉินซีอาจจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว การที่เหล่าวิญญาณสักการะจันทรานั้นหมายความว่า ราชาวิญญาณกำลังจะถือกำเนิด และไม่มีทางที่พวกมันจะปล่อยให้คนตัวเล็ก ๆ ที่บรรลุเพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรอดพ้นเงื้อมมือไปได้

“คุณหนู? เหตุใดคุณหนูจึงลงมาเล่า?” กู่เทียนผินมองไปทางด้านข้างก่อนจะพบว่าชุยชิงหนิงได้ลงจากรถม้ามาแล้ว

“ท่านอากู่เทียน พี่ใหญ่เฉินซีจะเป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เด็กสาวเม้มปาก ใบหน้าเรียวเล็กที่ซีดเซียวของนางเผยร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน

นางรู้สึกเหมือนกับเฉินซีได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด เป็นเพราะนางละเลยและประมาทเกินไป จึงไม่ได้ดูแลเขาให้ดี

“คุณหนูอย่ากังวลไป เฉินซีเป็นคนดวงแข็ง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร” กู่เทียนปลอบใจคุณหนูด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“จริงสิ พี่ใหญ่เฉินซีสามารถหลบเลี่ยงการลอบสังหารของชิงเซียวมาได้ ครั้งนี้เขาเองก็ต้องรอดพ้นมาได้เช่นกัน” น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้แต่ดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้า

กู่เทียนได้แต่ลอบถอนใจ เขาเองก็หวังให้เป็นอย่างที่นางพูด

หลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง กู่เทียนจึงเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “คุณหนู คุณชายชุยหมิงที่อยู่ในเมืองผาทมิฬนั้นไว้ใจได้หรือไม่?”

ชุยชิงหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง “แน่นอน ญาติผู้พี่หกดีกับข้ามาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งพ่อของเขาคือท่านอาสามที่สนิทสนมกับท่านพ่อของข้ามาก เขาไม่มีทางจะอยู่ฝั่งเดียวกับผู้อาวุโสรองเป็นแน่”

กู่เทียนได้ยินเช่นนั้นก็พลันโล่งอก “ยอดเลย ถ้าเช่นนั้นเมื่อเราไปถึงเมืองผาทมิฬ ข้าจะขอร้องคุณชายชุยหมิงให้เปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองน้ำพุยมโลก ด้วยวิธีนี้ ศัตรูของพวกเราไม่มีทางตามทันแน่!”

ชุยชิงหนิงพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าหลังจากนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวนาง “ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังเกรงว่า แม้เราจะกลับไปที่ตระกูลได้ แต่เรา…” แววตาของนางสะท้อนนัยความสิ้นหวังออกมา

กู่เทียนตบไหล่เด็กสาวเบา ๆ เพื่อปลอบโยน “คุณหนูอย่ากังวลไป ข้าจะติดต่อกับสหายเก่าแก่จากกรมราชทัณฑ์ทันทีที่เราไปถึงตระกูล พวกเขาจะให้ความคุ้มครองแก่คุณหนูอย่างแน่นอน”

“เอ๊ะ! ดูนั่นสิ! เหมือนจะเป็นเฉินซี…” ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็คล้ายจะเห็นบางสิ่งก่อนพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“นั่นเฉินซีจริง ๆ ด้วย แล้วที่ตามหลังเขามานั่นใครกัน?” คนอื่น ๆ ก็เห็นเช่นกันว่าตอนนี้กำลังมีร่างของคนสองคนพุ่งมาจากระยะไกล คนที่อยู่ข้างหน้าแน่นอนว่าเป็นเฉินซี แต่ข้างหลังนั้นเป็นสตรีที่พวกเขาไม่คุ้นหน้า

“เฉินซีถูกสตรีนางนั้นบังคับให้พามาเจอและจัดการพวกเราหรือไม่?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเผยความดุดันออกมา

กู่เทียนไหวมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาสงบใจลง

ถึงกระนั้น ตัวเขาเองก็มีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น ด้วยสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่ท่าทางเยือกเย็นผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างจากเขาเท่าไร!

พูดอีกอย่างหนึ่ง นางน่าจะบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่เป็นอย่างน้อย

แปลกเกินไปแล้ว! นี่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น เฉินซีเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักกับหญิงสาวที่มีพละกำลังน่าเกรงขามเช่นนี้ได้? เห็นที คงจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นแล้ว!

กู่เทียนซ่อนชุยชิงหนิงไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณ ก่อนจะลอบวางกลยุทธ์ป้องกันตัว

“ขออภัยที่ให้คอย” เฉินซีลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลงเมื่ออยู่ห่างออกไปหกลี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาทีละก้าวอย่างมั่นคง

ชายหนุ่มเองก็เห็นว่าสายตาของกู่เทียนเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แน่นอนว่าเป็นเพราะเป้ยหลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา!

“อ้อ ผู้นี้คือ…” เฉินซีตั้งใจจะแนะนำเป้ยหลิงให้ทุกคนรู้จัก เพื่อที่พวกเขาจะได้คลายจากความสงสัยระแวง

ทว่าไม่ทันจะได้พูดอะไร หญิงสาวก็แนะนำตัวเองตัดหน้าเขาไปดื้อ ๆ “ข้าชื่อเป้ยหลิง เป็นสาวใช้ของเขา”

ไม่ใช่เพียงกู่เทียนและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แม้แต่เฉินซียังมุมปากกระตุก ชายหนุ่มมองไปที่เป้ยหลิงด้วยสายตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

สาวใช้หรือ?

ให้สาบานที่ไหนก็ได้ เขาไม่เคยตระเตรียมคำโกหกเช่นนี้กับนางมาก่อน นี่เป็นข้อแก้ตัวที่นางเลือกขึ้นมาเองเพียงคนเดียว

ให้ตายเถิด ช่างเป็นคำโป้ปดที่ไร้ไหวพริบเสียจริง!

เฉินซีถอนหายใจ นึกเสียใจขึ้นมาที่คิดรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง

ด้วยคำตอบแสนพิลึกนี้ ส่งผลให้ทั้งกู่เทียนและคนอื่น ๆ ยังคงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่นานทีเดียว

สิ่งที่พวกเขาคลางแคลงคงไม่พ้นว่าเหตุใดผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่ง ถึงเต็มใจลดตัวลงมาเป็นสาวใช้ของสหายเต๋าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้? ดูอย่างไรก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

ยิ่งไปกว่านั้น สาวใช้นางนี้ยังมีหน้าตางดงาม อาภรณ์ที่นางสวมใส่ไม่เพียงประณีต ทว่ากิริยาท่าทางของนางยังสง่างามและนุ่มลึก ราวกับบุตรีจากตระกูลขุนนางใหญ่ แล้วอย่างนี้ นางจะเป็นสาวใช้ได้อย่างไรกัน?

มันผิดวิสัย!

น่าเหลือเชื่อเกินไป!

เฉินซีเตรียมเปิดปากอธิบาย ทว่าชุยชิงหนิงกลับพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงดังฟังชัด “พี่ใหญ่เฉินซี ในที่สุดท่านก็กลับมา ข้าเป็นห่วงท่านมากเลย”

ขณะที่พูด นางก็วิ่งตรงไปข้างหน้าก่อนจะกอดแขนเฉินซีแน่นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

สถานการณ์เบื้องหน้าทำเอากู่เทียนใจแป้วจนร่างกายสั่นสะท้าน เขาตะโกนออกมาอย่างคนร่ำไห้ “คุณหนู!”

ชุยชิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ใช้ดวงตาใสกระจ่างคล้ายไม่รู้เรื่องรู้ราวถามว่า “เป็นอะไรไปหรือท่านอากู่เทียน?”

กู่เทียนมองไปที่เฉินซีทีเป้ยหลิงที ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่เป็นไร”

เฉินซีตระหนักดีถึงสิ่งที่กู่เทียนกำลังคิดในใจ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปข้างหน้าและส่งกระแสปราณถึงกู่เทียนด้วยความรวดเร็ว

“จริงหรือ?” กู่เทียนตกใจมาก ดวงตาของเขาฉายแววความตกตะลึง

เฉินซีพยักหน้า

กู่เทียนจ้องมองไปทางเป้ยหลิงด้วยแววตาเวทนาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเฉินซี เขาก็คลายความระแวง และเร่งนำพาผู้คนออกเดินทางต่อ

ตามที่กู่เทียนกล่าว หากเร่งเดินทางด้วยความเร็วเต็มกำลัง พวกเขาก็จะไปถึงเมืองผาทมิฬได้ภายในเวลาสองวัน เมื่อไปถึงที่นั่น สถานการณ์ก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงเท่าไรนัก

ระหว่างการเดินทาง เป้ยหลิงพลันถามเฉินซีว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดอะไรกับเขาหรือ?”

เฉินซีถอนหายใจ “เจ้าอยากรู้จริง ๆ หรือ?”

หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบด้วยท่าทางจริงจัง

“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นพวกสมองทึบที่เผลอดื่มน้ำแกงยายเฒ่าเมิ่งเข้าไปและสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้เจ้ากำลังเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคุณชายของตระกูลเจ้า จึงได้ให้สัตย์สาบานติดตามรับใช้ ไม่ว่าข้าจะไล่อย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมไป จึงทำได้เพียงพาเจ้ามาด้วยเท่านั้น” เฉินซีตอบตามสัตย์จริงทั้งเสียงรู้สึกผิด

ผิดคาด เป้ยหลิงไม่เพียงไม่หัวเสีย ซ้ำนางยังพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาอีกว่า “ข้ออ้างนี้ไม่เลวเลย”

เฉินซีชะงัก เหตุใดหญิงสาวที่ดูเย่อหยิ่งเย็นชาผู้นี้จึงได้ดูพอใจกันเล่า?

ตลอดการเดินทาง การมีอยู่ของเป้ยหลิงทำให้ผู้คุมกันทั้งหลายต่างหวาดระแวงไม่น้อย แต่เมื่อกู่เทียนเล่าให้พวกเขาฟังถึงเหตุผลที่เฉินซีพานางมา พวกเขาก็อดสงสารนางขึ้นมาไม่ได้

น้ำแกงยายเฒ่าเมิ่ง… มีฤทธิ์ทำลายแม้แต่ความทรงจำของเทพเซียน

ใครจะคาดคิดกันว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่จะเผลอดื่มน้ำแกงยายเฒ่าเมิ่งโดยบังเอิญและสูญเสียความทรงจำ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก…

จริงอยู่ที่เหตุผลนี้ค่อนข้างน่าสงสัย แต่เนื่องด้วยตลอดสองวันที่เดินทางร่วมกันมา เป้ยหลิงเองก็ไม่ได้ทำตัวแปลก ๆ หรือมีพิรุธอะไร นางเอาแต่ติดสอยห้อยตามเฉินซีตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ดังนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ คลายความสงสัยลง

กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มอิจฉาเฉินซีมากกว่า พวกเขารู้สึกว่าสหายเต๋าขอบเขตทองคำหยินหยางผู้นี้นับเป็นคนที่โชคหล่นทับ จู่ ๆ เขาก็ได้หญิงงามที่แข็งแกร่งถึงขอบเขตเซียนปฐพีมาเป็นสาวใช้ อีกทั้งนางยังมีหน้าตางดงามหมดจดและท่าทางสง่าผ่าเผยมากเสียด้วย

ผ่านไปสองวัน ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลลิบ ที่นั่นปกคลุมไปด้วยมวลเมฆซึ่งปกคลุมท้องฟ้าให้มืดครึ้มประหนึ่งมีสัตว์อสูรมหึมาอาศัยอยู่เบื้องบน เป็นทิวทัศน์ที่โดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย

เมืองผาทมิฬ!

กู่เทียนและคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าผ่อนคลายลง พวกเขามีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นเค้าโครงของเมืองที่เป็นจุดหมาย

“ไม่คิดเลยว่าตลอดสองวันมานี้เราจะไม่พานพบกับอันตรายใด ๆ หรือว่าไอ้สารเลวนั่นมันยอมยกธงขาวแล้ว?” ผู้คุ้มคนหนึ่งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า

คนอื่น ๆ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ว่าชิงเซียววางแผนเคลื่อนไหวเมื่อสองวันก่อน แต่เขาดันโชคร้ายได้พบกับเฉินซีเข้าก่อนจะได้ลงมือ …ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็สามารถรับมือกับอันตรายนั้นได้สำเร็จ เขาช่วยให้กู่เทียนและคนอื่น ๆ รอดพ้นเภทภัยมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ไอ้บัดซบเอ๊ย! หรือว่าเจ้าจะกำลังภาวนาให้มีใครสักคนมาขัดขวางและจัดการฆ่าพวกข้าทิ้งอยู่?” กู่เทียนกล่าวสวนกลับไปรอบหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเดินทางต่อ

ยิ่งเข้าใกล้เมืองผาทมิฬเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าเมืองใหญ่แห่งนี้มืดสนิท ที่นี่มีกำแพงเมืองซึ่งสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง รายล้อมไปด้วยคบเพลิงขนาดใหญ่ประหนึ่งมังกรไฟตัวเขื่องกำลังพ่นควัน เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงแสงเรืองรองไปทั่วทุกทิศ ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างไสว

ตอนนี้เอง พวกเขาจึงเห็นว่าที่นี่กำลังมีสิ่งมีชีวิตมากมายเดินทางผ่านเข้าออกประตูเมือง ดูไปแล้วก็ค่อนข้างคึกคักไม่น้อย

สายตาของเฉินซีสะท้อนภาพบุรุษสองคนซึ่งมีท่าทางดุดัน ในมือของพวกเขาถือแส้ยาวราวหนึ่งจั้ง ขณะที่กำลังนำพาดวงวิญญาณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง นับเป็นภาพที่ประหลาดตานัก

พวกเขาคือ ‘นักล่าวิญญาณ’ เป็นงานเฉพาะที่มีแค่ในยมโลกเท่านั้น โดยคนกลุ่มนี้มีหน้าที่จับวิญญาณอาฆาตและวิญญาณร้ายเพื่อหาเลี้ยงชีพ

ทว่าไม่นานนัก ความสนใจของเฉินซีก็ถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งแย่งชิงไป

คนที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มในอาภรณ์สีทองอร่าม คนผู้นั้นถือพัดหยกไว้ในมือขณะกำลังนั่งอยู่บนหลังของสัตว์เทวะสีดำสนิทที่มีความสูงเกือบสามจั้ง ท่าทางที่ดูสบาย ๆ ของอีกฝ่าย คล้ายว่ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่

กลุ่มผู้ติดตามของเขาราวหนึ่งร้อยคนมาพร้อมศัสตราวุธครบครัน พวกเขาทุกคนล้วนมากด้วยความสามารถและความแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดจากกลิ่นอายดุดันที่แผ่กระจายออกมา ขบวนเดินทางของคนกลุ่มนี้แทบจะกินพื้นที่ถนนทางเข้าเมืองจนหมด

ทว่าไม่เพียงผู้สัญจรไปมาจะไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมาแล้ว พวกเขายังหันมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสายตาเคารพยำเกรง

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดูดดูดความสนใจจากเฉินซี หากแต่เป็นเจ้าตัวเขื่องที่บุรุษชุดทองกำลังขี่อยู่… นั่นคือภูตกิเลนไม่ผิดแน่!

กิเลนเป็นสัตว์เทวะที่น่าสะพรึงกลัว ชื่อเสียงของพวกมันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดินไม่ต่างกับวิหคอมตะ วิหคเพลิงนภา เต่าทมิฬ พยัคฆ์ขาว รวมไปถึงสัตว์เทวะอื่น ๆ อีกมากมาย เห็นได้ชัดว่าเจ้ากิเลนตัวนี้ตายไปแล้ว โดยชายหนุ่มชุดทองผู้นี้ได้มันมาภายหลังจากที่วิญญาณของมันเข้าสู่ยมโลกและทำให้มันกลายเป็นสัตว์พาหนะ

“ญาติผู้น้อง! ในที่สุดเจ้าก็มาถึง!” ดวงตาของชายหนุ่มบนหลังภูตกิเลนส่องประกายทันทีที่เห็นกู่เทียนและคนอื่น ๆ จากระยะไกล เขาโดดลงจากหลังของมัน ก่อนจะเยื้องกรายตรงมาทางกลุ่มของกู่เทียนด้วยเสียงหัวเราะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท