บทที่ 945 เคล็ดมหาจุติ
บทที่ 945 เคล็ดมหาจุติ
ฟึ่บ!
ภายในห้อง ปราณยมโลกหนาแน่นแผ่ออกมาจากร่างเซวี่ยคง จากนั้นเฉินซีก็สร้างผนึกขึ้นมาเพื่อดึงมันเข้าไปในระเบียนแดนมรณะตรงหน้า
ปราณยมโลกเป็นพลังที่วิเศษมาก มันแตกต่างจากปราณวิญญาณทั้งหลายในภพมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกเยียบเย็น ลึกล้ำ บริสุทธิ์ หนาแน่น และความไร้ปรานี
มันเหมือนกับโลหะเย็นเฉียบ ไม่เหมือนปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลังและมีชีวิตชีวา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปราณยมโลกเองก็เป็นพลังที่น่าเกรงขามไม่แพ้กัน
อันที่จริง ปราณประเภทนี้ดียิ่งกว่าปราณวิญญาณเสียอีก แต่ก็ยังด้อยกว่าปราณเซียน
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงสามารถสยบมัน และค่อย ๆ ดึงปราณยมโลกเข้าระเบียนแดนมรณะด้วยปราณเซียนในร่างได้
ครืน! ครืน!
พร้อมกันกับปราณยมโลกที่พุ่งเข้าสู่ระเบียนแดนมรณะ พื้นผิวของระเบียนแดนมรณะที่มีรูปร่างเป็นหนังสือสีขาวหยกขนาดเท่าฝ่ามือก็ค่อย ๆ มีกระแสปราณเปล่งออกมา กลิ่นอายขยายใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น และลึกล้ำขึ้น
เฉินซีเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจ แน่นอนว่าปราณยมโลกเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดระเบียนแดนมรณะ จึงไม่แปลกที่แต่ก่อนเขาไม่เคยค้นพบความลับที่ซุกซ่อนอยู่เลย…
ฟิ้ว!
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ปราณยมโลกในร่างเซวี่ยคงได้ถูกดูดกลืนจนเกือบหมด ระเบียนแดนมรณะส่องประกายวาบก่อนจะเปิดออก ราวกับประตูลึกลับแง้มกว้าง และภาพภายในก็สะท้อนเข้าสู่สายตาเฉินซีเป็นคราแรก!
เคล็ดมหาจุติ!
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือตัวอักษรที่มีลักษณะการเขียนไม่เหมือนใคร แต่ละเส้นขีดออกไปอย่างทรงพลัง บีบคั้น กล้าหาญ ทุกคำล้วนออกมาสวยงาม ส่องประกายแสงบาดตาเฉินซีจนเขาปวดตา
หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏการณ์ทุกอย่างก็หายไป
เฉินซีมองข้ามไปแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาร่างขนาดเล็กกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าแรกของระเบียนแดนมรณะ ร่างเล็กนี้เหมือนเป็นร่างควบแน่นจากแสง มันกำลังหายใจเข้าออกทำสมาธิอยู่ ทุกลมหายใจทำให้ทุกรูพลังบนร่างเรืองแสงขึ้น
เมื่อเฉินซีมองดูดี ๆ จะเห็นจุดไฟบรรจบกันเป็นเส้นคดเคี้ยวเวียนอยู่ในเส้นลมปราณภายในกาย เกิดเป็นแผนภาพซับซ้อนลึกซึ้งแห่งการบ่มเพาะพลังและการทำสมาธิ!
“เคล็ดจุติ! เป็นเคล็ดจุติจริง ๆ ด้วย! ไม่คิดเลยว่ามันจะมาหลบซ่อนอยู่ภายในระเบียนแดนมรณะ หลังจากเทพกับพระโพธิสัตว์สังหารจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามไปเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาก็ตามหาวิชาและมรดกของเขากันอย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่า ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้าที่ได้มันมา โชคชะตาเช่นนี้ย่อมเป็นฟ้ากำหนด จะหลอกลวงใช้เล่ห์เหลี่ยมใดไปก็ไร้ผล” หม้อใบจิ๋วพลันพูดขึ้น เผยให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่หาพบได้ยาก
“ผู้อาวุโส เคล็ดมหาจุตินี่ไร้เทียมทานขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินซีประหลาดใจ
“มันไม่เพียงไร้เทียมทาน แต่ตอนที่สามภพถูกแยกออกจากกัน แต่ละภพจะมีวิชาล้ำลึกเป็นของตนเอง เคล็ดจุติเป็นวิชาลึกล้ำที่สุดในยมโลก” หม้อใบจิ๋วเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ยมโลกเป็นฐานแห่งการเกิดใหม่ เป็นตายหมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่ที่นี่ หลายปีก่อนหน้านี้ เคล็ดมหาจุติมีส่วนทำให้จักรพรรดิยมโลกสามารถควบคุมที่นี่และเป็นตัวตนสูงส่งในยมโลกได้มากทีเดียว”
เฉินซีได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมา เขาไม่คิดเลยว่าหน้าแรกของระเบียนแดนมรณะจะเก็บรักษาวิชาอันลึกล้ำหาใครเทียมไว้เช่นนี้!
“ตอนนี้กลิ่นอายของเจ้าไม่เหมือนพวกที่มาจากยมโลก เจ้าสามารถฝึกวิชานี้เพื่อปกปิดกลิ่นอายตนเองไว้ได้ เช่นนี้แล้วจะได้ไม่เป็นจุดสนใจ อีกทั้งต่อไปเจ้ายังต้องใช้เคล็ดมหาจุติเพื่อทำความหวังที่ไม่สำเร็จผลของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามให้ได้อีก” หม้อใบจิ๋วกล่าว “อย่างไรเสีย เคล็ดมหาจุติก็ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะธรรมดา แต่เป็นเครื่องหมายการสืบทอดแห่งจักรพรรดิยมโลก เจ้าเติบโตขึ้นเมื่อไร ก็ย่อมสามารถขึ้นครองนรกใต้พิภพได้อย่างชอบธรรม กลายเป็นจักรพรรดิยมโลกคนต่อไปได้!”
ขึ้นครอบครองนรกใต้พิภพหรือ?
จะให้เป็นจักรพรรดิยมโลกคนต่อไป?
ถึงแม้ว่าเฉินซีจะมีดวงจิตแห่งเต๋าที่แกร่งกล้าเช่นหินผา แต่พอได้ยินดังนั้นก็ยังรู้สึกใจสั่น
ทว่าพริบตาต่อมาเขาก็ตั้งสติแล้วหัวเราะเสียงขมขื่นออกมา ก่อนจะส่ายหน้าให้ “ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ข้าไม่กล้าหวังขึ้นครองนรกใต้พิภพหรอก เพียงหวังว่าจะช่วยเหลือซิ่วอี้แล้วกลับไปยังภพมนุษย์ก็เท่านั้น”
หม้อใบจิ๋วว่า “ในอนาคตเจ้าอาจจะทำได้ก็ได้”
“จะมีใครล่วงรู้อนาคตกัน?” เฉินซีถอนหายใจพลางนึกถึงท่านแม่ของเขา จั่วชิวเสวี่ยที่ถูกขังอยู่ในคุกเนตรเซียนแห่งภพเซียน จากนั้นก็นึกถึงท่านพ่อเฉินหลิงจวินซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
เขามีหลายอย่างต้องจัดการมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่คิดหวังอะไรมาก ได้แต่มุ่งหน้าต่อไปโดยกลัวว่าตนเองจะชักช้าเกินไป
…
ปราณยมโลกภายในร่างของเซวี่ยคงถูกดึงออกมาจนหมดแล้ว แต่กลับสามารถเปิดได้เพียงหน้าแรกของระเบียนแดนมรณะ เขาไม่รู้ว่าต้องใช้ปราณยมโลกอีกเท่าไหร่ถึงจะเปิดหน้าต่อไปได้
เฉินซีจึงไม่ฝืนต่อ แล้วหันไปให้ความสนใจกับเคล็ดมหาจุติแทน
วัฏจักรเป็นตายก็คือวัฏจักรแห่งกาลเวลา!
แก่นของเคล็ดมหาจุติอยู่ภายในคำเหล่านี้ การโคจรพลังที่ถูกต้องคือการโยกย้ายพลังงานในร่างของคนผู้หนึ่งให้กลายเป็นปราณเป็นและปราณตาย ก่อนจะโคจรมันตามแผนผังสามสิบหกรอบใหญ่ เจ็ดสิบสองรอบเล็ก
และที่สำคัญที่สุดคือ เคล็ดมหาจุติคือวิชาแปรสภาพปราณ แต่หากให้พูดเทียบกันคือมันเป็นวิชาที่มีความลึกล้ำมหัศจรรย์กว่า ความเป็นตายสลับหมุนเวียนกันไป ทั้งยังกักเก็บความลึกล้ำแห่งการเกิดใหม่ไว้ภายในอีกด้วย
ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจของเฉินซี เขาจึงสามารถเข้าถึงความลับเบื้องหลังของมันได้ไม่ยาก
ราวเค่อหนึ่ง เฉินซีจึงเข้าใจความลึกล้ำแห่งเคล็ดมหาจุติทั้งหมดแล้ว
เขาจึงไม่ลังเลและเริ่มบ่มเพาะวิชานี้ทันที พลังชีวิตภายในร่างส่งเสียงครืน ๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนปราณเซียนให้กลายเป็นปราณเป็นตาย จากนั้นจึงโคจรหมุนเวียนไปตามจุดชีพจรและเส้นปราณทั้งหลายในร่าง…
ครืน!
เหมือนกับคลื่นน้ำเย็นและหินหลอมเหลวกำลังซัดเข้ามาพร้อมกันอยู่ในร่าง หนึ่งเย็น หนึ่งร้อน หนึ่งให้ชีวิต หนึ่งเป็นความตาย เหมือนขาวกับดำ ปรับเปลี่ยนเวียนกันไปตามหลักแห่งความเป็นตาย
เฉินซีสังเกตเห็นโดยไวว่าปราณเซียนของเขามีกระแสพลังของยมโลกแฝงอยู่ด้วย มันทั้งหนาแน่น เย็นยะเยือก บริสุทธิ์ ล้ำลึก และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย เมื่อพลังนี้มาบรรจบกันในแดนฮุ่นตุ้น มันก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจขึ้นทันที!
เดิมทีแดนฮุ่นตุ้นของเขานั้นสว่างจ้า งดงาม และเป็นโลกที่สงบสุขยิ่ง หากแต่ตอนนี้เมื่อปราณเซียนที่อาบไปด้วยปราณยมโลกหลั่งไหลเข้ามา ทั้งฟ้าดินพลันเต็มไปด้วยอสนีบาตคลั่ง พายุซัดกระหน่ำ เสียงลมพายุหวีดหวิว คล้ายกับตกอยู่ในความโกลาหล เหมือนกำลังสร้างโลกขึ้นใหม่
เปรี๊ยะ!
ราวกับว่าสายฟ้าที่ซัดลงมาได้แยกความโกลาหลออกเป็นสองส่วนจนผืนพสุธาแยกเป็นรูขนาดใหญ่
ภายในรอยแยกมืดสนิทมองไม่เห็นก้น สะพานหินโบราณ ทะเลโคลนแห่งความทุกข์ยาก ภูตผีปีศาจ และปรากฏการณ์แปลกประหลาดน่าพิศวงทั้งหลายสามารถเห็นได้อย่างเลือนรางในพื้นที่แห่งนั้น
“ยมโลก! ข้าเข้าใจแล้ว!”
“แดนฮุ่นตุ้นสอดคล้องกับโลกภายนอก สะท้อนถึงสวรรค์และโลก ความเป็นและความตาย เป็นหลักการของการเวียนว่ายตายเกิดในโลก ดังนั้นการสร้างยมโลกขึ้นมาจึงสามารถทำให้ทุกชีวิตเข้าสู่วัฏจักรการเกิดและตายได้!”
“อีกทั้งเมื่อทุกสิ่งอย่างเข้าสู่วัฏจักรนี้และดำเนินต่อไปในแต่ละวัน นี่แหละคือความล้ำลึกที่แท้จริงของจักรวาล!”
ทันใดนั้น ความเข้าใจทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาในใจเฉินซี
แดนฮุ่นตุ้นภายในร่างของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ย่ำรุ่งไปจนพลบค่ำสลับกันไป เปลี่ยนวันเป็นคืน หมุนกาลเวลาให้เดินผ่าน เกิดเป็นสี่ฤดูกาลขึ้นมา ทุกสิ่งอย่างเกิดความเปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตภายในนั้นเข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดและความตาย
ความตายไม่ใช่จุดจบ การกำเนิดถือเป็นจุดเริ่มต้น
เหมือนกับใบไม้ที่ปลิดปลิวกลับคืนสู่รากเหง้า แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้ผุดขึ้นบนผืนดิน
ทั้งหมดนี้มาจากปราณยมโลกภายในแดนฮุ่นตุ้น!
มหาเต๋ายังไม่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถเติมเต็มให้มันสมบูรณ์ได้ เส้นทางแห่งความเป็นอมตะและใต้พิภพล้วนแล้วแต่กลับคืนสู่มหาเต๋า… ในระหว่างที่ทำสมาธิและสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังภายในร่าง เฉินซีก็จับความเข้าใจบางอย่างของมหาเต๋าแห่งโลกได้ เป็นความรู้สึกคล้ายกับสามารถมองทะลุผ่านความเงียบสงัดของทุกสิ่งอย่าง เหมือนหยั่งรู้แก่นแท้ของโลกได้
ก๊อก! ก๊อก!
เป็นจังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงก๊อกดังออกมาจากสวนด้านนอก ไม่นานฝีเท้าของเป้ยหลิงก็ดังมาจากด้านนอกประตู “คุณชาย คุณชายชุยหมิงส่งคนมาเชิญท่านให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่เขาตระเตรียมขึ้นในห้องโถงใหญ่ในจวน”
เฉินซีจึงออกจากการทำสมาธิ มุมปากเผยรอยยิ้มขบขัน เป้ยหลิงเข้าถึงบทบาทรวดเร็วเสียจริง ทำทีเป็นสาวใช้ที่ทำตามหน้าที่ตนอย่างขะมักเขม้น
…
ห้องโถงใหญ่จวนเจ้าเมืองถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟจนสว่าง ทั่วทั้งโถงงดงามตายิ่ง
เมื่อเฉินซีมาถึง ชุยชิงหนิง กู่เทียนและคนอื่น ๆ ก็มาถึงกันนานแล้ว พวกเขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะ
เจ้าเมืองเมืองผาทมิฬ ญาติผู้พี่คนที่หกของชุยชิงหนิง ซึ่งมีนามว่าชุยหมิงกำลังนั่งอยู่บนเบาะนั่งตำแหน่งหัวโต๊ะ พูดคุยกับชุยชิงหนิงที่นั่งอยู่ทางด้านข้างด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ไม่มีแขกอื่นอยู่อีก ดังนั้นบรรยากาศจึงค่อนข้างผ่อนคลาย
ฟึ่บ!
แต่เฉินซีก็ต้องตกใจ เพราะทันทีที่เป้ยหลิงเดินเข้าห้องโถงมา ทุกสายตาพลันเคลื่อนมามองเขาพร้อมเพรียงกัน และต่างมีสีหน้าท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ! นี่คงจะเป็นน้องเฉินซีสินะ รีบมานั่งเร็ว” ชุยหมิงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาว ๆ มาหาชายหนุ่ม เขาต้อนรับเฉินซีอย่างอบอุ่น
ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะกลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาอยู่แค่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น ในขณะที่ชุยหมิงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าเมืองผาทมิฬ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายทักทายและต้อนรับเฉินซีก่อน พอมีมารยาทอันน่าสงสัยเช่นนี้ จะไม่ให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจได้หรือ?
“ขอบคุณคุณชายชุยมาก” เฉินซีระงับความคิดของตัวเองไว้แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“น้องเฉินช่วยชิงหนิงไว้ นับเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลชุยของข้า หวังว่าน้องเฉินจะไม่ทำเหมือนเราเป็นคนนอก เราต้องขออภัยด้วยหากข้าเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดีในด้านใด” ชุยหมิงหัวเราะเสียงเบิกบานใจ หลังจากเฉินซีนั่งลงแล้วจึงกลับที่ตนเอง เผยให้เห็นถึงมารยาทงดงามและความเป็นกันเองที่มอบให้อีกฝ่าย
หากไม่ต้องคำนึงว่าชุยหมิงมีตัวตนเป็นใคร เท่านี้ก็มากพอให้เฉินซีมองอีกฝ่ายในแง่ดี เพราะชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชุยหมิงไม่ได้แสร้งทำ แต่มีความจริงใจอย่างแท้จริง
และที่น่าเอ่ยถึงอย่างยิ่งก็คือ ที่นั่งของเฉินซีอยู่เยื้องไปทางหัวโต๊ะมากกว่าที่นั่งของกู่เทียนหรือคนอื่น ๆ เสียอีก ทั้งยังเท่าเทียมกับที่นั่งของชุยชิงหนิง ซึ่งนี่คือมารยาทต่อแขกผู้มีเกียรตินั่นเอง
…สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าชุยหมิงตั้งใจจะแสดงความซาบซึ้งต่อเฉินซีในงานเลี้ยง เพราะเฉินซีช่วยชีวิตชุยชิงหนิงไว้!
อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของญาติผู้น้องนามว่าชุยชิงหนิงในใจชุยหมิงได้เป็นอย่างดี
“ช่างเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราเสียจริง คุณชายชุยหมิงคงไม่โกรธหากข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญกระมัง? ฮ่า ๆ!” หลังจากคนรับใช้นำอาหารและเหล้ามาจัดวางบนโต๊ะแล้ว ชุยหมิงเพิ่งจะยกจอกสุราขึ้นคล้ายกับกำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นดังมาไกลจากทางด้านนอกห้องโถง เป็นเสียงกังวานดั่งระฆังก็ไม่ปาน
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ชุยหมิงพลันหน้าเปลี่ยนสี ลดมือที่ชูจอกสุราลง ก่อนจะส่งสายตาเฉียบคมและเยือกเย็นมองออกไป