บทที่ 954 ปารมิตาจุติลงมายังโลก
บทที่ 954 ปารมิตาจุติลงมายังโลก
ผลปารมิตามีสีแดงสด พวกมันมีขนาดเท่าไข่นกพิราบ และมีอำนาจมหาเต๋าเคลือบบนผิวของพวกมัน ซึ่งถักทอเข้าด้วยกันราวกับประกายสายฟ้าสีแดงเข้มที่ไหลไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เฉินซีเอื้อมมือคว้ามันมาหนึ่งผล ก่อนจะสัมผัสได้ถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาจำนวนมากที่ประดังประเดเข้ามา มันทั้งบริสุทธิ์และน่าหลงใหล อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมล้ำลึกของเต๋าออกมา
“ไอ้หนู เจ้ากล้าดียังไง! รีบปล่อยข้าซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” ทันใดนั้น เสียงคำรามได้ดังขึ้นจากข้างในผลปารมิตา และเฉินซีสามารถมองเห็นคนตัวเล็กที่สวมมงกุฎทรงสูงกับเสื้อผ้าโบราณยืนอยู่ในผลปารมิตาลูกนั้น
ชายหนุ่มประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าผลปารมิตาจะมีสติปัญญาถึงขนาดก่อรูปเป็นตัวคนได้
แต่ชายหนุ่มก็ยังกลืนมันลงไปโดยไม่สนใจวาจาของอีกฝ่าย
ครืน!
กระแสของมหาเต๋าที่ทรงพลังได้เปลี่ยนเป็นกระแสพลังที่เผาผลาญวิญญาณของเขา เฉินซีสังเกตพบว่าความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาของเขานั้นค่อย ๆ เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว!
ในขณะเดียวกัน ความเข้าใจต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของชายหนุ่ม
มันเป็นความรู้ความเข้าใจรวมถึงแก่นแท้ของเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา ซึ่งมีเพียงแต่ต้องทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเท่านั้น เขาจึงจะสามารถใช้พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาได้
ในขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ เฉินซีดูจะสังเกตเห็นเส้นทางที่สว่างไสวด้วยไฟซึ่งเชื่อมต่อกับทั้งสามภพ และมันถูกปกคลุมด้วยดอกปารมิตาสีแดงสดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนลุกเป็นไฟ
เส้นทางนี้มีอยู่ในทั่วทุกซอกทุกมุมของทั้งสามภพ ตราบใดที่ยังเป็นสถานที่ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ มันก็จะถูกทำให้สว่างไสวด้วยเปลวไฟของอีกฟากหนึ่ง แต่ความสว่างไสวที่เปล่งออกมาจากมัน ดูราวสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็ไม่อาจพบเห็นมันได้
โดยเฉพาะในขณะที่แสงจางลงและสิ่งมีชีวิตกำลังจะล้มตาย วิญญาณของพวกเขาจะถูกชักนำโดยดอกปารมิตาไปสู่เส้นทางที่ส่องสว่างด้วยไฟและนำทางไปสู่ยมโลก…
มันเป็นเหมือนศูนย์รวมคำสั่งของยมโลก ซึ่งยังคงรักษากระบวนการนำพาวิญญาณเข้าสู่วัฏจักรของการเกิดใหม่ มันทั้งลึกล้ำและน่าเกรงขาม อนุญาตให้ผู้วายชนม์ได้มีสถานที่พักผ่อนหรือกลับชาติมาเกิดใหม่ได้
การนำทาง!
ถ้าไร้การนำทาง แล้วผู้วายชนม์จะหาทางกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างไร?
นี่คือความลึกล้ำของปารมิตา มันอนุญาตให้ผู้วายชนม์ได้ไปถึงอีกฟากหนึ่ง แทนที่จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน มันเป็นตัวแทนของกฎระเบียบที่เรียบง่ายที่สุด เป็นธรรมชาติ และยุติธรรม
เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจของเขา และไม่ได้รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผันผ่านไป
สามวันต่อมา…
หลังจากเฉินซีได้กินผลปารมิตาผลที่สิบสองเข้าไป ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็อาบไล้ไปด้วยเปลวเพลิงที่ดูคล้ายกับกลีบดอกไม้ และพวกมันก็กระพืออยู่รอบตัว
ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังผันผวนที่ลึกล้ำและลี้ลับของเต๋าก็แผ่ขยายออกไป
ทันใดนั้น มวลหมู่ดอกปารมิตาอันหนาแน่นซึ่งปกคลุมไปทั่วช่องเขาพระราหู ก็เริ่มแกว่งไกวในเวลาเดียวกัน
พวกมันเป็นเหมือนดวงประทีปมากมายที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนที่สักการะด้วยความจริงใจ และพวกมันกำลังโห่ร้องด้วยความยินดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนท้องฟ้า เส้นทางที่ดูราวกับแสงสวรรค์ได้พาดผ่านลงมา เส้นทางนี้ซึ่งเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกล้ำออกมามีสีแดงเพลิงและดูเหมือนว่ามันกำลังลุกไหม้
“ท้องฟ้าสว่างด้วยเปลวไฟ ปารมิตากำลังจุติลงมายังโลก!”
“สวรรค์! มีคนหยั่งรู้ความลึกล้ำของปารมิตาจนบรรลุอย่างถ่องแท้แล้ว!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!? นั่นเป็นหนึ่งในสามสุดยอดเต๋ารู้แจ้งของยมโลกเรา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงจักรพรรดิยมโลกเท่านั้นที่บรรลุจนถ่องแท้ ทำให้เขาสามารถบัญญัติกฎแห่งปารมิตา และบรรลุตำแหน่งสูงสุดได้”
“น่าอัศจรรย์ยิ่ง! ช่างน่าทึ่งอย่างแท้จริง! มันเป็นดั่งปาฏิหาริย์!”
ภายในช่องเขาพระราหู มีผู้บ่มเพาะมากมายได้มาเยือนอยู่ทุกวัน เพื่อต้องการออกค้นหาดอกปารมิตา หลังจากเห็นปรากฏการณ์นี้ คนทั้งหมดต่างอุทานด้วยความตกใจไม่รู้จบ ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นการมาถึงของปาฏิหาริย์
ในเวลาเดียวกัน ญาณสัมผัสที่น่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จำนวนมากมายได้กวาดมาจากทุกทิศทุกทาง และพวกเขาก็ค้นหาทั่วทั้งช่องเขาราหูเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมามือเปล่า ทำได้แต่ถอนญาณสัมผัสออกไป
“สามารถบรรลุในปารมิตาอย่างถ่องแท้ นับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ตัวตนในยมโลกที่สามารถบรรลุถึงสิ่งนี้ได้จากการบ่มเพาะ หายากพอ ๆ กับขนวิหคอมตะและเขากิเลน” หม้อใบจิ๋วหยุดส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ หลังจากญาณสัมผัสที่น่าเกรงขามเหล่านั้นหายไป ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นฝีมือของหม้อใบจิ๋วนี่เอง ที่ช่วยให้เฉินซีสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับจากญาณสัมผัสที่น่าเกรงขามเหล่านั้น
แต่เฉินซีหาได้รู้เรื่องเหล่านี้ไม่
ชายหนุ่มสัมผัสได้เพียงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่าง หลังจากที่หยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาจนถ่องแท้แล้ว และด้วยการแผ่ญาณสัมผัสออกไป เฉินซีก็สามารถรับรู้ถึงความผันผวนของกฎฟ้าดินในยมโลกได้อย่างราง ๆ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของมหาเต๋าแห่งปารมิตา
ในทำนองเดียวกัน หลังจากเขาผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้ ความแข็งแกร่งของเฉินซีก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับประสบการณ์และความเข้าใจของเขาก็แตกต่างไปจากเดิมลิบลับ
น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บภายในยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สามารถทราบได้ชั่วคราวว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากเท่าใด
“สิบวัน! ข้าจะฟื้นฟูพลังสูงสุดได้ในอีกสิบวัน ในเวลานั้น ตราบใดที่ข้าไม่พบผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์หรือสูงกว่านั้น ความแข็งแกร่งของข้าก็เพียงพอที่จะกวาดล้างไปทั่วยมโลก” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ในขณะที่เขาค่อย ๆ สงบความตื่นเต้นในใจ
ปัง!
ในขณะนี้ ยันต์ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ในร่าง จู่ ๆ ก็ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ และในเวลาเดียวกัน เสียงหนึ่งได้ดังก้องอยู่ในโสตของเฉินซี
“นายน้อย รีบมาช่วยพวกเราเร็วเข้า!”
นี่คือเสียงของเป้ยหลิง อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความไม่สบายใจ
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นประกายสายฟ้าพลันสว่างวาบในดวงตาของเขา ในชั่วพริบตาต่อมา ชายหนุ่มได้ทะยานขึ้นไปในท้องฟ้าและหายวับไปในพริบตา
ยันต์นี้เป็นของที่เขาให้ไว้กับเป้ยหลิง ยามที่ชายหนุ่มมายังช่องเขาพระราหู และได้บอกแก่นางว่า จงทำลายมัน หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น แล้วเขาจะรีบกลับไปในทันที
สำหรับความรับผิดชอบที่เฉินซีมอบหมายให้แก่นางก็คือการปกป้องชุยชิงหนิง และเมื่อยันต์แผ่นนี้ถูกทำลาย มันย่อมหมายความว่าศัตรูมีพลังที่แข็งแกร่ง …อย่างน้อยที่สุด พวกมันก็มีอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่หรืออาจสูงกว่านั้น มิฉะนั้น เป้ยหลิงจะไม่รบกวนเขาเป็นอันขาด
…
ณ เมืองราหู เหนือท้องฟ้าบนเขารกร้างห่างออกไปสองพันห้าร้อยลี้
หญิงสาวที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มตัวหลวมถูกกลุ่มคนรายล้อมอยู่ตรงกลาง
เส้นผมที่งดงามนางเป็นเหมือนน้ำตกที่สยายลงมาถึงบั้นเอว ในขณะที่ใบหน้าของหญิงสาวนั้นเย็นชาและสวยงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งนางก็ไม่ใช่ใครอื่นคือเป้ยหลิงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายของหญิงสาวดูยุ่งเหยิงอยู่ในขณะนี้ ยิ่งกว่านั้น เสื้อผ้าของนางยังมีรอยเปื้อนเลือดเล็กน้อย คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันแน่น ในขณะที่เผยให้เห็นความกระวนกระวายและความไม่สบายใจเล็กน้อย
ในฝั่งตรงข้าม มีคนประมาณแปดคนล้อมรอบนางไว้ พวกมันทั้งหมดเผยสีหน้าอาฆาต กลิ่นอายที่น่าเกรงขาม และร่างกายของพวกเขาก็ได้ปลดปล่อยปราณเซียนที่ผันผวนอย่างน่าสะพรึงกลัวออกมา พวกเขาย่อมเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอย่างแน่นอน!
ยิ่งกว่านั้น จากลักษณะท่าทางและการแต่งกายของคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากกองกำลังเดียวกัน!
โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ เขาเป็นเด็กชายที่สูงเพียงสี่ฉื่อ!
คนผู้นี้สวมชุดนักพรตเต๋าสีแดงเพลิง มีผิวขาวหยกราวกับทารกและผมขาวดั่งหิมะ อีกทั้งขณะที่เจ้าตัวกะพริบตา มันกลับปราศจากความไร้เดียงสาเยี่ยงเด็กน้อย และมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่มากด้วยประสบการณ์แทน
“แม่โฉมงาม ไยเจ้าถึงพยายามหนีอีกต่อไปเล่า? การที่เห็นเจ้าเหนื่อยหอบจนเหงื่อชโลมกายเช่นนี้ ทำให้หัวใจของพี่ใหญ่เจ็บปวดจริง ๆ” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่ข้าง ๆ เด็กชายผมขาว ลูบคางของตนอย่างไม่ใส่ใจ และแสยะยิ้มขณะที่กล่าว
เป้ยหลิงขมวดคิ้ว นางเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ให้ความสนใจอีกฝ่าย เอาแต่จ้องเขม็งไปที่เด็กชายผมขาวแทน เพราะในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเด็กชายผมขาวคนนี้เท่านั้นที่เป็นภัยคุกคามต่อนางมากที่สุด
กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของเขา ทำให้หญิงสาวรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง จากการคาดคะเนของนาง การบ่มเพาะของเขาอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ด!
นางนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุใดพวกเขาถึงส่งตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมาเพียงเพื่อจับตัวชุยชิงหนิง ถ้าไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายและหลบหนีได้ทันเวลา นางคงเกือบจะถูกขังอยู่ภายในเมืองราหูไปแล้ว
แต่ช่างโชคร้าย แม้ว่านางจะหนีออกจากเมืองได้ แต่เป้ยหลิงก็ยังถูกพวกเขาหยุดไว้…
“เจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์หญิงจากดินแดนอ่างโลหิต ซึ่งเป็นโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีที่บรรลุเต๋ากระมัง?” เด็กชายผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงใสซื่อ อย่างไรก็ตาม… สิ่งนี้กลับยิ่งขับเน้นความรู้สึกที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
เป้ยหลิงยังคงนิ่งเงียบ นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับวิธีจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า
“โพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีหรือ?”
ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ สว่างวาบ แม้ความงามของเป้ยหลิงจะไม่สามารถทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาสั่นคลอนได้ แต่เมื่อพบว่านางเป็นเศษเสี้ยวโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผี ดวงจิตแห่งเต๋าของผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ก็พลันลุกโชนด้วยความปรารถนา พร้อมกับเผยสีหน้าละโมบออกมา
“จงมอบคุณหนูของตระกูลข้ามาซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เด็กชายผมขาวกล่าวขึ้น “แต่ข้าต้องการให้เจ้ามาเป็นนางบำเรอและภาชนะบ่มเพาะเพื่อสกัดพลังหยิน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถรอดชีวิตได้ มิฉะนั้น ข้าจะขัดเกลาเจ้าเดี๋ยวนี้!”
รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนเด็ก เช่นเดียวกับน้ำเสียง แต่คนผู้นี้กลับกล่าวถึงความต้องการที่จะรับเป้ยหลิงเป็นนางบำเรอ ซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างมาก อีกทั้งยังชวนขบขัน แต่เมื่ออีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง …แม้มันจะดูน่าขัน ทว่ามันก็ไม่น่าอภิรมย์อีกต่อไป!
อย่างน้อยที่สุด เป้ยหลิงก็ไม่สามารถหัวเราะได้ เพราะนางตระหนักได้ว่า เมื่ออีกฝ่ายกล้ากล่าวเช่นนี้ คนผู้นี้ย่อมสามารถทำมันให้สำเร็จได้ และนี่ไม่ใช่การโอ้อวด เพราะเขามีความแข็งแกร่งที่จะกล่าวเช่นนี้ได้จริง ๆ
ดังนั้นไม่ว่าในใจของนางจะเดือดดาลเพียงใด แต่นางก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับสิ่งนี้
“ฮ่า ๆ! แม่โฉมงาม การที่อาจารย์ลุงชุยหรูอิ๋นของข้าชื่นชอบในตัวเจ้าก็นับว่าเป็นวาสนาครั้งใหญ่แล้ว รีบมอบคุณหนูของตระกูลข้ามาซะ แล้วกลับไปพร้อมกับอาจารย์ลุง มันย่อมดีกว่าที่จะกลายเป็นผีพเนจรที่ไร้คนช่วยเหลือ ใช่หรือไม่?” ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีท่าทางเหลาะแหละกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา
“อย่าได้คาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยเหลือเจ้า หากตระกูลชุยของข้าต้องการจับใครสักคน แม้แต่มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็ไม่กล้าขัดขวางเรา ถ้าเขาอยู่ที่นี่!”
“เร็วเข้า! ข้าจะนับถึงสาม ถ้าตอนนั้นเจ้ายังไม่ตกลง ก็อย่าหาว่าเราไร้ความปรานี!”
คนอื่น ๆ ต่างพูดจาถากถางอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของเป้ยหลิงซีดลงทันที นางฝืนกัดฟันและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังก้องออกมา “พวกเจ้าไม่เพียงจะก่อปัญหาในดินแดนของข้าเท่านั้น แต่ยังบังอาจหาว่าข้าไม่กล้าหยุดพวกเจ้า พวกเด็กน้อยบัดซบจากกรมราชทัณฑ์ช่างโอหังนัก!”
น้ำเสียงนี้ทั้งเย็นเยียบ ทุ้มต่ำ และไร้ความกังวล แต่เมื่อมันลอดผ่านหูของทุกคน มันก็ไม่ต่างจากเสียงของฟ้าผ่า ซึ่งทำให้พวกเขาตกใจจนหน้าซีด ในขณะที่ร่างกายก็แข็งทื่อไปหมด
แม้แต่คิ้วของเด็กชายผมขาวก็ยังขมวดแน่น สีหน้าของเขาหนักอึ้งราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก!”
ใครบางคนที่กล้ากล่าวเช่นนี้ เห็นทีคงมีเพียงมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกที่ควบคุมภูมิภาคนี้เท่านั้น!
โผละ!
ทันใดนั้น ร่างกายของหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็แข็งทื่อ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เกิดฝนเลือดโปรยปรายลงมา ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนมองไม่เห็นเลยว่าใครเป็นคนทำสิ่งนี้!
“ภัยพิบัติมาจากปาก นี่คือการลงโทษของเจ้า” เสียงทุ้มต่ำดังก้องอีกครั้ง
เฮือก!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่คาดฝันนี้ ทำให้กระแสความหนาวเย็นหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของทุกคนอย่างสุดจะพรรณนา แม้ว่าพวกเขาจะมีชื่อเสียงในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อาจบรรยายได้ เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลที่เป็นตำนานและยิ่งใหญ่อย่างมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก!
แม้แต่เป้ยหลิงก็ยังตกตะลึง เพราะวิธีการสังหารที่มิอาจมองเห็นนั้น เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่า ‘ไม่ธรรมดา’!
“หรือว่า…จะเป็นมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกจริง ๆ?”