บทที่ 956 แม่น้ำลืมเลือน
บทที่ 956 แม่น้ำลืมเลือน
เจ็ดวันต่อมา
ณ เมืองราหู
ภายในลานของเรือนหลังหนึ่ง
เป้ยหลิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากการบ่มเพาะ ดวงตากระจ่างใสของนางทอประกายแวววาวด้วยแสงหลากสีประหนึ่งแก้วเล่นไฟ
นางกำลังจะบรรลุ!
การที่กินผลปารมิตาเข้าไปสี่ผล ทำให้หญิงสาวบรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาขอบเขตขั้นสูงระดับเก้า เรียกได้ว่านางอยู่ห่างจากขอบเขตสมบูรณ์เพียงสามขั้นเท่านั้น
เรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่านั้นก็คือ ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่นางได้บ่มเพาะนี้ มันยังส่งผลให้ความแข็งแกร่งของหญิงสาวบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าอีกด้วย!
เนื่องจากนางเป็นโพธิจิตแห่งจักรพรรดิภูตผีที่บรรลุเต๋า นางจึงไม่ต้องเผชิญทัณฑ์สวรรค์ในระหว่างการบ่มเพาะเฉกเช่นผู้บ่มเพาะของเผ่าปรภพคนอื่น ๆ
แต่ถึงกระนั้นเส้นทางการบ่มเพาะนี้ก็มีอุปสรรคบางประการ หญิงสาวต้องใช้ความพยายามและระยะเวลาจำนวนมากไปกับการบรรลุในแต่ระดับ มันจึงย่อมยากมากเป็นพิเศษ
เป้ยหลิงรู้ดีถึงเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ หากพูดกันตามตรง นางก็เป็นเสมือนร่างอวตารของจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลิน ซึ่งตัวจักรพรรดิภูติผีเซิ่งหลินเองนั้นก็เคยประสบกับทัณฑ์ต่าง ๆ นานัปการตลอดเส้นทางการบ่มเพาะในยุคบรรพกาล ก่อนที่จะบรรลุมหาเต๋าจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งสามภพ
ดังนั้นในฐานะโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลิน นางจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ในแต่ละระดับอีกต่อไป
พูดง่าย ๆ คือเป้ยหลิงเป็นเหมือนเศษเสี้ยวพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลิน แม้ความแข็งแกร่งของนางจะไม่น่าเกรงขามเท่าจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินในอดีต อีกทั้งความทรงจำก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในพันส่วนของที่เคยประสบพบพาน ทว่าตราบใดที่หญิงสาวยังคงมุ่งมั่นบ่มเพาะต่อไปเช่นนี้ นางก็หวังว่าในสักวันหนึ่งจะสามารถฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ที่จักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินเคยมีในอดีตได้!
เป้ยหลิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ‘ในที่สุดข้าก็มาถึงขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า! จากความแข็งแกร่งของข้าในยามนี้ ข้าน่าจะรับมือกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้ายังสามารถฝึกเคล็ดวิชาจ้าวปรภพอมตะได้แล้ว หากข้าสามารถฝึกมันได้สำเร็จ ก็จะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ขัดเกลาหรือกลืนกินข้าไปได้…
เคล็ดวิชาจ้าวปรภพอมตะ!
สิ่งตกทอดที่จักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินใช้สร้างชื่อเสียงของตนให้เลื่องลือไปทั่วโลกา ผู้ใดที่สามารถบ่มเพาะเคล็ดวิชาดังกล่าวได้สำเร็จ ร่างกายของคนผู้นั้นจะกลายเป็นดวงจิตยมโลก ไร้ตายไร้สูญ กอปรไปด้วยเส้นใยแห่งดวงจิตจำนวนกว่าสามร้อยหกสิบล้านเส้น!
แม้ว่าคนผู้นั้นจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตราบใดที่ยังหลงเหลือสายใยแห่งดวงจิตอยู่แม้นเพียงเสี้ยวเดียว ก็สามารถก่อร่างสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ ประหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในโลกตราบชั่วนิรันดร์ น่าเกรงขามมากทีเดียว
เช่นเดียวกับเป้ยหลิงซึ่งถูกสร้างขึ้นจากดวงจิตของจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่จักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินนั้นได้บ่มเพาะจิตวิญญาณของตนจนถึงขอบเขตโพธิญาณที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์มาก่อนแล้ว
โดยสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับวิถีพุทธ ขอบเขตโพธิญาณนั้นถือเป็นขั้นสมบูรณ์แบบของมหาเต๋า และยังเป็นขอบเขตระดับสูงซึ่งบริสุทธิ์ปราศจากกรรมมัวหมอง ในแดนพุทธภูมิ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถบรรลุขอบเขตนี้ได้มักจะได้รับการขนานนามด้วยความเคารพว่าพระสัพพัญญูและตถาคต!
เวลาผ่านมาเจ็ดวันแล้ว มันเป็นวันที่สิบที่กู่เทียนได้จากไป… เป้ยหลิงหยัดกายลุกพลางครุ่นคิดเล็กน้อย นางเพียงแต่ลังเลใจว่าตัวเองควรจะไปที่ฐานลับของตระกูลชุยเพื่อตรวจสอบดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ หญิงสาวก็เห็นเฉินซีผลักประตูและเดินเข้ามาด้านใน
หืม? เมื่อเป้ยหลิงสบตากับเฉินซีโดยไม่ทันตั้งตัว นางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ความตกใจฉายชัดผ่านดวงตาใสกระจ่าง
ใบหน้าของเขาหล่อเหลา รูปร่างเองก็สูงใหญ่สง่างาม แม้แต่กิริยาท่าทางก็สมบูรณ์แบบ… จริงอยู่ที่เฉินซียังคงเป็นเฉินซีคนเดิม ทว่าระดับการบ่มเพาะของเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
“ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด!” เป้ยหลิงหลุดปากตะโกนออกมาอย่างเผลอตัว
นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นน่าเกรงขามประหนึ่งฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ กลิ่นอายที่เปล่งประกายออกมาจากตัวเขาย่อมเป็นสิ่งที่จะได้รับก็ต่อเมื่อสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์เซียงเถาได้สำเร็จเท่านั้น และมันยังให้สัมผัสที่เหมือนกับหุบเหวอันหนาแน่นไปด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์!
เพียงแค่มองจากระยะไกลก็ทำให้นางรู้สึกยำเกรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับว่ากำลังได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิผู้มากบารมี
“ก่อนหน้านี้ข้าบาดเจ็บหนัก นี่ก็เพิ่งจะฟื้นพลังขึ้นมาเท่านั้น” เฉินซีตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้ม
เป้ยหลิงสูดหายใจเข้าจนสุดปอดเพื่อระงับความตกใจ “ไม่แปลกใจเลยที่พลังในการต่อสู้ของเจ้าแข็งแกร่งมาก ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าคือยอดราชันแห่งขอบเขตเซียนปฐพี”
พูดจบ หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะมองประเมินเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายนางไม่ใคร่อยากจะเชื่อว่าเฉินซีที่ยังดูอ่อนเยาว์จะมีระดับการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
“พี่เฉินซี” ตอนนั้นเอง ชุยชิงหนิงได้เดินเข้ามาเช่นกัน
ใบหน้าเยาว์วัยของชุยชิงหนิงซีดเผือด คิ้วของนางขมวดปมด้วยความกังวลที่ไม่อาจละวางไปได้ เด็กน้อยเดินเข้ามาหาเฉินซีก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “ท่านอากู่เทียนยังไม่กลับมาอีกหรือเจ้าคะ?”
“ไปกันเถอะ เราจะไปตรวจสอบกัน นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว ข้าเองก็สงสัยว่าพี่กู่จะกลับมาหรือยัง…” เฉินซีตบไหล่เด็กสาวเพื่อปลอบโยน
…
ณ ฐานลับในเมืองราหูของตระกูลชุย
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ จวนที่เคยเงียบสงบ บัดนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพังอันรกร้างกว้างใหญ่ไปแล้ว
ชุยชิงหนิงเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่น้ำตาไหลจากดวงตาวาวประกายไม่ขาดสาย
ไม่ว่านางจะใสซื่อบริสุทธิ์เพียงไร สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมไม่ยากที่จะเข้าใจว่า …กู่เทียนไม่อาจกลับมาได้แล้ว!
เป้ยหลิงโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้พลางลูบหัวของนางเบา ๆ ไม่มีคำพูดปลอบใจใด ๆ เพราะบางที การปล่อยให้ชุยชิงหนิงได้ระบายความเจ็บปวดในใจออกมาอย่างเต็มที่ก็เป็นวิธีปลอบโยนที่ดีที่สุดเช่นกัน
ทันใดนั้น วิญญาณยมโลกที่ล่องลอยไปมาก็หยุดลงตรงหน้าเฉินซีกะทันหัน “ข้าขอเรียนถามว่าท่านคือคุณชายเฉินซีใช่หรือไม่?” วิญญาณยมโลกที่ดูคล้ายกับข้ารับใช้ผู้นี้ทำความเคารพต่อเขา
เฉินซีชะงักก่อนจะพยักหน้ารับ “ไม่ผิด”
“ยอดเลย ข้าผู้น้อยรอท่านอยู่ที่นี่นานแล้ว นี่คือแผ่นหยกที่ผู้อาวุโสวางไว้ในศาลาสัพพัญญูของข้า ผู้อาวุโสท่านนั้นกำชับข้าว่าหากเขาไม่สามารถกลับมาได้ทันเวลา ก็ให้ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ท่านขอรับ”
วิญญาณยมโลกหยิบเอาม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาคลี่ดู บนนั้นเป็นภาพเหมือนของเฉินซี อีกฝ่ายเปรียบเทียบชายหนุ่มกับรูปวาดในมืออยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าใช่เฉินซีเดียวกับที่ตนกำลังตามหา จากนั้นเจ้าตัวจึงนำแผ่นหยกสีดำออกมาจากห่อผ้าและส่งต่อให้แก่เฉินซีในทันที ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“โปรดรับสิ่งนี้ไปเถิดขอรับ คุณชาย ข้าขอตัวลา” เขาคำนับเฉินซีหนึ่งครั้งก่อนจะล่องลอยออกไป
ศาลาสัพพัญญู วิญญาณยมโลก แผ่นหยก… สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้เฉินซีสัมผัสได้รางๆ ว่าทั้งหมดนี้น่าจะเกิดจากความตั้งใจของกู่เทียน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เริ่มจดจ้องแผ่นหยกสีดำนั่นทันที
“น้องเฉินซี หากเจ้าได้รับแผ่นหยกนี้ แสดงว่าข้าคงไม่อาจกลับไปได้แล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลคุณหนูแทนข้าได้เป็นอย่างดี และส่งนางไปยังภูมิภาคราชหกวิถี…”
เห็นได้ชัดว่าแผ่นหยกนี้ถูกทิ้งไว้โดยกู่เทียน คล้ายว่าเขาตั้งใจจะสั่งเสีย
สถานที่หนึ่งถูกทำเครื่องหมายไว้ที่ส่วนท้ายของแผ่นหยก มันเป็นที่ที่เรียกว่าเรือนวิหคอมตะ ตามที่กู่เทียนได้เขียนเอาไว้ เฉินซีจะต้องพาตัวชุยชิงหนิงไปส่งที่เรือนวิหคอมตะเท่านั้น โดยหลังจากนั้นจะมีคนมารับตัวนางไปต่อ
“เรือนวิหคอมตะหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นจวนที่ญาติผู้พี่หกของข้าซื้อเอาไว้ นอกจากญาติผู้พี่หกแล้ว ก็มีเพียงท่านอากู่เทียนและข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้” ชุยชิงหนิงอธิบาย
ทันทีที่นางพูดจบ เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะถาม “พี่เฉินซี ท่านอากู่เทียนตายแล้วจริง ๆ น่ะหรือเจ้าคะ?”
เฉินซีจุกอกจนพูดไม่ออก
เขาไม่อาจโกหกเด็กน้อยที่เพิ่งจะอายุสิบเอ็ดสิบสองปีได้
ถึงอย่างนั้น ชุยชิงหนิงกลับไม่ได้เผยความโศกเศร้าออกมาอย่างที่เขาคาดคิดไว้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่หนักแน่น “พี่เฉินซีอย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไป”
น้ำเสียงของนางทั้งสงบนิ่งและอ่อนโยน ทว่ามันกลับทำให้หัวใจของเฉินซีปวดแปลบ เขารู้สึกได้ในทันทีว่าเด็กสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ได้กลายเป็นคนละคนไปอย่างสิ้นเชิง นางเหมือนคนไร้ความรู้สึกที่มโนสำนึกหลงเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าอันเยือกเย็น
เป้ยหลิงเองก็สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เช่นกัน “ชิงหนิง เจ้าตั้งใจจะทำอะไร…?” นางอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
ชุยชิงหนิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองไปยังเป้ยหลิงและเฉินซี นางเผยยิ้มบางที่มุมปากซึ่งชวนให้อกผวา “แน่นอนว่าต้องกลับจวนเจ้าค่ะ”
ความน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสานี้ มันทำให้เฉินซีรู้สึกได้ถึงลางไม่ดีบางอย่าง
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจเฉินซีนั้นยากจะอธิบายเป็นคำพูด มันคล้ายกับว่า หากชุยชิงหนิงยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวตนเดิมของนางจะถูกละทิ้งไปโดยสมบูรณ์ และนางจะกลายเป็นคนที่เขาไม่พึงปรารถนาจะให้นางเป็นเช่นนั้น
ทว่าไม่นาน เฉินซีก็ส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดแปลก ๆ นี้ออกไป
หลักจากนั้น เฉินซีได้แลกผลึกใต้พิภพจำนวนมากมาจากร้านค้าขนาดใหญ่ในเมืองราหู ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติพร้อมกับเป้ยหลิงและชุยชิงหนิง
ผลึกใต้พิภพก็เหมือนกับผลึกวิญญาณ พวกมันอุดมไปด้วยปราณยมโลกที่บริสุทธิ์
ผลึกใต้พิภพที่เฉินซีแลกมานี้เป็นผลึกระดับราชัน เพียงแค่ก้อนเดียวก็มีมูลค่าเทียบเท่ากับศิลาอมตะแล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหลายคนในช่องเขาพระราหู และได้รวมรวมของล้ำค่าจากคนพวกนั้นมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ ชายหนุ่มต้องการเปลี่ยนของที่ยึดมาได้ทั้งหมดให้เป็นผลึกใต้พิภพระดับราชัน ครั้นเมื่อแลกมาแล้วก็พบว่ามันมีทั้งหมดแปดพันก้อนด้วยกัน
จำนวนผลึกใต้พิภพระดับราชันเท่านี้เพียงพอที่จะซื้อสมบัติอมตะทั่วไปมากกว่าสิบชิ้น มันเป็นสิ่งที่มีมูลค่าจนน่าใจหาย แน่นอนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่มีทางจะสั่งสมได้มากมายเช่นนี้แม้จะพยายามขวนขวายทั้งชีวิตก็ตาม
ขวับ!
หลังจากใช้ผลึกใต้พิภพระดับราชันไปทั้งหมดสามร้อยก้อน ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองราหูก็เริ่มสว่างวาบและพาเฉินซีรวมถึงคนอื่น ๆ ไปจากที่แห่งนั้น
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้มีพลังในการเคลื่อนย้ายระดับภูมิภาค มันส่งพวกเขาจากภูมิภาคน้ำพุยมโลกไปยังภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือนโดยตรง ทั้งสองภูมิภาคนี้มีระยะห่างกันสุดหยั่งคะเน ทำให้อาจจะต้องใช้เวลาราวสองสามวันในการเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
ด้วยเหตุนี้ การเดินทางดังกล่าวจึงต้องให้ผลึกใต้พิภพระดับราชันในราคาที่แพงหูฉี่ สำหรับผู้เดินทางคนเดียวนั้น ต้องใช้ผลึกใต้พิภพระดับราชันมากถึงหนึ่งร้อยก้อน แน่นอนว่านั่นมีมูลค่าพอ ๆ กับสมบัติอมตะเลยทีเดียว
…
ภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือน
ดินแดนอันไพศาลไร้ขอบเขตนี้ถูกปกครองโดยโถงยายเฒ่าเมิ่ง โดยมีแม่น้ำลืมเลือน แม่น้ำลึกลับที่เลื่องชื่อแห่งภพทั้งสามหลั่งไหลอยู่ภายใน!
แม่น้ำลืมเลือนสายนี้มีต้นกำเนิดมาจากส่วนลึกของยมโลก มันไหลมาบรรจบกัน ณ ทะเลทุกข์
ตามตำนานเล่าขานกันว่า สุราเซียนชั้นยอดของโถงยายเฒ่าเมิ่ง หรือก็คือน้ำแกงลืมเลือนนั้นถูกกลั่นมาจากน้ำในแม่น้ำลืมเลือนที่ผสมกับวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ โดยมันมีฤทธิ์ในการลบล้างความทรงจำและเอาชนะเภทภัยทั้งปวงได้ นับว่าน่าอัศจรรย์ไม่น้อย
อีกหนึ่งสิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือทะเลทุกข์ อันที่จริงแล้วมันหาได้อยู่ในภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือนไม่ หากอยู่ในภูมิภาคราชหกวิถี
เช่นเดียวกับแม่น้ำลืมเลือน ทะเลทุกข์นั้นเป็นการดำรงอยู่ลึกลับที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภพทั้งสาม มันอยู่ภายใต้การปกครองของวิถีนรก มีหน้าที่ปราบปรามวิญญาณพยาบาทและวิญญาณชั่วร้ายมากมาย เรียกได้ว่าชื่อเสียงของมันเลื่องลือไม่ต่างกับธารโลหิตยมโลก พวกมันเป็นเหมือนสถานที่ซึ่งเป็นแดนต้องห้าม
ฟิ้ว!
แสงเจิดจ้าพลันสว่างวาบก่อนที่เฉินซี และคนอื่น ๆ จะปรากฏตัวทางด้านนอกของเมืองโบราณแห่งหนึ่ง
“ที่นี่น่าจะเป็นเมืองสาละของภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือน ไปกันเถอะ ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว พวกเราจะเข้าไปใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติข้างในเมือง และคงจะไปถึงภูมิภาคราชหกวิถีภายในวันนี้” เฉินซีสำรวจพื้นที่และรีบตัดสินใจโดยเร็ว
เป้ยหลิงกับชุยชิงหนิงไม่คัดค้าน
ทว่าทันใดนั้นก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เสียงเล็กแหลมหนึ่งแผดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน “หลังจากปล่อยให้ข้ารอเก้ออยู่ตั้งเจ็ดวันเต็ม ข้าคงจะเสียดายน่าดูหากจะต้องปล่อยให้พวกเจ้าหลุดมือไป”
สิ้นเสียง คนกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในอากาศ พวกเขาตั้งใจจะหยุดเฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ให้เข้าไปในเมืองพร้อมกับปิดทางหนีของอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน
คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มดังกล่าวคือเด็กชายผมสีขาวโพลนที่มีความสูงเพียงสามหรือสี่ฉื่อกว่า ๆ เท่านั้น ท่าทางของเขาดูประหลาดแต่กลับโดดเด่นไม่น้อย และสิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ คนผู้นี้คือชุยหรูอิ๋นแห่งตระกูลชุย!
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่คิดจะรามือจากการไล่ล่าและตามจับตัวชุยชิงหนิงแต่อย่างใด