บทที่ 957 แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ
บทที่ 957 แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ
ชุยหรูอิ๋นและคนอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขายืนอยู่กลางอากาศอย่างภาคภูมิ ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาพลุ่งพล่านไปด้วยปราณเซียนมหาศาล และมันยังมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ราวกับพระอาทิตย์ที่แผดเผาอย่างน่าอัศจรรย์
สถานที่แห่งนี้อยู่ทางด้านนอกประตูเมืองสาละ มีผู้บ่มเพาะเผ่าปรภพและวิญญาณยมโลกเดินเข้าออกอยู่ในเมืองบ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เห็นฉากนี้ ทุกคนต่างหวาดกลัวจนแตกกระเจิงไปทั่วทุกทิศทุกทาง ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป
นี่คือกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มาอย่างน่ากลัว และเมื่อการต่อสู้เกิดขึ้น พลังของพวกเขาก็เพียงพอที่จะปกคลุมสภาพแวดล้อมทั้งหมด ดังนั้นผู้ใดจะกล้ารั้งอยู่เพื่อเฝ้าดูกัน?
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ พื้นที่บริเวณนี้ได้กลายเป็นที่ว่างเปล่าและเงียบสงัด
เป้ยหลิงขมวดคิ้วในขณะที่จิตใจของนางรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเจ็ดวันก่อน ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนได้เข้าร่วมกลุ่มของชุยหรูอิ๋น และมีจำนวนทั้งหมดประมาณสิบสามคน
กองกำลังดังกล่าวเพียงพอที่จะกวาดล้างกองกำลังมากมายในยมโลกได้แล้ว!
“ปกป้องชุยชิงหนิงให้ดี ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” เสียงของเฉินซีดังก้องอยู่ในหูของนาง ทำให้เป้ยหลิงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนจะตระหนักได้ว่า เฉินซีบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดแล้วไม่ใช่หรือ?
แต่เฉินซีในยามนี้กลับแผ่กลิ่นอายของขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งออกมา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เป้ยหลิงรู้สึกงุนงง…
“หรือว่าเขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อตั้งใจที่จะทำให้ศัตรูสับสน?”
รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นที่มุมปากของนางอย่างแผ่วเบาเมื่อตระหนึกถึงเรื่องนี้
“ไอ้สารเลวพวกนี้มีท่าทีหวาดกลัวต่อมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกที่พบกันเมื่อครั้งก่อน แต่พวกมันก็ยังตามมาไล่ล่าเราอีก พวกมันเป็นเหมือนภูตผีที่ไม่ยอมปล่อยวางความคิดชั่วร้ายจริง ๆ”
ด้วยการโบกมือของนาง เป้ยหลิงได้เก็บชุยชิงหนิงไว้ในที่สมบัติคลังมิติของนาง
“เมื่อครั้งล่าสุดที่เจ้าสามารถหลุดรอดจากหายนะได้ ก็เป็นเพราะมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกช่วยเหลือเอาไว้ แต่ครั้งนี้จะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้อีก” เด็กชายผมขาวชุยหรูอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าอำมหิต “นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าได้ติดต่อคนของโถงยายเฒ่าเมิ่งแล้ว แม้ฟ้าดินจะถล่มที่นี่ ก็จะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเราได้!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เปล่งเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปทางเฉินซีกับเป้ยหลิง ดูราวกับกำลังมองดูคู่รักอาภัพ นอกจากนี้ สายตาของพวกเขายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและการเยาะเย้ย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการจะลงมือในทันที แต่พวกเขาเต็มใจที่จะรั้งรอ
เพราะเปลวเพลิงแห่งโทสะที่มืดมนกำลังลุกโชนอยู่ในใจของพวกเขาทุกคน! ตอนนั้นพวกเขาถูกมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกบังคับให้ถอนตัวออกจากภูมิภาคน้ำพุยมโลกราวกับสุนัขที่หุบหาง จากนั้นยังต้องมาจ่ายในราคาที่สูงมากเพื่อให้โถงยายเฒ่าเมิ่งไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะเฝ้าอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึงเจ็ดวันพอรอดักจับ ดังนั้นพวกเขาจะรีบฆ่าเฉินซีและเป้ยหลิงในทันทีได้อย่างไร?
การทำเช่นนั้นจะทำให้พวกเฉินซีไปสบายเกินไป
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจจะสวมบทบาทแมวหยอกหนู ก่อนจะค่อย ๆ ระบายความโกรธในใจออกไปทีละนิด ด้วยการทรมาน!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอดทนอดกลั้น มองพวกเฉินซีเป็นดั่งเนื้อปลาบนเขียง และลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
เป้ยหลิงดูจะไม่ได้สังเกตเห็น สีหน้าของนางเย็นชา ในขณะที่หญิงสาวดูเหมือนจะไม่ได้สนใจต่อเรื่องเหล่านี้
ส่วนเฉินซีนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและความรู้สึกเยาะเย้ยในใจของพวกมัน แต่เขาก็ไม่ได้นำพาเช่นกัน
ท่าทางที่เย็นชาและไม่แยแสของคนทั้งสอง ทำให้ชุยหรูอิ๋นและคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด “ไอ้สารเลวกับนังนี่ยังจะใจเย็นได้ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!?”
“หรือว่าพวกมันจะไม่กลัวความตาย?”
“พวกมันไม่คิดจะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาหรือ?”
“นี่พวกมันจะยอมเสียสละตนเองอย่างกล้าหาญ เพียงเพื่ออุดมการณ์อันโง่เขลาของพวกมันหรือ?”
“เหตุใดพวกมันถึงไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย?”
“ไฉนถึงแตกต่างจากข้าที่คาดหวังไว้มาก?”
“ไอสารเลว! คุกเข่าลงแล้วร้องขอความเมตตาซะ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งอดไม่ได้อีกต่อไป จึงคำรามออกมาด้วยเสียงที่น่ากลัว
“ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้มันโง่เง่าสิ้นดี! บัดซบ! พวกมันไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย เราควรจับกุมตัวพวกมันซะ แล้วค่อย ๆ ทรมานมันช้า ๆ ทำให้พวกมันอับอายไปทีละนิด ข้าจำได้ว่าพี่สี่โปรดปราณในชายหนุ่มมาก ดังนั้นเราจะมอบเจ้าเด็กนี่ให้กับเขา” ผู้เยี่ยมยุทธ์อีกคนหัวเราะแผ่วเบาซึ่งแฝงด้วยความชั่วร้าย
“น่าชิงชังยิ่งนัก! ข้าชอบผู้ชายหล่อและแข็งแกร่งเท่านั้น รูปร่างหน้าตาของเจ้าเด็กนี้ค่อนข้างหล่อเหลา แต่ข้าสงสัยว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งพอหรือไม่ ข้าเกรงว่าเขาจะทนรับไม่ได้ ทำให้ข้าค้างคาเสียเปล่า ๆ” หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีท่าทางสำอาง และแต้มชาดสีแดงบนริมฝีปาก ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ายวน และในขณะที่กล่าว แววตาหยาดเยิ้มคู่นั้นของเจ้าตัวได้กวาดมองไปยังเฉินซี
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือ ‘พี่สี่’ ที่ชื่นชอบในตัวบุรุษรูปงาม
“พี่สี่ ในเมื่อท่านไม่ชอบมัน งั้นข้าจะฆ่าเจ้าเด็กนั่นซะ!” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย้าหยอก
“กล้าดียังไง!” พี่สี่จ้องมองในขณะที่กล่าวด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ซึ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะมอบเจ้าเด็กนี้ให้พี่สี่ได้เพลิดเพลิน ส่วนนังนั่ง…”
“เราจะมอบนางให้ท่านชุยหรูอิ๋นอย่างแน่นอน!”
“ตกลง เราจะทำตามนี้!”
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาทั้งหมดก็มองไปทางเฉินซีและเป้ยหลิงด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นยินดี สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมกระหายเลือด ในขณะที่พวกเขาดูจะกระเหี้ยนกระหือที่จะลงมือ
เหตุผลที่พวกเขายังไม่ลงมือ ก็เพราะเด็กชายผมขาวชุยหรูอิ๋นยังไม่ได้กล่าวอะไร
เห็นได้ชัดว่าชุยหรูอิ๋นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับท่าทีเช่นนั้น เจ้าตัวกระแอมไอในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังเฉินซีกับเป้ยหลิงด้วยสายตาที่ลึกล้ำ เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง
ทว่าเฉินซีกลับไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้กล่าว และเขาก็ชักยันต์ศัสตราออกมาจนเกิดเสียงดังชิ้ง “พวกเจ้าพล่ามวาจาไร้สาระกันเสร็จแล้วหรือไม่? ข้าจะได้ให้พวกเจ้าตายอย่างสงบเสียที”
น้ำเสียงของเขาสงบและไร้ความกังวล แต่มันกลับทำให้ชุยหรูอิ๋นอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก “ตายอย่างสงบหรือ? ฮ่า ๆ! น้องสี่ ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าต้อง ‘จัดให้หนัก’ เสียเล่า ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยกโทษให้แน่!”
พี่สี่หรือน้องสี่คนนั้นหัวเราะเสียงเบา กำนิ้วที่เรียวบางของเขา ในขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงตุ้งติ้ง “ใต้เท้า ท่านยังไม่เชื่อในความสามารถของข้าหรือ?”
ทุกคนรู้สึกถึงคลื่นความหนาวเย็นที่ทิ่มแทงออกมา
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากันแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดแรงกระตุ้นที่อยากจะฆ่าใครสักคนเป็นการด่วน เพราะบุรุษที่ดูไม่ชายไม่หญิงคนนี้ ช่างน่าขยะแขยงอย่างแท้จริง!
เฉินซีไม่รอช้าอีกต่อไป เขาจึงเงื้อกระบี่ที่อยู่ในมือขึ้น ก่อนจะฟันลงมาอย่างไปดุดัน และเป้าหมายของกระบี่เขาย่อมคือ ชายที่ถูกเรียกว่าพี่สี่
“ไอ้หยา! พ่อหนุ่มคนนี้โกรธเสียแล้ว ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว”
ร่างของพี่สี่วูบวาบและหลบไปทางด้านข้าง แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะดูเอื่อยเฉื่อย แต่ที่จริงมันรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ในขณะที่ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นพี่สี่ผู้นี้จึงหลีกเลี่ยงปราณกระบี่ของเฉินซีได้ในทันที
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะเขาได้ฟื้นคืนพลังในระดับสูงสุดแล้ว แต่บุรุษที่ไม่ชายไม่หญิงคนนี้กลับสามารถหลบการโจมตีของตนได้ ดังนั้นพลังของชายผู้นี้ถือได้ว่าไม่ต่ำทราม!
น่าเสียดาย ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ข้าง ๆ พี่สี่คนนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนเขา เมื่อปราณกระบี่ฟาดฟันลงมา ปราณเซียนในร่างกายของผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นก็พลุ่งพล่านอย่างเกรี้ยวกราด และได้ชกหมัดออกไปด้วยความตั้งใจที่จะอาศัยพลังของตนเอง เพื่อระเบิดปราณกระบี่นี้ออกไปให้พ้นทาง
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เกิดเสียงโครมครามดังก้องกังวาน ในขณะที่ร่างกายของคนผู้นั้นถูกฟันเป็นสองส่วนด้วยปราณกระบี่ ซึ่งก่อนที่จะขาดใจตาย ความตื่นเต้นและความกระหายเลือดยังคงตราตรึงอยู่บนใบหน้าคนผู้นั้น ทำให้แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
ตู้ม!
ร่างของอีกฝ่ายระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เลือดพุ่งกระฉูดดั่งน้ำพุ
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ชุยหรูอิ๋นและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กคนนี้ที่ดูเหมือนจะตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง จะมีพลังในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้
“เขาแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ!” ดวงตาของเป้ยหลิงที่อยู่ใกล้เคียงส่องประกายแวววาวที่งดงามอย่างหาได้ยากออกมา
“ไอ้หยา! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! แต่ข้าล่ะชอบบุรุษที่เผ็ดร้อนเช่นนี้จริง ๆ!” ชายที่เรียกว่าพี่สี่ฟาดฝ่ามือพร้อมกับร้องออกมาด้วยเสียงอันแหลมปรี๊ด เขาดูเหมือนกับหญิงสาวที่หลงใหลในความรัก และไม่รู้ตัวว่าสีหน้าของทุกคนรวมถึงชุยหรูอิ๋นนั้นมืดมนและหนักหน่วงอยู่ในขณะนี้
ในขณะเดียวกัน มุมปากของเฉินซีอดไม่ได้ที่จะกระตุกเพราะคำพูดเหล่านี้ ซึ่งเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ตัวเองจะต้องทรมานและสับสังหารคนที่ไม่ชายไม่หญิงผู้นี้อย่างแน่นอน!
“เจ้าเด็กนี่จงใจเก็บงำพลัง มันเป็นตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ด … ไม่สิ! มันอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดต่างหาก!?”
ดวงตาของชุยหรูอิ๋นหรี่ลง ในขณะที่มีแสงสีเขียวสลัวส่องแวววับอยู่ในดวงตาคู่นั้น ซึ่งขับเน้นให้พวกมันน่ากลัวอย่างยิ่ง
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา หัวใจของทุกคนก็กระตุบวูบ ในขณะที่ความหวาดกลัวได้กลืนกินหัวใจของพวกเขา
น่าเสียดายที่การรับรู้ของพวกเขาช้าเกินไป!
ฟิ้ว!
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีพลันลงมืออย่างดุเดือด รูปร่างของเขาเหมือนมังกรทะยานออกจากรังนอน อาศัยยันต์ศัสตราในมือเพื่อสังหารศัตรูทั้งหมด!
ก่อนหน้านี้เฉินซีได้เก็บงำพลังเอาไว้ เพื่อทำให้ศัตรูสับสนงุนงงและกำจัดพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว ทำให้ยามที่พวกศัตรูพบข้อเท็จจริงนี้และต้องการจะหนี …ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว!
เนื่องจากศัตรูตระหนักถึงได้พลังที่แท้จริงของเขาแล้วในตอนนี้ ดังนั้นเขาจะยั้งมือได้อย่างไร? เฉินซีจึงระเบิดพลังของขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดทันที ทำให้ยันต์ศัสตราทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้า บังเกิดเป็นปราณกระบี่ขนาดมหึมาที่มีพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวและไร้ขอบเขต เข้าฟาดฟันอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือหากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดเป็นยอดราชัน เฉินซีก็เป็นราชันในหมู่ราชันอย่างแท้จริง มันถึงขนาดที่สามารถอธิบายได้ว่า ในบรรดาขอบเขตที่ต่ำกว่าเซียนสวรรค์ เขานั้นคือผู้ไร้เทียมทาน!
เนื่องจากเมื่อนานมาแล้วในภพมนุษย์ เขาสามารถสังหารร่างอวตารเซียนทองคำอย่างปิงซื่อเทียนได้ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พลังที่ชายหนุ่มมีอยู่นั้นน่ากลัวถึงเพียงใด
ฉัวะ!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนไม่สามารถหลบได้ทันเวลา พวกเขาถูกกระบี่ของเฉินซีฟันจนกลายเป็นสายฝนเลือด ซึ่งไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ร้องโหยหวน
“บัดซบ! ร่วมมือกันและสังหารมันซะ!” ชุยหรูอิ๋นตะโกนสั่งอย่างโกรธเกรี้ยว ซึ่งในขณะเดียวกัน มือของเขาก็ถือขวานมหึมาคู่หนึ่งที่มีการแกะสลักลวดลายไว้ ก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะสว่างวาบ ในขณะที่ขวานถูกยกสูง หมายจามใส่ศีรษะของเฉินซี!
ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด ความแข็งแกร่งของชุยหรูอิ๋นนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาโจมตีด้วยท่าไม้ตาย ในขณะที่อำนาจทำลายซึ่งปลดปล่อยออกมาจากขวานก็เป็นเหมือนงูเหลือมที่อาบไล้ด้วยแสงสีดำสนิทที่พลุ่งพล่าน และพวกมันได้ก่อตัวเป็นวิญญาณชั่วร้ายจำนวนมหาศาล มันมีทั้งวิญญาณพยาบาท อสูร และปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวอื่น ๆ อีกมากมายที่เปล่งเสียงร้องโหยหวนและพร้อมจะกลืนกินดวงวิญญาณได้ทุกเมื่อ
สวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่นี้ดูจะกลายเป็นขุมนรกของเหล่าวิญญาณชั่วร้าย
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะไล่ตามอย่างไรก็ตาม ชุยหรูอิ๋นก็ไม่สามารถตามความเร็วของเฉินซีได้ และชายหนุ่มได้ฉวยโอกาสนี้เพื่อฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์อีกสองสามคนแทน ซึ่งแทบทุกครั้งที่เฉินซีฟันกระบี่ออกไป เขาต้องเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์กลับมาทุกคราไป!
จากท่าทางที่ไม่ธรรมดาของชายหนุ่ม อาจกล่าวได้ว่า เฉินซีสามารถปลิดชีวิตผู้เยี่ยมยุทธ์ได้ในทุก ๆ สิบก้าว!
ก่อนที่พลังต่อสู้ของเฉินซีจะมีอยู่ในระดับนี้ เขาก็ไร้เทียมทานเหนือผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันแล้ว ดังนั้นการทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ตระกูลชุยเหล่านี้ ที่ไม่ได้บรรลุแม้แต่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด จึงง่ายดายเหมือนฆ่าไก่ไปโดยปริยาย
ในช่วงเวลาสั้น ๆ มันได้เหลือเพียงชุยหรูอิ๋นและชายที่เรียกว่าพี่สี่เท่านั้น
สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือ ชายที่เรียกว่าพี่สี่ผู้นี้ไม่เหมือนกับคนอื่น เพราะเขาไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกหรือโกรธแค้นใด ๆ เมื่อเห็นสหายถูกสังหาร แต่กลับแสดงท่าทีตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ พร้อมทั้งส่งสายตาเย้ายวนไปทางเฉินซีแทน
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าพี่สี่ผู้นี้กลับสามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำมากที่สุดในบรรดาผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง เคล็ดวิชาตัวเบาของเขาทำให้ตัวคนดูเหมือนวิญญาณร้ายที่ไร้ตัวตน จนสามารถหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของเฉินซีหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขาเป็นคนที่ไม่สามารถประเมินค่าต่ำเกินไปได้
“ข้าจะฆ่านังนี่ ถ้าเจ้ายังไม่หยุดมือ!” ชุยหรูอิ๋นหยุดไล่ตามเฉินซี และเขาก็มาถึงตรงหน้าของเป้ยหลิงแทน จากนั้นจึงยื่นออกไปและคว้าเข้าที่คอของเป้ยหลิง เพื่อที่จะขู่เฉินซีด้วยชีวิตของหญิงสาว