บทที่ 962 ตะลุยเข่นฆ่าเข้าเมือง
บทที่ 962 ตะลุยเข่นฆ่าเข้าเมือง
ตงอวิ๋นไห่ตั้งใจจะซื้อเวลาและสืบหาภูมิหลังของคนเหล่านี้ แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนาของเขากลับไม่เป็นผล
เพราะเฉินซีไม่เหลือบแลตงอวิ๋นไห่เลยสักนิด เขาเพียงจับมือชุยชิงหนิงขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้สนใจฟ้าดินหรือสิ่งอื่นใด ดังนั้นเขาจะสนใจตงอวิ๋นไห่และคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
ฆ่า!
เป้ยหลิงระเบิดพลังอย่างรุนแรง ร่างที่งดงามและไม่ธรรมดาของนางล่องลอยราวกับลูกไฟสีน้ำเงินเข้มที่บานสะพรั่ง เปล่งประกายดาบแหลมคมนับไม่ถ้วนออกมาราวกับจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงิน จากนั้นพวกมันก็พุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ไม่ว่าจะกำแพงเมืองหรือพื้นดิน ต่างเต็มไปด้วยรอยแยกที่ถูกเปิดออกทั่วทุกหนแห่ง ในขณะที่หินโดยรอบแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้ตงอวิ๋นไห่และคนอื่น ๆ ถูกบังคับให้ล่าถอยคราแล้วคราเล่า
แม้ว่านางจะลงมือเพียงลำพัง แต่ก็มากพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้ว่าคนกลุ่มนี้ทรงพลังเพียงใด!
ฟิ้ว!
ประกายดาบสีน้ำเงินเข้มสว่างวาบเหมือนลำแสงที่สาดส่องอย่างฉับพลัน ทำให้หัวโชกเลือดหัวหนึ่งลอยขึ้นสู่อากาศ ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนเสียชีวิตอย่างน่าสังเวช
ตงอวิ๋นไห่กับคนอื่น ๆ ทั้งตกตะลึงและโกรธจัด อีกทั้งยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงสาวเพียงคนเดียว กลับสามารถไล่ต้อนพวกเขาจนไม่มีจังหวะให้สู้กลับได้!
ประกายดาบสีน้ำเงินเข้มนั่นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง พวกมันมีรูปร่างดั่งพระจันทร์เสี้ยว และดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถฟันทุกสิ่งในโลกให้ขาดออกจากกันได้
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งไม่สามารถหลบได้ทัน ทำให้ร่างของเขาถูกฟันออกเป็นสองท่อนจากช่วงเอว ลำไส้และอวัยวะภายในหลากสีผสมปนเปกับเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น ส่งกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูกจนน่าสะอิดสะเอียน
ในขณะนี้ ตงอวิ๋นไห่และสองคนที่เหลือต่างรู้สึกหวาดกลัวในที่สุด พวกเขาต่างรู้สึกถึงภัยคุกคามคร่าชีวิต การบ่มเพาะของหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าเท่านั้น ทว่าพลังต่อสู้ของนางกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดเลย!
“ข้าจำได้แล้ว! เด็กสาวคนนั้นเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูลคนก่อน… ชุยชิงหนิง! นางมาที่นี่เพื่อทำลายพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ!” สีหน้าของหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว เมื่อเขาจำตัวตนของชุยชิงหนิงได้
แต่ยามเสียงนี้เพิ่งดังก้องออกไป ร่างของเจ้าตัวก็ถูกฟันเป็นสองส่วนด้วยประกายดาบสีน้ำเงินเข้มอันคมกริบ เสียชีวิต ณ ตรงนั้น
“หนี! รีบแจ้งผู้อาวุโสรองเร็วเข้า! สถานการณ์เลวร้ายแล้ว!!” ตงอวิ๋นไห่คำรามลั่นอย่างน่ากลัว ในขณะที่ร่างของเขาสว่างวาบและพุ่งตัวเข้าเมือง
เช่นเดียวกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เองก็ไม่คิดต่อต้านอีกต่อไป พวกเขาต่างหันหลังกลับ และพากันหลบหนีเอาชีวิตด้วยความหวาดกลัว
แต่ในเวลานี้เอง เฉินซีผู้ก้าวเดินไปข้างหน้าเงียบ ๆ มาตลอดได้เงยหน้าขึ้น จากนั้นสายฟ้าเย็นเยียบพลันวาบขึ้นในดวงตาของเขา
ในชั่วพริบตาต่อมา สนามพลังไร้รูปร่างได้ปกคลุมและผนึกบริเวณโดยรอบเอาไว้ ขณะที่ตงอวิ๋นไห่และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่นฝืนใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายห้วงมิติเอาชีวิตรอด แต่พวกเขากลับถูกกักขังอยู่กลางอากาศแทน
ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง… เคล็ดวิชามหากักขัง!
ตู้ม! ตู้ม!
เสียง ‘ตู้ม’ ที่ชัดเจนสองครั้งดังก้องออกมา ในขณะที่ห้วงมิติแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ร่างของตงอวิ๋นไห่และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ถูกเปลี่ยนเป็นฝนเลือดและเศษเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ร่วงหล่นสู่พื้น
การฆ่านั้นง่ายดายนัก
ในขณะนี้ เพียงแค่ความคิดของเฉินซี ก็สามารถใช้เคล็ดวิชาต่าง ๆ มากมายและนำมาสู่การทำลายล้างทุกสิ่ง ดังนั้นการจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าสองคน จึงไม่ต่างอะไรจากการบดขยี้มดสองตัวให้ตาย!
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ประตูทางเข้าเมืองภูษาไหมม่วงทางทิศตะวันออกก็ล่มสลาย กำแพงเมืองพังทลาย พื้นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดูราวกับหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของทวยเทพ
กองกำลังที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น!
ในขณะนี้ เฉินซีกำลังจับมือเด็กสาวและก้าวไปบนถนนสายที่ปูด้วยหินภายในเมือง รูปร่างของเขาดูไม่ธรรมดา ขณะที่เงาทอดยาวออกไปทางด้านหลังตามแสงแดดบนท้องนภา
แสงแดดส่องกระทบใบหน้าของชุยชิงหนิง แต่ใบหน้าของนางกลับไม่มีความกลัวหรือความตื่นเต้น มีเพียงความสงบนิ่งราวกับผิวน้ำเท่านั้น
ดวงตาของเด็กสาวทอประกายวาววับเมื่อนางแหงนหน้าขึ้นมองเฉินซี
เป้ยหลิงเดินอยู่เคียงข้างของเด็กสาว นางสวมชุดรัดรูปสีดำ มีใบหน้าเย็นชา และรูปร่างสง่างามซึ่งให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา
นี่จึงเป็นภาพที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ท่ามกลางประตูทางเข้าที่พังทลาย ถนนที่รกร้างว่างเปล่า และโลกที่เงียบสงัดจนแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยินเสียง มีคนสามคนกำลังเดินเคียงข้างกัน และดูจะตั้งใจต่อสู้กับโลกทั้งใบ
…
จวนตระกูลชุยตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองภูษาไหมม่วง มันครอบครองพื้นที่เหนือคณานับ มีทั้งศาลา ภูเขาจำลอง และทะเลสาบสีเขียว อีกทั้งยังมีภูเขาตั้งตระหง่านอยู่หลายลูก ซึ่งสะท้อนความลึกล้ำของจักรวาล ทำให้มันเปลี่ยนจวนตระกูลชุยทั้งหมดให้กลายเป็นสรวงสวรรค์
มีแท่นบวงสรวงโบราณที่สร้างจากหินปูนตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน พื้นผิวของแท่นบวงสรวงเต็มไปด้วยรอยกะดำกะด่าง และแผ่กลิ่นอายเก่าแก่ออกมาราวกับว่ามันมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
ที่ด้านหน้าของบวงสรวงมีจัตุรัสอันเรียบเนียนและสะอาดหมดจด ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้มากถึงหนึ่งหมื่นคน
พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษประจำปีจะถูกจัดขึ้นที่นี่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลชุยหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่มีสายเลือดของตระกูลชุยไหลเวียนอยู่ในร่างกาย พวกเขาทั้งหมดจะยืนเงียบ ๆ และสำรวม โดยยึดตามลำดับอาวุโสอยู่ที่หน้าแท่นบวงสรวง ซึ่งทุกหนทุกแห่งที่สายตากวาดผ่านไป ก็คือกลุ่มคนที่ยืนอยู่อย่างหนาแน่น พวกเขากำลังเผยกลิ่นอายที่ทั้งเคร่งขรึมและยิ่งใหญ่ออกมา
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าแท่นบวงสรวงล้วนเป็นคนระดับสูงของตระกูลชุย ซึ่งมีทั้งชายและหญิงในหมู่พวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็มีกลิ่นอายที่ลึกล้ำดุจเหวลึก หากเป็นที่โลกภายนอก พวกเขาก็จะกลายเป็นตัวตนน่าเกรงขามซึ่งสามารถยืนหยัดได้โดยลำพัง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาในเวลานี้ล้วนยืนอย่างเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน และไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมา
ท่ามกลางพวกเขา ผู้อาวุโสรองชุยฟางจวินยืนอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับจุดศูนย์กลางมากที่สุด และคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวก็ดูจืดจางราวกับหมู่ดาวที่รายล้อมดวงจันทร์ที่ทอแสงสว่างไสว ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อำนาจของชุยฟางจวินในตระกูลชุยนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่มีไม่กี่คนในแถวที่อยู่ใกล้กับแท่นบวงสรวงมากที่สุด ซึ่งไม่สอดคล้องกับฝูงชนที่อยู่โดยรอบ คนที่เป็นผู้นำคือชายวัยกลางคนที่สง่าผ่าเผย และรูปร่างหน้าตาของเขาก็คล้ายกับชุยหมิงมากถึงหกหรือเจ็ดส่วน ทว่าคิ้วของเจ้าตัวในเวลานี้กลับขมวดเข้าหากันแน่น และมีสีหน้าที่เศร้าหมองอย่างมาก
คนผู้นี้คือบิดาของชุยหมิง ผู้อาวุโสสามของตระกูลชุย ชุยฟางหู่!
หากกล่าวกันตามตรง พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสรองเสียด้วยซ้ำ แต่ตัวเขาไม่ได้สนใจอำนาจลาภยศ และสิ่งเดียวที่แสวงหาก็คือเต๋าแห่งการต่อสู้ จึงนับได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสังหารอันดับหนึ่งในตระกูลชุย!
“พิธีไหว้บรรพบุรุษกำลังจะเริ่มในอีกราวสองชั่วยามครึ่ง ท่านอาจารย์ลุงและเหล่าบรรพบุรุษที่บ่มเพาะอย่างสันโดษจะปรากฏตัวขึ้น หากชิงหนิงไม่กลับมาในตอนนั้น ข้าเกรงว่า…” เสียงหนึ่งดังก้องข้างหูของชุยฟางหู่ ซึ่งไม่ต้องหันหน้ากลับมามองก็รู้ว่าผู้พูดคือชุยฟางถู่ น้องชายคนสุดท้องของเขา
“ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน!”
ชุยฟางหู่กล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “แม้ว่านางจะยังเด็ก แต่ชิงหนิงก็มีนิสัยที่แน่วแน่นัก …ตราบใดที่นางกลับมาได้ ข้าก็อยากจะรู้ว่าพี่รองยังกล้ากระทำตามอำเภอใจหรือไม่!”
“แต่ตอนนี้เมืองภูษาไหมม่วงถูกปิดตาย ในขณะที่เราก็ถูกกักบริเวณในบ้านเช่นกัน แล้วชิงหนิงจะกลับมาได้อย่างไร?” ชุยฟางถู่ถอนหายใจพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ได้แต่รอดูว่าสวรรค์ยังเห็นแก่เราหรือไม่” ชุยฟางหู่หายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“อันที่จริง สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชุยฟางถู่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ข้ากังวลว่าพี่รองจะฉวยโอกาสนี้เพื่อ…กวาดล้างเราทุกคน!”
ชุยฟางหู่นิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
ชุยฟางถู่ตกตะลึง และเขากำลังจะกล่าวผ่านกระแสปราณเพื่อกล่าวบางสิ่ง
ทว่าในขณะนี้ ร่างหนึ่งได้วิ่งมาอย่างเร่งรีบและมาถึงตรงหน้าของผู้อาวุโสรองชุยฟางจวิน และไม่รู้ว่าร่างนั้นบอกอะไรกับชุยฟางจวิน แต่สีหน้าของอีกฝ่ายมืดมนลงในพริบตาต่อมา!
ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและเคร่งขรึม พวกเขาอดไม่ได้ที่จะงุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้
“เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น?”
หลังจากนั้น สีหน้าของชุยฟางจวินก็กลับมาสงบดังเดิม จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งแก่ผู้คนที่อยู่เคียงข้าง ก่อนที่ผู้อาวุโสฝ่ายในขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดจำนวนสองสามคนจะหันหลังกลับและจากไป
ทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหล
นี่คือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ดังนั้นเว้นแต่จะมีเหตุการณ์สำคัญไม่คาดฝันเกิดขึ้น มิฉะนั้นจะไม่มีใครออกไปโดยพลการก่อนที่งานจะสิ้นสุดลง เพราะนี่เป็นกฎที่กำหนดโดยบรรพบุรุษของตระกูลชุย
แต่ตอนนี้กลับมีผู้อาวุโสฝ่ายในสองสามคนที่ออกไปอย่างเร่งรีบ ดังนั้นนี่ไม่ได้หมายความว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหรือ?
“หืม? พี่สาม เจ้าคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับชิงหนิงหรือไม่” ดวงตาของชุยฟางถู่เป็นประกาย
สีหน้าของชุยฟางหู่ยังคงมืดมน ในขณะที่เขากล่าวว่า “คนที่เดินนำออกไปคือชุยเหลิ่งจง เขาปฏิบัติงานอยู่ในกรมราชทัณฑ์มาตลอด นอกจากนั้น คนอื่น ๆ ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเช่นกัน ทว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะใช้คนสำคัญขนาดนี้เพียงเพื่อขัดขวางชิงหนิงที่มีอายุสิบสองปี?”
ชุยฟางถู่ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขามืดลง
เพราะมันไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย! นี่คือเมืองภูษาไหมม่วง ที่แห่งนี้ควบคุมอย่างแน่นหนาในกำมือของผู้อาวุโสรอง อีกทั้งยังถูกปิดตาย แล้วตอนนี้ จู่ ๆ ผู้อาวุโสรองก็ได้ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจออกไป …ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจัดการกับชุยชิงหนิงอย่างนั้นหรือ? …นี่อีกฝ่ายเล่นใหญ่เกินไปหรือไม่?
“แต่บางทีก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน ยัยหนูนั่นไม่เคยประสบคราวเคราะห์เลยตลอดการเดินทาง ดังนั้นนางอาจได้รับความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์” น้ำเสียงของชุยฟางหู่เปลี่ยนไป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “แต่ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดีหากมีตัวแปรมากขึ้น …ยิ่งมีตัวแปรมากขึ้นเท่าไร โอกาสที่เราจะพลิกกลับมาชนะก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น!”
ชุยฟางถู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและถอนหายใจเบา ๆ “ข้าหวังเพียงว่าความขัดแย้งภายในครั้งนี้ จะไม่ทำลายรากฐานตระกูลชุยของเรา…”
ชุยฟางหู่ตบบ่าชุยฟางถู่เมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเขาก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
…
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และดวงอาทิตย์สีม่วงก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาใจกลางท้องฟ้า
เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม
พวกเขาไม่ได้มาสายเกินไป
ชายหนุ่มชำเลืองมองเด็กสาวข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “เมื่อการต่อสู้ปะทุขึ้น เจ้าจะไม่โทษข้าที่ทำร้ายครอบครัวและสหายของเจ้าใช่หรือไม่?”
ชุยชิงหนิงส่ายศีรษะของนาง “หัวใจข้าจะไม่เจ็บปวด แม้ว่าพี่เฉินซีจะฆ่าล้างพวกเขาทั้งหมดก็ตาม”
คำตอบนี้ทำให้เฉินซีตกตะลึง เขารู้ดีว่าชุยชิงหนิงเปลี่ยนไปจริง ๆ นางไม่ใช่เด็กสาวที่ใจดีและใสซื่อเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ครืนน!!
เป้ยหลิงเงื้อมือขึ้นโบกอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เกิดประกายดาบสีน้ำเงินเข้มสว่างวาบ หลังจากนั้น เสียงครวญครางอู้อี้ก็ดังขึ้นภายในเงามืดของอาคารที่อยู่ข้างถนน
“นี่เป็นชุดที่สิบสามแล้วตั้งแต่เราเข้ามาในเมือง น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของพวกมันยังด้อยเกินไปและไม่ต่างกับเศษขยะ การกระทำของพวกมันไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง ซึ่งไม่ได้ท้าทายเลยแม้แต่น้อย” เป้ยหลิงขมวดคิ้วงามเข้าด้วยกันและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลชุยที่จะทนเห็นคนของพวกมันเอาชีวิตมาทิ้งเป็นผักปลาได้?”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าคนที่เย็นชาอย่างเป้ยหลิงจะมีด้านที่บ้าคลั่งจริง ๆ เมื่อนางเข้าสู่สนามรบ
ชายหนุ่มกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าเขากลับเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ผู้เยี่ยมยุทธ์มาถึงแล้ว”
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงความว่างเปล่าที่ถูกฉีกออกจากกันพลันดังก้องออกมา หลังจากนั้น ร่างทรงพลังห้าร่างได้โผล่ออกมาจากรอยแยกในท้องฟ้า ร่างกายของพวกเขาทั้งหมดเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต และพลังศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ ทำให้คนทั้งห้าดูเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแผดเผา!
คิ้วของเป้ยหลิงขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างหมดหนทางในที่สุดว่า “ไม่ได้การ ข้าไม่ใช่คู่มือของพวกมัน”
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นก็ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ดูราวกับชายหนุ่มกำลังกล่าวเรื่องสุดแสนจะธรรมดาออกมา