บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 964 เผชิญหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 964 เผชิญหน้า

บทที่ 964 เผชิญหน้า

ตามกฎของตระกูลชุย ผู้นำตระกูลคนใหม่จะได้รับเลือกต่อหน้าคนทั้งตระกูล หลังจากที่พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จสิ้นลง

แต่ตอนนี้ พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ แต่ชุยฟางจวินก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวอย่างขวานผ่าซากเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลและการจัดการเรื่องราวภายในตระกูลทั้งหมด เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ตอนนี้ตกตะลึงเล็กน้อย และตกอยู่ในความเงียบงัน

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ผู้อาวุโสรองดำเนินการล่วงหน้า?’

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของทุกคน เนื่องจากทุกคนต่างรู้แน่ชัดว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลจะได้รับแต่งตั้งก็หลังจากพิธีไหว้บรรพบุรุษในวันนี้ นอกจากนี้ ตำแหน่งผู้นำตระกูลก็น่าจะตกเป็นของชุยฟางจวิน

แม้จะกระทำการล่วงหน้าอย่างกะทันหัน แต่ถ้ารวมกับที่ชุยเหลิ่งจงและคนอื่น ๆ ออกไปก่อนหน้านี้ มันจึงทำให้เหตุการณ์นี้ดูไม่ปกติ

จะต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีใครสามารถระบุได้

บรรยากาศกดดันและเงียบงันอย่างยิ่ง ไม่มีใครเอ่ยถามใด ๆ มุมปากของชุยฟางจวินเองก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และมันหายไปในพริบตาเมื่อเขาเห็นฉากนี้

ในช่วงเวลาต่อมา สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ในเมื่อไม่มีการคัดค้าน ดังนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าชุยฟางจวินจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล…”

“ข้าคัดค้าน!” ในขณะที่เขากล่าวยังไม่ทันจบ เสียงที่ทุ้มเหมือนฟ้าผ่าได้ดังก้องขึ้นมาทันที และมันเสียดหูมากท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบงันนี้

ขวับ!

สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างที่สูงสิบสองฉื่อ เปี่ยมด้วยพลังและไม่ธรรมดาที่ยืนอยู่แถวหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซึ่งเขาก็คือผู้อาวุโสสามของตระกูลชุย ชุยฟางหู่!

ทุกคนต่างมีสีหน้าเข้าใจทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ และดูเหมือนพวกเขาจะเดาได้ตั้งแต่ต้นว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาถึงกับบางคนส่ายศีรษะไปมา เพราะพวกเขาดูจะรู้แน่ชัดว่าต่อให้มีการคัดค้านก็คงไม่มีประโยชน์อันใด

ในทำนองเดียวกัน บางคนเผยสีหน้าเย็นชาออกมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นกองกำลังของผู้อาวุโสรอง และสายตาที่พวกเขาจดจ้องไปยังชุยฟางหู่ก็แสดงความเป็นปฏิปักษ์อยู่บ้าง

มีเพียงชุยฟางจวินเท่านั้นที่ยังคงรักษาสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ในขณะที่มองไปยังชุยฟางหู่อย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “น้องสาม ในเมื่อเจ้าคัดค้าน งั้นข้าขอถามเจ้า บุคคลใดในตระกูลชุยที่เจ้าคิดว่ามีคุณสมบัติสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเหมาะสมมากกว่าข้า?”

ชุยฟางหู่ยังคงเฉยเมยเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตามากมาย หรือบางทีเขาพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่างแล้ว ดังนั้นจึงดูสุขุมและเยือกเย็นมากแทน

“ใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลน่ะหรือ? ข้าคิดว่าพี่รองย่อมรู้ดีกว่าข้า” ชุยฟางหู่กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าแค่อยากจะถามท่าน ตามกฎของตระกูล ไม่ใช่ว่าผู้ที่มีสายเลือดแห่งการพิพากษาเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้นำตระกูลหรอกหรือ?”

ชุยฟางจวินดูจะคาดหวังว่าชุยฟางหู่ย่อมต้องกล่าวเช่นนี้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าและกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ถูกต้อง”

ทุกคนต่างตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้อาวุโสรองจะให้คำตอบเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหากดำเนินการตามกฎของตระกูลแล้ว เช่นนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้!

เสียงของชุยฟางหู่เข้มขึ้น ในขณะที่เขากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ชิงหนิงก็ควรดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูล เพราะมีเพียงนางเท่านั้นที่มีสายเลือดสอดคล้องกับกฎของตระกูล!”

คราวนี้ชุยฟางจวินกลับส่ายศีรษะและกล่าวว่า “น้องสาม เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ชิงหนิงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แม้ว่านางจะปกครองตระกูลชุย แต่นางจะควบคุมตระกูลชุยทั้งหมดด้วยอายุและความแข็งแกร่งของนางได้อย่างไร”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็ขึ้นเสียง “นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น! หากผู้คนรู้ว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลชุยของเราถูกมอบให้กับเด็กหญิงอายุสิบเอ็ดสิบสองปีแล้วละก็ ตระกูลชุยและกรมราชทัณฑ์ของข้าจะยืนหยัดอยู่ในยมโลกได้อย่างไรในภายภาคหน้า?!”

คิ้วของชุยฟางหู่ขมวดเข้าหากันแน่น ขณะที่เขากล่าวว่า “แม้นางจะยังเด็ก แต่นางก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ ด้วยพรสวรรค์ของชิงหนิง การที่นางจะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในอนาคตเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น หลังจากที่นางเข้าสู่ดินแดนเร้นลับในสุสานบรรพบุรุษ และได้รับมรดกจากท่านบรรพบุรุษของตระกูลเรา”

ชุยฟางจวินโบกมือและกล่าวว่า “น้องสาม เจ้าคิดผิดแล้ว สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ไม่อาจรอนางให้เติบใหญ่ได้แล้ว!”

เขาหันกลับมาและกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าสาบานกับสวรรค์ได้ว่า ตราบใดที่ข้าสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล ข้าจะนำเข็มทิศปรโลกซึ่งเป็นสมบัติเทวะของตระกูลเรากลับคืนมาภายในหนึ่งร้อยวันอย่างแน่นอน! ในเวลานั้น จะมีใครในโลกนี้ที่กล้าดูถูกกรมราชทัณฑ์อีกหรือไม่? จะมีกองกำลังใดที่กล้าจ้องมองตระกูลชุยของเราด้วยความละโมบอีกบ้าง?”

ทันทีที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นยินดี!

เป็นไปตามที่ชุยฟางจวินได้กล่าวไว้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ตระกูลชุยประสบกับความขัดแย้งภายในอย่างไม่รู้จบ และไม่ทราบข่าวคราวของเข็มทิศปรโลก ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุที่กรมราชทัณฑ์ต้องทนทุกข์ทรมาน ในขณะที่กองกำลังอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ในยมโลกล้วนกำลังจ้องมองมายังตระกูลชุยอย่างละโมบ

ในฐานะคนของตระกูลชุย พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างไร? ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินว่าชุยฟางจวินสัญญาอย่างจริงจังว่าเขาสามารถนำเข็มทิศปรโลกกลับคืนสู่ตระกูลได้ และสร้างกองกำลังของตระกูลชุยขึ้นมาใหม่ หัวใจของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชุยฟางหู่จึงเปิดปากของเขาและตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เขากลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงระลอกหนึ่ง

“ผู้อาวุโสสาม! ผู้อาวุโสรองกำลังคิดเพื่อประโยชน์ของตระกูล โปรดช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายด้วย”

“ท่านลุงสาม ตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวคราวของชิงหนิงที่แน่ชัด เหตุใดท่านถึงต้องโต้เถียงกับท่านลุงรองมากมายขนาดนี้?”

“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสสาม ท่านควรฟังผู้อาวุโสรอง สถานการณ์ของตระกูลชุยของเราย่ำแย่กว่าในอดีตมาก ท่านเต็มใจที่จะปล่อยให้สถานการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อไปอีกหรือ?”

คนในตระกูลชุยหลายคนได้กล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมชุยฟางหู่ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากลับสนับสนุนชุยฟางจวินอย่างเปิดเผย

ใบหน้าของชุยฟางหู่ยิ่งมืดมนเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองทุกคน ก่อนที่จะมองไปยังชุยฟางจวิน

‘ใช่แล้ว ชิงหนิงยังไม่กลับมาในตอนนี้ ข้าควรจะต่อต้านพี่รองไปจนจบหรือไม่? การกระทำของข้าถูกหรือผิดกันแน่?’

ชุยฟางหู่นิ่งเงียบไป และจิตใจของเขาก็ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด

ชุยฟางจวินอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย็นเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะก่อนกล่าวในใจเบา ๆ ว่า ‘น้องสามของข้าคนนี้ยังไร้ประสบการณ์เกินไป จะมีผู้ใดในตระกูลชุยที่สามารถเปรียบเทียบชั้นเชิงกับข้าได้บ้าง?’

เขาสูดหายใจเข้าลึกและตั้งสติให้สงบ เพราะนี่คือช่วงเวลาสำคัญ และตัวเขาจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้!

ในช่วงเวลาต่อมา ชุยฟางจวินได้ฟื้นคืนสู่ท่าทางที่สง่างามและเคร่งขรึม จากนั้นจึงกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน ดังนั้น…”

“ข้าคัดค้าน!” เขาถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

เสียงนี้ทำให้ใบหน้าของชุยฟางจวินมืดมน ในขณะที่ความโกรธฉายอยู่ในดวงตา ทว่าเมื่อกวาดตามองไปทั่ว เจ้าตัวก็ต้องตกตะลึง เนื่องจากไม่พบตัวคนกล่าว

“ดูเหมือนว่าจะมาจากนอกจวน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“นอกจวนหรือ?”

หัวใจของชุยฟางจวินกระตุกวูบ ในขณะที่เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคล เพราะจนถึงขณะนี้ ชุยเหลิ่งจงกับคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมา ทั้งยังไร้ซึ่งข่าวคราวใดจากพวกเขา!

ในทางกลับกัน คิ้วที่ขมวดแน่นของชุยฟางหู่ก็คลายลงทีละนิด เพราะเขาคุ้นเคยกับเสียงนี้ยิ่ง มันทั้งชัดเจน อ่อนเยาว์ และเงียบสงบ มันคือเสียงของชุยชิงหนิงอย่างแน่นอน!

“หรูซาน หรูหลิน หรูเฟิง และหรูหั่ว พวกเจ้าทั้งสี่จงไปดูว่าใครบังอาจมาสร้างปัญหาในตระกูลชุยของข้า!” ชุยฟางจวินตัดสินใจทันทีและสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ขอรับ!” ทั้งสี่คนต่างพุ่งตัวออกไป และทะยานไปยังระยะไกลอย่างรวดเร็ว

ชุยฟางจวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงกล่าวผ่านกระแสปราณด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“น้องห้า น้องหก เจ้าทั้งสองจงตามพวกเขาไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จงฆ่าโดยไม่ต้องแสดงความเมตตาทั้งสิ้น!”

น้องห้าของเขามีนามว่าชุยฟางเหิง ส่วนน้องหกมีนามว่าชุยฟางเล่ย พวกเขาเป็นมือขวาและมือซ้ายของชุยฟางจวิน ซึ่งทั้งคู่เป็นยอดราชันขอบเขตเซียนปฐพีที่ครอบครองสมบัติลับและพลังในการต่อสู้ที่น่าตกตะลึง

ทั้งสองพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แล้วพวกเขาก็จากไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

“ข้าจะไปดูด้วย” เปลือกตาของชุยฟางหู่อดไม่ได้ที่จะกระตุกเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็หันกลับด้วยความตั้งใจที่จะจากไป

“น้องสาม! ก็แค่หนอนแมลงตัวเล็ก ๆ เท่านั้น พวกมันไม่คู่ควรที่เจ้าจะลงมือ เพียงคอยอยู่ข้างหลังและช่วยข้าเป็นประธานในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษจะดีกว่า!” ขณะที่ชุยฟางจวินกล่าวคำเหล่านี้ ร่างสีดำก็ได้พุ่งเข้ามาขวางทางของชุยฟางหู่ไว้

ร่างนั้นคือชายชรารูปร่างผอมแห้งที่มีผมสีเขียวหยก เขาหลังค่อม มีไม้เท้าอยู่ในมือ และผอมจนมองเห็นกระดูกได้ ทำให้คนผู้นี้ดูราวกับจะถูกสายลมพัดปลิวหายไปได้ตลอดเวลา

แต่ใบหน้าของชุยฟางหู่กลับเปลี่ยนไปเมื่อเห็นชายชราผู้นี้

ชายชราผมสีเขียวหยกคนนี้มีนามว่าเหวินเซี่ยวเฟิง และเขาเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับเชิญของตระกูลชุย เป็นเศษเสี้ยวของไม้เนตรวิญญาณหยกนภาที่บรรลุเต๋า แม้ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้จะอยู่ที่เพียงแค่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด แต่เขาก็มีชีวิตอยู่มานานกว่าหนึ่งหมื่นปี ดังนั้นพลังของอีกฝ่ายจึงลึกล้ำจนน่าตกใจ

มีคำร่ำลือว่ากันว่า หากร่างกายของเขาไม่ใช่เศษเสี้ยวของไม้เนตรวิญญาณหยกนภาที่ยำเกรงต่อพลังของทัณฑ์สวรรค์ระลอกที่เก้ามากที่สุด เขาคงทะยานขึ้นสู่ภพเซียนไปหลายพันปีก่อนแล้ว

ดังนั้นชุยฟางหู่จึงทราบอย่างชัดเจนว่า แม้ว่าเหวินเซี่ยวเฟิงอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะขวางตัวเขาไว้ที่นี่ เหวินเซี่ยวเฟิงก็สามารถทำมันได้สำเร็จอย่างง่ายดาย

“ผู้อาวุโสเหวิน หากวันนี้ท่านไม่หลีกทาง ก็อย่าตำหนิข้าที่ไร้น้ำใจ!” ชุยฟางหู่ไม่กล้ารอช้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวทันที เช่นเดียวกับปราณเซียนซึ่งแผ่ออก เผยอำนาจอันองอาจกดดันรอบข้าง

ทุกคนพลันตกอยู่ในความโกลาหล เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น ทีแรกกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์รีบทะยานออกไปทางด้านนอกจวน จากนั้นผู้อาวุโสสามชุยฟางหู่ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะต่อสู้ ทำให้บรรยากาศที่เคร่งขรึมและตึงเครียดถูกขจัดออกไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังกลายเป็นบรรยากาศที่ดุเดือด ซึ่งการต่อสู้พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อขึ้นแทน

“น้องสาม!” ชุยฟางจวินขมวดคิ้วและตวาดว่า “เจ้าคิดจะทำอันใด!? อย่าได้สร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล!”

ในขณะที่กล่าว เจ้าตัวก็ได้โบกมือวูบหนึ่ง ทำให้ผู้อาวุโสอีกสองสามคนพุ่งตัวออกไป และกีดขวางเส้นทางของชุยฟางหู่กับเหวินเซี่ยวเฟิงเอาไว้

“เสียงเมื่อครู่นี้จะต้องเป็นชิงหนิง! หรือเจ้าตั้งใจจะส่งคนไปฆ่านาง” ใบหน้าของชุยฟางหู่ยิ่งมืดหม่นลงเมื่อเห็นสิ่งนี้ และตะโกนออกมาด้วยเสียงอันน่ากลัว

“ชิงหนิง?”

“หรืออาจเป็นชุยชิงหนิง บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้นำตระกูลคนก่อน?”

สายตาของทุกคนล้วนจับจ้อง และพวกเขาก็มีท่าทางตกใจเล็กน้อย

“น้องสาม ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมานจากลมปราณแตกซ่าน ดังนั้นเจ้าน่าจะไปที่ถ้ำกำจัดปีศาจพร้อมกับผู้อาวุโสเหวินเพื่อสงบสติอารมณ์เสีย!” ชุยฟางจวินสั่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ทันทีที่กล่าวจบ เหวินเซี่ยวเฟิงก็เงยหน้าขึ้น และดวงตาสีเขียวหยกของเขาก็จ้องมองมายังชุยฟางหู่ ขณะที่กล่าวว่า “ผู้อาวุโสสาม โปรดมากับข้า”

“หากข้าปฏิเสธล่ะ?” ใบหน้าของชุยฟางหู่พลันมืดมนอย่างมาก และไม่ได้ปกปิดความโกรธแม้แต่น้อย

“งั้นข้าจะพาท่านไป” เหวินเซี่ยวเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น

“บังอาจ!” ชุยฟางหู่คำรามลั่น ก่อนที่เขาจะหันไปมองชุยฟางจวิน “พี่รอง! เจ้าตั้งใจจะฆ่าบุตรสาวของพี่ใหญ่ เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล เจ้ามีใจทำเช่นนี้ได้อย่างไร!?”

“ไร้สาระ!” สีหน้าของชุยฟางจวินดูอำมหิต จากนั้นเขาจึงโบกมือและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเหวิน รีบพาเขาออกไป เพื่อไม่ให้เขารบกวนความคืบหน้าของพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ด้วยหากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีใครสามารถรับผิดชอบได้!”

เปรี้ยง!

แต่ในเวลานี้เอง เสียงโครมครามที่ฟังดูเหมือนเสียงฟ้าผ่าพลันดังกึกก้องจากระยะไกล และทำให้ทั้งจวนตระกูลชุยสั่นสะเทือนจนสั่นสะท้าน

ในเวลาเดียวกัน เสียงที่ชัดเจนและอ่อนเยาว์ก็ดังขึ้น “ท่านอา พวกฝีมือต่ำทรามเหล่านี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท