บทที่ 965 การเผชิญหน้าอันหนักหน่วง
บทที่ 965 การเผชิญหน้าอันหนักหน่วง
น้ำเสียงเยาว์วัยของนางยังคงลอยคว้างอยู่ในอากาศ ทำให้สีหน้าคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปในฉับพลัน
ท่านอา?
นี่เด็กสาวผู้นั้นกลับมาแล้วหรือ?
พื้นดินยังคงสั่นสะเทือน เตือนความจำให้ทุกคนนึกได้ว่าเมื่อครู่เกิดเสียงดังสะท้านฟ้าขึ้น ส่งผลให้สะเทือนไปทั่วทั้งจวนตระกูลชุย
ขณะเดียวกัน ชุยฟางจวินได้เผยสีหน้าหมองคล้ำออกมา
ตอนนี้เหมือนเวลาถูกยืดให้ยาวขึ้น ทำให้มีความรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างถูกทำให้ช้าลง
ไม่มีใครสนใจชุยฟางหู่อีก เพราะทุกคนทั้งตกตะลึง ตกใจ และสับสนไปพร้อมกัน โดยทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังที่ไกลออกไปในตำแหน่งเดียวกัน!
ตู้ม!
ในสายตาของพวกเขาได้มีร่างสีดำแวบผ่านเข้ามา เหมือนถูกโยนมาจากที่ไกล ๆ ร่างนั้นยังอยู่กลางอากาศในขณะที่กระอักเลือดออกมาไม่หยุด โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นล้อกับแสงตะวันสีม่วง ทำให้มันทั้งดูงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
จากนั้นร่างดังกล่าวก็ร่วงลงพื้นเหมือนเนื้อก้อนหนึ่ง พอสังเกตได้ว่าเป็นชุยหรูซาน ‘พี่สี่’ คนนั้นที่มีท่าทีตุ้งติ้งไม่เหมือนผู้ชาย
ดูใกล้ตายแล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้ดวงตาฉ่ำน้ำกลับยังส่องประกายพลางพึมพำออกมาว่า “พี่ชายน้อยดุจริง ๆ ข้าได้มอดม้วยในน้ำมือท่านนับว่าได้ตายตาหลับแล้ว…” น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งขาดใจตาย
ทุกคนอดรู้สึกหนาวสะท้านในใจไม่ได้เมื่อได้เห็นภาพนี้ ทั้งโกรธและกลัวไปพร้อมกัน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ยังไม่ทันได้หายตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็มีร่างอีกสามร่างถูกโยนลอยมาและขาดใจตายทันที
สีหน้าของคนตระกูลชุยทั้งหลายยิ่งเคร่งเครียด เพราะชุยหรูซาน ชุยหรูหลิน ชุยหรูหั่ว และชุยหรูเฟิงเพิ่งจะได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสรองให้ออกไปเมื่อครู่นี้เอง!
ตอนนี้เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว คนทั้งหมดกลับถูกสังหารแล้วโยนศพทิ้งออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นการสำแดงอำนาจให้เห็น!
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าดังมาจะไกล ๆ
ท่ามกลางแสงตะวันสีม่วงเข้มนี้ ทุกคนเห็นสามร่างปรากฏขึ้นสู่สายตา
ผู้เดินนำมาข้างหน้าคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเจ้าของร่างสูงสง่า มีท่าทีไม่ธรรมดา ทุกย่างก้าวเผยให้เห็นอำนาจน่าเกรงขามที่สามารถกำราบคนทั้งโลกได้
สำหรับคนตระกูลชุยส่วนมากแล้ว พวกเขาไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้เลย แต่เมื่อสายตาไปหยุดอยู่ที่คนทางซ้าย พวกเขาก็หรี่ตาลงในพลัน
นางคือเด็กสาวอายุราวสิบสองปี ดูยังเด็กมาก แต่กลับมีสีหน้าเยือกเย็น ท่าทีสุขุมนุ่มลึกไม่สมกับอายุ อีกทั้งกรอบหน้ายังมีความคล้ายคลึงกับผู้นำตระกูลชุยคนก่อน ชุยฟางหลิน
ชุยชิงหนิง!
ทันใดนั้นทุกคนก็นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้ ทำให้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา นางกลับมาแล้วจริง ๆ!
ถึงตอนนี้ความสงสัยที่อยู่ภายในใจทุกคนก็ได้รับคำตอบแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้อาวุโสรองชุยฟางจวินถึงได้เคลื่อนย้ายกองกำลังเช่นนี้ก่อนเวลาอันควร ทั้งยังไม่ลังเลที่จะแหกกฎตระกูลและใช้ชุยเหลิ่งจงยอดราชันอีกสี่คนในการลงมือ
ไม่เพียงเท่านั้น ชุยฟางจวินยังใช้พวกชุยหรูซาน กับสั่งให้ผู้อาวุโสห้าชุยฟางเหิงและผู้อาวุโสหกชุยฟางเล่ยออกไปอีกด้วย…
นั่นก็เพื่อหยุดการกลับมาของชุยชิงหนิงก่อนที่นางจะเข้าจวนมาได้!
คนฉลาดบางคนถึงขั้นเดาได้ว่าเหตุผลที่ผู้อาวุโสรองคิดประกาศการรับช่วงต่อผู้นำตระกูลล่วงหน้า ก็เพื่อรับมือเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน!
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ทุกคนจึงมีสีหน้าซับซ้อนยิ่ง บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิทกว่าเก่า เงียบจนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดังมาให้ได้ยินเท่านั้น
“เอ๋! นั่น…นั่นมัน!?” มีน้ำเสียงหนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อและหวาดกลัวยิ่งออกมา
ทุกคนอึ้งไป จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องชะงักค้างไปเช่นกัน
พวกเขาเห็นมือทั้งสองข้างของหญิงสาวในชุดดำที่เดินอยู่ทางด้านขวาของเฉินซี กำลังกำศีรษะโชกเลือดเอาไว้ และใบหน้าของศีรษะนั้นได้เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวขีดสุด!
ซึ่งนั่นคือศีรษะของผู้อาวุโสห้าชุยฟางเหิง และผู้อาวุโสหกชุยฟางเล่ยนั่นเอง!
พวกเขาตายแล้ว!
ผู้อาวุโสทั้งสองซึ่งมีสถานะสูงส่งทั้งยังมีอำนาจมากมายในตระกูลกลับถูกบั่นเศียรเช่นนี้ ทั้งยังต้องตายด้วยความเสียใจไปชั่วชีวิตอีกต่างหาก!
แม้กระทั่งชุยฟางหู่ยังขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ถึงน้องห้ากับน้องหกจะอยู่คนละฝั่งกับเขา แต่สุดท้ายอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน พี่น้องตายไปอย่างเลวร้ายเช่นนี้เขาจะไม่รู้สึกอะไรได้หรือ?
“ผู้อาวุโสห้า!”
“อาหก!”
“ท่านพ่อ! พวกเจ้าสังหารพ่อข้า! ข้าจะสู้จนตัวตาย!”
“ฆ่า! ฆ่าพวกมัน!”
หลังจากเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังขึ้น คนกว่าสิบคนกระโจนเข้าหาเป้ยหลิงอย่างบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ตึง!
เสียงฝีเท้าของเฉินซีหยุดลงก่อนจะกวาดสายตาเย็นยะเยือกราวกับกับสายฟ้ามองผู้คน พร้อมกันนั้น แรงกดดันที่มองไม่เห็นก็แผ่ขยายออก ซัดเข้าสาดกระหน่ำเข้าใส่จนบีบให้คนทั้งหลายต้องถอยไป
ทุกคนล้วนกระอักเลือดออกมาแล้วซวนเซล้มลงกับพื้น สีหน้าแปรผันไปมา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ล่วงเกินผู้มีอำนาจมากกว่า กล้าทำลายกฎตระกูล หากไม่ใช่เพราะข้ายังไม่รับตำแหน่งผู้นำตระกูลละก็ แค่เท่านี้ก็มากพอจะถูกลงโทษอย่างหนักแล้ว!” ชุยชิงหนิงเอ่ยคำ นางยังเด็กมาก น้ำเสียงจึงยังใสเผยความเยาว์วัยอย่างชัดเจน ทว่าด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็น มันกลับให้ความรู้สึกทรงอำนาจอยู่เล็กน้อย
“ส่วนผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสหกก็คิดสังหารข้าและกระทำเรื่องเลวร้ายต่อคนร่วมตระกูล ฉะนั้นมีความผิดแน่นอน ความตายถือเป็นบทลงโทษที่เมตตามากแล้ว!” ชุยชิงหนิงกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ขึ้นว่า “มีใครไม่พอใจอีกหรือไม่?”
“โอหัง! ใครมอบอำนาจให้เด็กผู้หญิงตัวกระจ้อยเช่นเจ้าสามารถฆ่าคนได้ตามใจอยากกัน เจ้าต่างหากที่แหกกฎตระกูลและสมควรตาย!” คนผู้หนึ่งไม่ยอมรับและตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ เขาก็คือลูกชายของผู้อาวุโสห้าชุยฟางเหิง
ครืน!
เฉินซีที่อยู่ไม่ห่างเหยียดแขนออกมา มันเปลี่ยนเป็นอักขระยันต์นับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันซัดเข้าใส่ร่างอีกฝ่ายจนแหลก
การโจมตีนี้รวดเร็วมาก จนไม่มีใครเข้าไปช่วยได้ทัน
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชุยชิงหนิงถึงได้วางท่าทรงอำนาจเช่นนั้นได้ ที่แท้ก็เพราะมีคนหนุนหลังอันทรงพลังเช่นนี้นั่นเอง!
แต่ยิ่งเห็นเช่นนั้น คนตระกูลชุยก็ยิ่งโกรธ เพราะการใช้อำนาจคนนอกตระกูลมาทำร้ายคนภายในตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้!
ชุยฟางจวินเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็หน้าเปลี่ยนสี ในใจนึกเหยียดหยามอีกฝ่าย ‘คนหนุ่มเลือดร้อนสงบท่าทีไม่เป็น ฆ่ามัน! ฆ่าได้ตามสบาย! ยิ่งเจ้าทำแบบนี้เท่าไรก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อข้า เมื่อทุกคนในตระกูลมีความแค้นต่อเจ้า มีหรือพวกเขาจะยอมให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้? เขลาเสียจริง…’
เขาอดทนอยู่นานในขณะที่คิดว่าจะรับมือการปรากฏตัวของชุยชิงหนิงอย่างไรดี เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้จึงเห็นโอกาส นั่นคือใช้ความโกรธแค้นของทุกคนเพื่อกีดกันชุยชิงหนิงออกไปนั่นเอง!
ย่อมเป็นอย่างที่ชุยฟางจวินว่า คนตระกูลชุยในตอนนี้โกรธเกรี้ยว ส่งสายตาเคียดแค้นไปทางกลุ่มของชุยชิงหนิงคล้ายใกล้จะปะทุเต็มทน
“ชิงหนิง! ทำอะไรของเจ้า?” ชุยฟางหู่เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงพูดขึ้นมา
“อาสามไม่ต้องเป็นห่วง คนที่พี่เฉินซีสังหารไปล้วนสมควรตายทั้งสิ้น” ชุยชิงหนิงยังมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนศิลาท่ามกลางธารน้ำไหล ไม่ว่าน้ำจะแรงแค่ไหนก็ยังไม่ไหวติง
นางกวาดสายตามองทุกคน สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ชุยฟางจวิน “อารอง หากยังมีจิตสำนึกเหลืออยู่ ก็อย่าให้ต้องเกิดความสูญเสียกันอีกเลย”
ชุยฟางจวินเอ่ยเสียงทุ้ม “กล้าดีนัก! เดิมทีข้าไม่อยากจะลงมืออะไรมากกับเด็กอย่างเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ แต่ตอนนี้เจ้ากลับสมรู้เรื่องคิดกับคนนอกและสังหารคนในตระกูลตนเอง นับเป็นความผิดมหันต์ ซ้ำยังไม่สำนึกตนเอง! ทำให้ข้าปวดใจยิ่ง!”
ทันใดนั้นเขาก็กวาดสายตาไปมองเฉินซี ที่มุมปากผุดรอยยิ้มเย็นหนึ่ง จากนั้นพูดกับทุกคนที่อยู่ในที่นั้นว่า “ทุกคนก็ได้เห็นกันแล้ว ข้าเพียงแต่จะกล่าวว่าชิงหนิงซึ่งยังมีอายุน้อยไม่รู้ความได้ถูกคนชั่วหลอกลวง พวกมันคิดจะฉวยโอกาสนี้ทำให้ตระกูลชุยของเราวิบัติ!”
“ใช่แล้ว! ชายหญิงพวกนี้สมควรตาย!”
“ถูกต้อง! สังหารพวกมันเสีย! แก้แค้นให้คนของตระกูลเรา!”
เมื่อได้ยินชุยฟางจวินพูดเช่นนั้น ทุกคนก็ตะโกนขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องรบกวนผู้อาวุโสเหวินรีบจับทั้งสองคนนี้ไว้ จะได้ใช้วิญญาณพวกเขาในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ สวดภาวนาให้คนในตระกูลเราที่ต้องเสียชีวิตไป!” ชุยฟางจวินสะบัดแขนเสื้อสั่งเสียงเฉียบขาด
ว่าแล้วชายเจ้าของเรือนผมสีหยกเขียวผู้มีร่างผอมแห้งอย่างเหวินเซี่ยวเฟิงก็พุ่งออกไป
“อยากลงมือกับเราก็ตามใจ แต่ก่อนอื่นข้าอยากให้ทุกคนได้เห็นแผ่นหยกนี้เสียก่อน” ชุยชิงหนิงยังคงสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน ว่าแล้วนางก็หยิบแผ่นหยกเงาออกมา
ชุยฟางจวินถึงกับสะดุ้งอย่างไร้เหตุผลเมื่อได้เห็นมัน เขาเอ่ยเสียงเครียดว่า “สังหารคนชั่วสองคนแล้วค่อยดูก็ยังไม่สาย เหตุใดจึงยังไม่ลงมือเล่าผู้อาวุโสเหวิน!?”
ร่างเหวินเซี่ยวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวหยกปกคลุมท้องฟ้า ปลดปล่อยจิตสังหารพร้อมกับเข้าโจมตีเฉินซี
ชายชราคนนี้หลังค่อมและมีไม้เท้าอยู่ในมือ ท่าทางดูเป็นชายแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่พอลงมือท่าทางกลับพลิกจากหน้าเป็นหลังมือ ทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาจที่ลึกล้ำดั่งหุบเหวมืดออกมา เป็นพลังที่ทำให้บดบังฟ้าดินจนหมด
ชุยฟางจวินถอนหายใจโล่งอกออกมา เหวินเซี่ยวเฟิงเป็นยอดราชัน เขาเป็นเศษเสี้ยวของไม้เนตรวิญญาณหยกนภาที่บรรลุเต๋า ทั้งยังบ่มเพาะมาไม่ต่ำกว่าหมื่นปี
นอกจากผู้อาวุโสตระกูลชุยที่เก็บตัวบ่มเพาะ และบรรพบุรุษของตระกูลชุยแล้ว ก็มีเหวินเซี่ยวเฟิงที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในตระกูล!
เหวินเซี่ยวเฟิงลงมือเช่นนี้ก็คงจะจัดการศัตรูได้ง่ายจริงหรือไม่?
ทว่าชุยฟางจวินคิดยังไม่ทันจบก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เหวินเซี่ยวเฟิงพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับถอยออกมาอย่างรวดเร็วกว่า การโจมตีครั้งเดียวดีดตัวคนออกมาไกลลิบ
ทั้งยังอยู่ในสภาพดูไม่ได้เลยทีเดียว!
ไม่สามารถสู้หรือต้านรับได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
ตอนที่ทุกคนมองภาพนี้ พวกเขาต่างแทบลืมหายใจ พากันเบิกตากว้างมองด้วยความไม่อยากเชื่อ
แม้กระทั่งชุยชิงหนิงกับเป้ยหลิงยังดูประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเฉินซีจะดุร้ายจนถึงขั้นสามารถบีบให้อีกฝ่ายถอยได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเหลือบมองเหวินเซี่ยวเฟิง พร้อมกับเผยแววประหลาดใจในสายตาออกมา
“อารอง ความอดทนท่านมีน้อยไปสักหน่อย ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบสังหารข้าเลย ให้คนในตระกูลได้ดูแผ่นหยกนี่เสียก่อนจะเป็นไรไป?” ว่าแล้วก็มีลำแสงเรืองออกมาจากฝ่ามือของชุยชิงหนิง นางเปิดใช้แผ่นหยกเงาขึ้น จากนั้นหน้าจอแสงก็ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต ดึงความสนใจของทุกคนไว้ได้ในทันที