บทที่ 967 เป็นดั่งเม็ดหมากในกำมือ
บทที่ 967 เป็นดั่งเม็ดหมากในกำมือ
ณ ศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ จวนตระกูลชุย
ชุยฟางหู่จากไปอย่างเร่งรีบ หลังจากที่เขาพาเฉินซีกับเป้ยหลิงมาที่นี่ เขาในฐานะสมาชิกระดับสูงของตระกูลชุยจึงจำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ภายในศาลาที่ว่างเปล่าและหรูหราแห่งนี้ จึงมีเพียงเฉินซีและเป้ยหลิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่
เฉินซีถือถ้วยชาและจิบมันเงียบ ๆ ขณะที่เขาหวนนึกถึงรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่พวกตนเข้ามาในจวนตระกูลชุย
“ข้า…” เป้ยหลิงที่อยู่ใกล้ ๆ ลังเลอยู่นาน และนางตระหนักว่า การกล่าวความในใจของตนออกมานั้นยากเย็นยิ่ง
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ สตรีผู้เยือกเย็นคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างกำลังถ่วงอยู่ในใจ เฉินซีในเวลานี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวเป็นเช่นนี้ “มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ดังนั้นอย่าได้ลังเลที่จะกล่าวความในใจของเจ้าออกมาเลย”
รอมยิ้มเย้ยหยันตัวเองปรากฏบนริมฝีปากแดงระเรื่อของเป้ยหลิง และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวข้าอ่อนไหวเกินไปหรือไม่ แต่ข้ากลับมีความรู้สึกว่าชิงหนิงนั่นเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป และมันทำให้ข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยกับนางเอาซะเลย”
“นางเปลี่ยนไปจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “แต่มันก็สมเหตุสมผลดีเมื่อเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ …นางอายุเพียงสิบสองปี แต่กลับต้องประสบกับความยากลำบากมากมาย แล้วนางจะเป็นเหมือนในอดีตได้อย่างไร?”
เป้ยหลิงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะกล่าวทันทีว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าหลังจากที่เราเข้าไปในเมืองภูษาไหมม่วง ผลลัพธ์ก็จะเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะไม่อยู่ที่นั่นก็ตาม”
เฉินซีตกตะลึงและนิ่งเงียบไป เพราะนี่เป็นคำถามที่เขาได้ใคร่ครวญก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้ บรรพบุรุษของตระกูลชุย ชุยเจิ้นคงและผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลชุยได้ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นพวกเขาก็จับกุมตัวชุยฟางจวิน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสรอง ก่อนจะจัดการวานรผีพันเนตร โหวจ่าน การกระทำเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถูกผู้อาวุโสของตระกูลชุยสังเกตเห็นเมื่อนานมาแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกอึดอัดใจ ดังนั้นเขาจึงใคร่ครวญเรื่องนี้เงียบ ๆ มาตั้งแต่ที่เข้ามาในศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ ซึ่งเมื่อเป้ยหลิงได้กล่าวจี้ใจดำในยามนี้ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นดูจะเป็นเรื่องถูกต้อง…
“อันที่จริง ข้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก” คิ้วงามของเป้ยหลิงขมวดเข้าหากัน ขณะที่นางไตร่ตรองเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวข้อสรุปออกมา
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว โดยไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ในขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านนอกของศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ และชายชราผอมแห้งหลังค่อมที่มีผมสีเขียวหยกก็เดินมาพร้อมกับไม้เท้าในมือ
นั่นคือเหวินเซี่ยวเฟิงนั่นเอง
“สหายเต๋า ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือ” เหวินเซี่ยวเฟิงยิ้มขณะที่กล่าว
เป้ยหลิงตกตะลึงและมองไปยังเฉินซี
ชายหนุ่มกลับกล่าวอย่างใจเย็นแทนว่า “อย่าได้เข้าใจผิด ผู้อาวุโสเหวินผู้นี้ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสรองนั่น มิฉะนั้น เมื่อข้าแลกหมัดกับผู้อาวุโสเหวินก่อนหน้านี้ ข้าคงไม่สามารถผ่านมันมาได้ง่าย ๆ”
เหวินเซี่ยวเฟิงหัวเราะลั่นทันที จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “สหายเต๋าถ่อมตัวแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่ยั้งมือไว้ แต่ข้าก็คงจะเทียบเคียงเจ้าไม่ได้หรอก”
เขากำลังกล่าวความจริง เพราะแม้จะแลกหมัดเพียงครั้งเดียวกับเฉินซี แต่ความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของชายหนุ่ม ก็ทำให้เหวินเซี่ยวเฟิงรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
สำหรับตัวประหลาดเฒ่าอย่างเขาซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของไม้เนตรวิญญาณหยกนภาที่บรรลุเต๋าแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
ดังนั้นชายชราจึงไม่กล้าวางท่าเมื่อกล่าวกับเฉินซี และไม่กล้าถือตัวว่าเป็นผู้อาวุโสกว่า
ในที่สุด เป้ยหลิงก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เหวินเซี่ยวเฟิงกับชุยฟางจวินไม่ได้ทำงานร่วมกัน อีกทั้งชายชราคนนี้ยังตั้งใจที่จะแพ้ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้!
‘ดังนั้นชายชราคนนี้ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกัน…’
ในใจของเป้ยหลิงดูจะถือว่าเหวินเซี่ยวเฟิงเป็นคนจำพวกเดียวกันกับโหวจ่านเสียแล้ว
หลังจากที่พวกเขานั่งลงแล้ว เฉินซีก็ถามขึ้น “ผู้อาวุโสเหวิน ท่านไม่ได้เข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษกับพวกเขาหรือ?”
“ข้าเป็นเพียงผู้ได้รับเชิญ และหาใช่คนของตระกูลชุยไม่ ดังนั้นข้าย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วม” เหวินเซี่ยวเฟิงส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยพาคุณหนูกลับมาได้อย่างปลอดภัยในครั้งนี้ ข้าได้รับคำมั่นจากท่านบรรพบุรุษแล้ว และเจ้าทั้งคู่สามารถยื่นคำขอใดก็ได้ตามสบาย จงถือว่ามันเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ ของตระกูลชุยข้า ข้าหวังว่าเจ้าทั้งคู่จะยอมรับสิ่งนี้ด้วยความยินดี”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น
เป้ยหลิงไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ และกล่าวอย่างเย็นชาทันทีว่า “นี่ตระกูลชุยของพวกเจ้าคิดว่า เราพาคุณหนูชุยกลับมาส่งเพื่อของตอบแทนบางอย่างหรือ?”
สิ่งที่นางกังวลคือ พวกเขาดูจะมองเรื่องทั้งหมดนี้เป็นการแลกเปลี่ยน และตั้งใจจะขับไล่แขกทุกคนออกไปหลังจากการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นางผิดหวังอย่างยิ่ง
เหวินเซี่ยวเฟิงดูเหมือนจะคาดหวังฉากนี้ตั้งแต่เริ่มต้น เขาจึงอธิบายทันทีว่า “สหายเต๋า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว นี่เป็นเพียงเจตนาดีของตระกูลชุยและข้า เราแค่กลัวจะละเลยเจ้าสองคน และเราไม่มีเจตนาอื่นอย่างแน่นอน…”
คิ้วงามของเป้ยหลิงขมวดเข้าหากัน และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับถูกเฉินซีขัดจังหวะเสียก่อน
“ผู้เฒ่าเหวิน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณใด ๆ หรอกขอรับ” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าตระกูลชุยจะจัดการกับชุยฟางจวินอย่างไร?”
เหวินเซี่ยวเฟิงครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย และกล่าวว่า “อันที่จริง ชะตากรรมของผู้อาวุโสรองถูกกำหนดมานานแล้ว และเขาก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป หลังจากที่คุณหนูกลับมาแล้ว”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉุกคิดอย่างมาก แต่สำหรับคนเช่นเฉินซีและเป้ยหลิง ย่อมคาดเดาได้ทันทีว่าคำพูดเหล่านี้หมายถึงสิ่งใด และหัวใจของพวกเขาก็เย็นเยียบทันที!
คำพูดเหล่านี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?
ความหมายของมันนั้นง่ายมากคือ เมื่อชุยชิงหนิงกลับมา ชุยฟางจวินก็ต้องตาย เพราะทุกสิ่งที่ชุยฟางจวินทำถูกตัวตนระดับสูงของตระกูลชุยจับตามองมาตั้งแต่เริ่มต้น!
“อันที่จริง ในสายตาของคุณหนูชุยหรือตระกูลชุยทั้งหมด ผู้อาวุโสรองเป็นเพียงหินลับคม?” เป้ยหลิงย่นปากแดงของนางเบา ๆ ขณะที่กล่าวช้า ๆ และน้ำเสียงของหญิงสาวก็ไม่มีความผันผวนทางอารมณ์ใด ๆ แม้แต่น้อย
“เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้” เหวินเซี่ยวเฟิงพยักหน้ายอมรับและหาได้ปฏิเสธไม่
“พวกเจ้าทุกคนคงทราบดีถึงความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่คุณหนูชุยได้พบเจอมาตลอดทางใช่หรือไม่?” ดวงตาที่ใสกระจ่างของเป้ยหลิงพลันหรี่ลง และกลายเป็นเส้นโค้งที่น่าสะพรึงกลัว
เหวินเซี่ยวเฟิงทำท่าราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็น ชายชราส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เราไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด เพราะทุกอย่างถูกกำหนดโดยท่านบรรพบุรุษ ความตั้งใจของเขานั้นกว้างใหญ่ดั่งโลกหล้า แล้วเราจะกำหนดหรือรับรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร”
เป้ยหลิงเม้มปากและไม่กล่าวอันใดอีก นางกังวลว่าตัวเองจะควบคุมโทสะในใจไม่ได้ หากยังถามถึงเรื่องนี้ต่อไป
“แล้วเข็มทิศปรโลกเล่า?” เฉินซีผู้เงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาสงบนิ่งและไม่แยแส ทำให้ไม่มีใครแยกแยะสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังคิดอยู่ในใจได้
“สหายเต๋า ข้าขอถามบางอย่างจากเจ้า ด้วยการปรากฏตัวของท่านบรรพบุรุษ เจ้าคิดว่าตระกูลชุยของข้าจะเฝ้าดูอย่างเฉยเมย เมื่อสมบัติเทวะของตระกูลถูกขโมยไปได้หรือไม่” ขณะที่เหวินเซี่ยวเฟิงกล่าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “โชคไม่ดีที่ผู้อาวุโสรองเก่งกาจมาทั้งชีวิต แต่ความทะเยอทะยานในอำนาจของเขานั้นยิ่งใหญ่เกินไป เพื่อประโยชน์ในการควบคุมกรมราชทัณฑ์ เขาจึงได้สมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกชักนำหายนะมาสู่ตระกูล เขาคงคิดว่าแผนการของตนนั้นไร้ที่ติ แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านบรรพบุรุษ”
เหวินเซี่ยวเฟิงกลั้นหัวเราะทันที เมื่อเขาเห็นว่าทั้งเฉินซีและเป้ยหลิงเงียบไป และรู้สึกได้จาง ๆ ว่าอารมณ์ของสองคนนี้ไม่ค่อยดีนัก
หลังจากพูดคุยเล็กน้อย เหวินเซี่ยวเฟิงก็กล่าวคำอำลาทันทีเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูไม่ค่อยยินดีนัก
ก่อนที่เขาจะจากไป เหวินเซี่ยวเฟิงบอกย้ำกับพวกเขาว่า บรรพบุรุษจะหาเวลาให้เฉินซีและเป้ยหลิงได้เข้าพบ หลังจากพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลง และเน้นย้ำว่าโอกาสเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรจากไปก่อน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทอง
…
ภายในศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ มีเพียงเฉินซีกับเป้ยหลิงเท่านั้นที่ยังคงรั้งรออยู่
บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน
ไฟโทสะที่ไม่อาจอดกลั้น ได้ปกคลุมใบหน้าที่งดงามและขาวใสของเป้ยหลิง “ข้าไม่เคยนึกเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ที่มีคนวางแผนไว้ตั้งแต่เริ่มต้น และเขาเล่นกับพวกเราเป็นดั่งเม็ดหมากในกำมือ”
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “หากกล่าวโดยเปรียบเทียบแล้ว ผู้อาวุโสรองกลับเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เขาอุตส่าห์เค้นความคิดเพื่อวางแผนการมากมาย แต่ดันกลายเป็นหินลับคมในมือของบรรพบุรุษตระกูลชุย เขาช่างโง่และไร้เดียงสาจริง ๆ”
เป้ยหลิงตกตะลึง จากนั้นนางก็หัวเราะเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “เขาน่ะหรือน่าสงสาร? คนที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นคนของตระกูลชุยที่ต้องล้มตายด้วยน้ำมือของเรา ยิ่งกว่านั้น ดาบเพชฌฆาตอย่างพวกเราก็ยังนับได้ว่าอยู่ในกำมือของบรรพบุรุษตระกูลชุยไม่ใช่หรือ?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงบางสิ่งได้และกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าชิงหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่”
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะในที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะตอบ แต่ชายหนุ่มไม่สามารถยืนยันคำตอบได้
ณ จุดนี้ เฉินซีและเป้ยหลิงได้พิจารณาคร่าว ๆ แล้วว่า การซุ่มโจมตีและความยากลำบากทั้งหมดที่ชุยชิงหนิงได้พบเจอตลอดทางนั้น เป็นการฝึกฝนที่ถูกวางแผนและควบคุมโดยบรรพบุรุษของตระกูลชุยมาตั้งแต่ต้น
วัตถุประสงค์นั้นเรียบง่ายมาก และไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากต้องการให้ชุยชิงหนิงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างรวดเร็ว พร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย
ในทางกลับกัน พวกเขาสองคนก็เพิ่งปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม และถูกพัดพาเข้าสู่การฝึกฝนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถตำหนิใครในเรื่องนี้ได้
“วิธีการนี้ของบรรพบุรุษตระกูลชุย กล่าวได้ว่าเป็นการสร้างเมฆด้วยการพลิกมือข้างหนึ่งและทำให้เกิดฝนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ทำให้เขาได้รับประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านจากการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว” หลังจากสงบสติอารมณ์อยู่เป็นเวลานาน เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ปัญหาในตระกูลชุยอาจเกิดขึ้นมานานแล้ว และชุยฟางจวินก็หาใช่คนดีไม่ ในขณะที่บรรพบุรุษของตระกูลชุยอาศัยโอกาสนี้เพื่อส่งเสริมคุณหนูชุยเหมือนเม็ดหมาก”
“การจัดการเหล่านี้ไม่เพียงจะทำให้ตำแหน่งผู้นำตระกูลชุยในอนาคตมั่นคง แม้แต่เหล่าแกะดำในตระกูลก็จะถูกกำจัดออกไปในระหว่างการฝึกนี้ ซึ่งมันก็เท่ากับการช่วยเหลือคุณหนูชุยในการกำจัดอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางหน้า และทำให้นางสามารถควบคุมผู้มีอำนาจในตระกูลชุยได้”
“สิ่งที่ยากที่จะเกิดขึ้นก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบ บรรพบุรุษของตระกูลชุยไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการฆ่าคนในตระกูลของตัวเองอย่างไร้ความปรานี”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็เริ่มหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล และเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว ชายหนุ่มได้กลายเป็นเครื่องมือที่ถูกคนอื่นใช้งานลากจูง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมเลย และเป็นตัวเขาที่แส่ออกหน้า ดังนั้นเฉินซีจะโทษใครได้?
แน่นอนว่าถึงมันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังลบลืมไปได้ง่าย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจบรรพบุรุษตระกูลชุยอยู่ดี ทว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องยืนยันให้ได้เสียก่อน!
เขาต้องการทราบว่า ชุยชิงหนิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นหรือไม่!
สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับเฉินซี
แต่เป้ยหลิงไม่ได้ใจกว้างเท่ากับเฉินซี และนางรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจราวกับว่ากลืนแมลงวันเข้าไป
“ไปกันเถอะ ข้าไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป ส่วนโอกาสที่จะได้พบกับบรรพบุรุษของตระกูลชุยจะเป็นเรื่องที่หายากหรือไม่? ข้าหาได้ใส่ใจไม่ บางทีเขาอาจจะหลอกใช้เราเสียด้วยซ้ำ” ทันใดนั้นนางก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ตกลง” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง เพราะมันยังไม่สายเกินไปที่จะไปถามชุยชิงหนิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด หลังจากที่ชายหนุ่มพบชิงซิ่วอี้และกำลังจะออกจากยมโลกในเวลาถัดจากนี้
แต่ทันทีที่ทั้งสองเพิ่งเดินออกมาจากศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ พวกเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งพวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเข้ามาทักทาย
“น้องเฉินซี แม่นางเป้ยหลิง ข้ารู้ว่าเจ้าทั้งคู่ประหลาดใจมาก แต่เจ้าทั้งคู่จะเข้าใจทุกอย่างเอง หลังจากที่เจ้าได้พบกับท่านบรรพบุรุษ” เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินออกมาจากศาลารับรองแขกผู้มีเกียรติ คนนั้นก็ตกตะลึง เขาประสานแล้วกล่าวด้วยท่าทางขออภัย
รูปร่างของเขาผอม ท่าทางเย็นชาและแข็งกระด้าง น่าตกใจ เขาคือกู่เทียน หัวหน้าผู้คุ้มกันที่เฉินซีเชื่อมั่นว่าน่าจะตายไปแล้ว!