บทที่ 969 การต่อสู้ระหว่างภพเซียนและภพพุทธองค์
บทที่ 969 การต่อสู้ระหว่างภพเซียนและภพพุทธองค์
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของชุยเจิ้นคงพลันแปรเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด กระแสพลังของกฎต่างส่งเสียงดังกึกก้องและปกคลุมแท่นบวงสรวงทั้งหมด ทำให้เฉินซีแทบหายใจไม่ออก
มันให้ความรู้สึกราวกับเขากำลังเผชิญกับภูเขาไฟที่ใกล้จะปะทุ ในขณะที่ตัวเขาเป็นเพียงตั๊กแตนที่เกาะอยู่บนปากภูเขาไฟ อีกทั้งชายหนุ่มยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะหลบหนีจากภยันตรายที่เกิดจากภูเขาไฟนี้ด้วย
ถึงขนาดที่ว่า หากไม่ใช่เพราะเจตจำนงอันน่าทึ่งของเขา ดวงจิตแห่งเต๋าของชายหนุ่มคงถูกบดขยี้ด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามนี้ตั้งแต่นานแล้ว และคงทำให้เขาต้องคุกเข่าบนพื้นอย่างอ่อนแรง
ทว่าเป้ยหลิงกลับไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด เพราะกลิ่นอายอันน่าเกรงขามนี้ได้พุ่งเป้าที่ไปเฉินซีเพียงคนเดียว แต่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของเฉินซีในตอนนี้ นางจึงตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคงกำลังเผชิญกับแรงกดดันอันรุนแรงเกินพรรณาอยู่เป็นแน่!
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของนางเขม็งเกร็ง แผ่จิตสังหารออกมา และแม้จะรู้ดีว่าคงทำอันใดไม่ได้มาก ดั่งมดตัวจ้อยคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ แต่นางก็ยังอยากจะลองดูสักตั้ง!
แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ ชุยเจิ้นคงก็แหงนหน้าขึ้นและจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะเบือนสายตาออก
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็ส่งเสียงครวญครางอู้อี้ ในขณะที่แรงกดดันที่ปกคลุมร่างกายของเขาลดลงราวกับกระแสน้ำ
“ในเมื่อเจ้าต้องการจะจากไป ก็เชิญเถิด” สายตาของชุยเจิ้นคงกลับมาจดจ้องที่ม่านแสงอีกครั้ง และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แต่เดิมชิงหนิงขอร้องให้ข้าออกหน้าและช่วยภรรยาของเจ้าจากราชาฉู่เจียง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะไม่เห็นคุณค่าของความเมตตาของข้า”
เป้ยหลิงตกตะลึง เพราะนางไม่เคยคาดคิดว่าชุยชิงหนิงจะขอร้องให้ชุยเจิ้นคงช่วยเรื่องนี้ในขณะที่เข้าสู่ดินแดนเร้นลับภายในสุสานบรรพบุรุษ ซึ่งมันทำให้หัวใจของเป้ยหลิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
แม้ว่าสาวน้อยคนนี้จะเปลี่ยนไป แต่นางก็ไม่เคยลืมบุญคุณและพยายามที่จะตอบแทนบุญคุณนี้
นางแหงนหน้าขึ้นมองเฉินซี แต่หญิงสาวกลับพบว่าชายหนุ่มไม่ได้แยแสต่อเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าเพียงแค่อยากรู้เรื่องหนึ่ง คุณหนูชุยได้ล่วงรู้แผนการที่ผู้อาวุโสได้วางไว้หรือไม่?”
ชุยเจิ้นคงมองเฉินซีด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ หากเจ้าสำนึกผิดตอนนี้ บางทีข้าอาจเปลี่ยนใจและช่วยเจ้าพาภรรยากลับมาก็เป็นได้”
เฉินซีส่ายศีรษะ ก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ชายหนุ่มไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาชุยเจิ้นคงเพื่อช่วยเหลือชิงซิ่วอี้ ดังนั้นในขณะนี้ เขาจะก้มหัวและยอมรับความช่วยเหลือของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
เพราะการเคารพตัวเองคือทุกสิ่ง
บางครั้งกระดูกสันหลังของคนเราอาจถูกคนอื่นหักได้ แต่ตัวมันเองไม่สามารถหักงอได้!
ทันทีที่เฉินซีจากไป เป้ยหลิงก็เดินตามเขาไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ดวงตาของชุยเจิ้นคงเป็นประกาแสงเย็นเยียบ ขณะที่มองดูร่างของอีกฝ่ายค่อย ๆ หายไปในระยะไกล จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “ฮึ่ม! ช่างเป็นทิฐิที่น่าหัวเราะเสียนี่กระไร! นับว่าโชคดีที่พวกเจ้าได้เจอข้า เพราะถ้าเป็นคนอื่นพวกเจ้าคงเสียชีวิตไปนานแล้ว!”
ชุยเจิ้นคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ เขาเลิกคิดถึงเรื่องนี้ แล้วมองไปยังม่านแสงแทน ก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฏที่ริมฝีปาก ยามมองไปยังเด็กสาวที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นบวงสรวงเต๋าด้วยท่าทางที่สงบ
“ชิงหนิง ทุกสิ่งที่ปู่ทำไปก็เพื่อเจ้า ส่วนเจ้าเด็กนั่น เขาหยิ่งผยองเกินไป ซึ่งอันที่จริงก็ยังไม่สายเกินไปที่ข้าจะสอดมือช่วยเหลือ หากเขายอมจำนนและสำนึกในความผิดของเขา…”
…
บนถนนของเมืองภูษาไหมม่วง เฉินซีกับเป้ยหลิงกำลังเดินเคียงข้างกัน
“ในความคิดของข้า ชิงหนิงอาจไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้มาก่อน และนั่นเป็นเหตุผลที่นางขอร้องชุยเจิ้นคง ด้วยความตั้งใจที่จะตอบแทนเจ้าหลังจากที่นางรู้เรื่องราวทั้งหมด” เป้ยหลิงลังเลอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ข้ารู้” เฉินซียิ้มด้วยท่าทางสงบ และเขาดูจะไม่ขุ่นเคืองเลยสักนิด
“แต่การกระทำในครั้งนี้ของตระกูลชุยมันเกินไปจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีของพวกเขาก็หยิ่งผยองและยโสโอหัง แค่คิดถึงเรื่องที่เราตกอยู่ในแผนยืมดาบฆ่าคนโดยที่ไม่รู้ตัว ก็ทำให้ข้าคับข้องใจยิ่งนัก” เป้ยหลิงกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อของนางและกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจ
“จริงสิ ว่าแต่ชุยเจิ้นคงได้บอกหรือไม่ว่าชิงหนิงจะสามารถออกจากสุสานบรรพบุรุษของตระกูลชุยได้เมื่อใดกัน” จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงบางสิ่ง และเขาหันกลับมาถามเป้ยหลิง
“ดูเหมือนว่าจะอีกเจ็ดวันกระมัง” เป้ยหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความไม่แน่ใจเล็กน้อย
“ตกลง! เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าระบายความขุ่นเคืองในอีกสิบวันนับจากนี้” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เป้ยหลิงจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างและกล่าวด้วยความตกใจว่า “นี่เจ้าคิดจะตอบโต้กลับหรือ?”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขบขันเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าจะเข้าใจเองในอีกสิบวันนับจากนี้ อืม เราจะอยู่ที่นอกเมืองภูษาไหมม่วงเป็นเวลาสิบวัน”
เป้ยหลิงชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างสงสัย แต่เมื่อนางเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของเฉินซี ในที่สุด หญิงสาวก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนอดทน เพราะมันเพียงแค่สิบวัน ซึ่งตัวนางก็สามารถอดกลั้นได้
…
“เซียนปราชญ์หรือ?”
“ถูกต้อง เซียนสวรรค์ เซียนลึกลับ เซียนทองคำ และเหนือไปกว่านั้นก็คือเซียนปราชญ์!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่แรงกดดันของชุยเจิ้นคงจะทำให้ข้ารู้สึกสั่นคลอน เขาเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่จริง ๆ แต่ผู้อาวุโสอย่างเขาจะปรากฏตัวในยมโลกได้อย่างไร?”
“สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างมรดกเต๋าบางส่วน หลังจากที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามถูกสังหารเมื่อหลายปีก่อน เหล่าทวยเทพและพุทธองค์ก็ได้เข้าควบคุมยมโลกอย่างราบรื่น…”
สิบวันต่อมา ในหุบเขาร้างนอกเมืองภูษาไหมม่วง
เฉินซีนั่งขัดสมาธิหน้าน้ำตก และเขากำลังกล่าวกับหม้อใบจิ๋ว
ตามที่หม้อใบจิ๋วได้กล่าวไว้ หลังจากที่ทวยเทพและพุทธองค์ได้เข้าควบคุมยมโลก อำนาจทั้งหมดในยมโลกก็ถูกควบคุมโดยภพเซียนและภพพุทธองค์ไม่มากก็น้อย
สิ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นหกวิถีสังสารวัฏ กรมราชทัณฑ์ ราชานรกทั้งสิบ เมืองผู้หลงผิด และกองกำลังอื่น ๆ อีกมากมายในนรกใต้พิภพก็ถูกควบคุมโดยขุมพลังอันยิ่งใหญ่ในภพเซียนและภพพุทธองค์
ตัวอย่างเช่น วิถีเทพ วิถีมนุษย์ วิถีสัตว์ร้ายและกรมราชทัณฑ์อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังในภพเซียนมาตลอด ในขณะที่วิถีอสูร วิถีนรก วิถีวิญญาณ และเมืองผู้หลงผิดอยู่ภายใต้การควบคุมของภพพุทธองค์
ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของหกวิถีสังสารวัฏหรือเจ้าเมืองของเมืองผู้หลงผิด ต่างได้รับการสนับสนุนจากขุมพลังอันยิ่งใหญ่จากภพเซียนและภพพุทธองค์ หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ การดำรงอยู่ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์หรือสูงกว่าภายในกองกำลังเหล่านั้น อาจถูกดึงเข้าไปในภพเซียนหรือภพพุทธองค์ไปตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ที่ควบคุมโดยตระกูลชุยก็เป็นหนึ่งในการดำรงอยู่ดังกล่าว มันได้รับอิทธิพลจากมหาอำนาจของภพเซียน ในขณะที่ชุยเจิ้นคงซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปราชญ์ ก็เป็นผู้ควบคุมกรมราชทัณฑ์ภายใต้ภพเซียน
ตัวอย่างเช่น พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ เจ้าเมืองแห่งเมืองผู้หลงผิดก็มาจากกองกำลังในภพพุทธองค์
ส่วนราชานรกทั้งสิบนั้น ภพเซียนกับภพพุทธองค์ต่างก็ควบคุมพวกเขาห้าคน ในหมู่พวกเขา ราชานรกองค์ที่สอง ราชาฉู่เจียงถูกควบคุมโดยภพเซียน ในขณะที่ราชาซ่งตี้ ราชาฉินก่วง ราชาผิงเติ่ง ราชาไท่ซาน ราชาเปี้ยนเฉิงและคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน พวกเขาต่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหนึ่งในมหาอำนาจนี้
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ ชื่อของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ มหาเสนาบดีและราชานรก เป็นเพียงฉายา ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ในความเป็นจริง มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะแม้แต่จักรพรรดิยมโลกก็ยังมีมากมาย
แน่นอนว่า นอกจากกองกำลังจากภพเซียนกับภพพุทธองค์แล้ว ยังมีกองกำลังอื่น ๆ อีกมากมายที่มีอยู่ในยมโลก ตัวอย่างเช่น โถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่ง และนิกายลำธารโลหิตที่อยู่ใต้ธารโลหิตยมโลก และอื่น ๆ เป็นต้น
ณ จุดนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจเกี่ยวกับกองกำลังต่าง ๆ ในยมโลกแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมตระกูลชุยถึงมีการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัว อย่างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ที่ยืนหยัดอยู่ในตระกูลของพวกเขา ปรากฏว่ามันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างกองกำลังของภพเซียนและภพพุทธองค์
แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มสับสนเช่นกัน ยกตัวอย่างนิกายลำธารโลหิตที่อยู่ใต้ธารโลหิตยมโลกนั้นกลับไม่ถูกควบคุมด้วยโดยภพเซียนหรือภพพุทธองค์ ถึงอย่างไร นิกายลำธารโลหิตก็มีมรดกเต๋าที่บรรพชนแม่น้ำโลหิตได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง และมักจะเร้นกายอยู่ที่ก้นบึงของธารโลหิตยมโลกอยู่เสมอ ทำให้ไม่มีใครย่างกรายเข้าไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก
ส่วนโถงน้ำพุยมโลกและโถงยายเฒ่าเมิ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างแท้จริง ที่พวกเขาสามารถยืนหยัดได้โดยไม่สั่นคลอนท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย
เฉินซีจึงถามคำถามนี้กับหม้อใบจิ๋ว และคำตอบที่ได้รับก็เรียบง่ายมาก เพราะโถงน้ำพุยมโลกและโถงยายเฒ่าเมิ่งเป็นกันชนระหว่างภพเซียนและภพพุทธองค์ เมื่อพวกเขาถูกควบคุมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กองกำลังของภพเซียนและภพพุทธองค์จะต้องเข้าสู่สงครามเท่านั้น เพราะกองกำลังทั้งสองได้ถูกแบ่งออกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาต้องการขยายอาณาเขต พวกเขาทำได้เพียงแต่ต้องเปิดฉากทำสงครามกับอีกฝ่ายเท่านั้น
ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจแล้ว จากนั้นเขาก็ลอบถอนหายใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังของยมโลกนั้นวุ่นวายอย่างแท้จริง หากจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามยังมีชีวิตอยู่ คงไม่มีผู้ใดจากภพเซียนและภพพุทธองค์ที่กล้าย่างกรายเข้ามาในยมโลก…”
แต่ในไม่ช้า เขาก็เลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่ายมโลกจะวุ่นวายเพียงใด มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มมากนัก สิ่งเดียวที่เฉินซีต้องใส่ใจคือการช่วยชิงซิ่วอี้จากราชาฉู่เจียง
หากการคาดเดาของเฉินซีถูกต้อง ความแข็งแกร่งของราชาฉู่เจียงคนปัจจุบันจะต้องไม่ด้อยไปกว่าชุยเจิ้นคง และมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราชาฉู่เจียงจะต้องมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์เป็นอย่างต่ำ!
ถ้าเขาต้องการช่วยเหลือชิงซิ่วอี้จากเงื้อมมือของตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ ความยากที่จะทำให้สำเร็จนั้นก็เห็นได้ชัด
“อย่าได้กังวล ข้าจะช่วยเจ้าเองเมื่อถึงเวลานั้น” หม้อใบจิ๋วกล่าวออกมา จึงทำให้เฉินซีมีความมั่นใจมากขึ้น แต่หม้อใบจิ๋วไม่ได้บอกว่ามันจะช่วยอย่างไร และโอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีมากเพียงใด สิ่งนี้ก็ทำให้หัวใจของเฉินซีหนักอึ้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“แล้วเจ้าได้คิดแผนการที่จะช่วยภรรยาของเจ้าแล้วหรือไม่?” ในขณะเดียวกัน เป้ยหลิงก็เดินเข้ามา นางสวมเสื้อผ้าสีขาวเรียบง่าย ในขณะที่เส้นผมสีดำขลับยาวสลวยเป็นเงางามของหญิงสาวก็ถูกมัดเป็นมวยไว้ข้างหลังศีรษะด้วยที่คาดผมซึ่งทำจากไม้ ร่างของนางเปล่งกลิ่นอายอันเยือกเย็น สง่างาม และงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ออกมา
“อันที่จริง ข้ารู้สึกว่าเจ้าประเมินราชาฉู่เจียงสูงเกินไป บางทีสถานะและอำนาจของเขาอาจยิ่งใหญ่กว่ามหาเสนาบดีของกรมราชทัณฑ์ แต่พลังของเขาอาจไม่แข็งแกร่งเท่าชุยเจิ้นคง” เป้ยหลิงนั่งข้างกายเฉินซีอย่างสบาย ๆ และเม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นับประสาอะไรกับชุยเจิ้นคงที่ไม่ได้เป็นมหาเสนาบดีของกรมราชทัณฑ์ หากเจ้าลองไตร่ตรองอย่างรอบคอบ บิดาผู้ล่วงลับของชิงหนิงคือตัวตนที่แท้จริงซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับราชาฉู่เจียง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่างกายของเฉินซีพลันแข็งทื่อไป และท่าทางของเขาก็ดูเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง!
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า ตัวเขาทำผิดพลาดอย่างน่าขันจริง ๆ เพราะชุยเจิ้นคงและราชาฉู่เจียงต่างก็เป็นตัวตนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
ในขณะเดียวกัน เขากลับเปรียบเทียบทั้งสองคนผิด ๆ มาตลอด และเขายังรู้สึกว่าราชาฉู่เจียงนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าชุยเจิ้นคง…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นอกจากจะรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะละอายใจเล็กน้อย เนื่องจากเขารู้กังวลและวิตกมากเกินไปจริง ๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ ข้าจะช่วยระบายความขุ่นเคืองของเจ้าเดี๋ยวนี้!” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นอารมณ์ของเฉินซีฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก ริมฝีปากของเป้ยหลิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย และหญิงสาวก็ขยิบตาขณะที่ถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
“ไว้รอดูก็แล้วกัน” เฉินซียิ้ม ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ เผยสีหน้าจริงจังและสงบนิ่งออกมา
โอม!
ในช่วงเวลาต่อมา กระแสพลังที่แปลกประหลาดก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา เหมือนกับระลอกคลื่นที่ไร้รูปร่างแผ่ขยายออกมาจากช่องเขานี้ ก่อนจะพุ่งเข้าสู่เมืองภูษาไหมม่วง หลังจากนั้นมันก็แพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็มาถึงจวนตระกูลชุยอย่างเงียบงัน