บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 973 โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 973 โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

บทที่ 973 โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

ทะเลทุกข์นั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

การเข้าไปในนั้นเป็นเหมือนกับการเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง พายุคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวในขณะที่เกลียวคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า และเมฆสีดำสนิทที่หนาทึบเป็นเหมือนภูเขามหึมาปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งหลั่งไหลไปด้วยสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย

บรรยากาศบริเวณนี้มีสัญญาณของการพังทลายอยู่แทบตลอดเวลา และมันก็เหมือนเศษแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ปรากฏเป็นภาพอันน่าสยดสยองให้ได้เห็น

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ วิญญาณพยาบาท วิญญาณดุร้าย และสัตว์น้ำที่น่าสะพรึงกลัวบางตัวที่มีรูปลักษณ์ดุร้าย มักจะลอยขึ้นมาจากในทะเลและออกอาละวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้ทะเลแห่งนี้เป็นเหมือนนรก!

ครืน!

ณ ทะเลอันกว้างใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยพายุฝน มีร่างห้าร่างกำลังต่อสู้กับ ‘สัตว์อสูรวิญญาณทะเล’ ด้วยท่าทางดุร้าย

ทังอวิ๋นถือธนูยาวในมือ เขาง้างคันธนูครั้งแล้วครั้งแล้ว และทำให้ลูกธนูพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิงไปทางสัตว์อสูรวิญญาณทะเลจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง

มันย่อมคือธนูระดับสมบัติอมตะ ลูกธนูเปรียบเสมือนลำแสงที่น่าทึ่งซึ่งขดตัวเป็นเกลียวด้วยปราณเซียน พวกมันมีพลังทะลุทะลวงที่น่าสะพรึงกลัว และสามารถฉีกท้องฟ้าออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

น่าเสียดาย แม้ว่าลูกธนูจะเหมือนกับสายฟ้าที่ฉับไว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยังรวดเร็วยิ่งกว่า พวกมันหลบเลี่ยงการโจมตีของทังอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่พวกมันหลายตัวก็กำลังโจมตีเขาด้วยความตั้งใจที่จะฉีกกระชากทังอวิ๋นเป็นชิ้น ๆ

หวังเยี่ยนถือดาบสีขาวดุจหิมะฟาดฟันไปมาในท้องฟ้า บีบบังคับสัตว์ร้ายทั้งหมดที่โจมตีเข้ามาให้ถอยร่นไป เขารับผิดชอบความปลอดภัยของทังอวิ๋น การร่วมมือระหว่างพวกเขาสอดประสานเป็นอย่างดี

ณ ใจกลางสนามรบ เหริ่นฉางเฟิงต่อสู้ด้วยมือเปล่า อานุภาพพลังของเขาเสมือนเทพเจ้าจุติลงมาบนโลกมนุษย์ มันทั้งดุร้ายและควบคุมยาก ซึ่งทุก ๆ กระบวนท่าแฝงไปด้วยพลังของกฎที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้สามารถทำลายล้างสัตว์อสูรวิญญาณทะเลได้มากมายนับไม่ถ้วน

แต่ทว่ามีสัตว์อยู่มากมายในฝูงนี้ พวกมันปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน และไม่สามารถระบุจำนวนที่แท้จริงได้ แต่การมีอยู่ของเหริ่นฉางเฟิงที่พยายามลดจำนวนสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ก็ช่วยลดภาระให้กับทุกคนได้

ส่วนเป้ยหลิงกับเฉินซีต่างเข่นฆ่าสังหารมุ่งเข้าไปในสนามรบแทน

เป้ยหลิงไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากการบ่มเพาะของนางมีระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม แต่พลังในการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดของนาง ก็พอจะดึงดูดความสนใจของเหริ่นฉางเฟิงและคนอื่น ๆ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจอย่างมาก

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยั้งมือไว้ได้ เขาลงมือสังหารแค่สัตว์อสูรวิญญาณทะเลเหล่านี้เมื่อพวกมันโจมตีเข้ามา ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน ชัยชนะได้อยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว ดังนั้นเฉินซีจึงไม่จำเป็นต้องพยายามมากนัก

“ทะเลทุกข์นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการลืมเลือน และแม้แต่สัตว์เหล่านี้ที่ก่อตัวขึ้นจากวิญญาณพยาบาท ก็ยังมีกลิ่นอายแห่งการลืมเลือนอยู่จาง ๆ…”

‘ช่องเขาพระราหูนั่นมีผลปารมิตา ข้าสงสัยว่าทะเลทุกข์นี้จะมีสมบัติที่มีคุณสมบัติของเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนด้วยหรือไม่ มันคงจะวิเศษมาก หากข้าสามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อบรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนได้อย่างถ่องแท้…’

‘แต่สถานที่แห่งนี้ก็อันตรายจริง ๆ มันปกคลุมไปด้วยห้วงมิติที่พังทลายและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย หากคนธรรมดาก้าวเข้าไปในทะเลแห่งนี้ คนผู้นั้นคงต้องตายไปนานแล้ว…’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจขณะจัดการกับสัตว์ร้ายเหล่านี้

พวกเขาได้เข้าไปในทะเลทุกข์เป็นเวลาสองวันแล้ว และพวกเขาก็พบกับอันตรายมากมายตลอดทาง แต่ภายใต้การนำของเหริ่นฉางเฟิง ทั้งคณะจึงเอาชนะอันตรายทั้งหมดที่เผชิญได้

ถ้าเป็นคนธรรมดามาที่นี่แทน ก็คงจะถูกฝังอยู่ในทะเลทุกข์ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป

แต่ถึงอย่างไร กลุ่มของพวกเขาก็รวมตัวกันจากเซียนสวรรค์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกหนึ่งคน ซึ่งแม้แต่กลุ่มที่ทรงพลังเช่นนี้ก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ว่าทะเลทุกข์นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

เช่นเดียวกัน สัตว์อสูรวิญญาณทะเลตรงหน้าพวกเขาก็เป็นสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อตัวขึ้นจากวิญญาณพยาบาท พวกมันทั้งหมดมีกลิ่นอายร้ายกาจ และตัวที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกมัน ก็มีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ ดังนั้นเมื่อพวกมันถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน พลังคุกคามที่พวกมันเผยออกมานั้นก็น่าตกตะลึงถึงขีดสุด

ปัง! ปัง! ปัง!

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป และมีสัตว์อสูรวิญญาณทะเลส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อนขณะที่พวกมันล้มตาย เพราะถูกสังหารด้วยลูกธนู ไม่ก็ถูกดาบผ่าร่างออกจากกัน หรือถูกเหริ่นฉางเฟิงคว้าจับโดยตรง ซึ่งถูกพรากชีวิตไปพร้อมกับสัตว์ร้ายอื่น ๆ อีกกว่าสิบตัว

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดสัตว์ร้ายเหล่านี้ก็ถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ พวกมันได้กลายเป็นปราณชั่วร้ายและทะเลเลือดที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

ทะเลที่กว้างใหญ่นี้กลับคืนสู่ความสงบ เฉินซีกวาดตามองไปรอบ ๆ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก พร้อมกับหยุดครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

“แม่นางเป้ยหลิงมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง อีกทั้งยังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ” ทังอวิ๋นยิ้มขณะที่เขาเดินเข้ามา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและความปรารถนาอันแรงกล้า เพราะหญิงสาวอย่างเป้ยหลิงผู้เย็นชานี้งดงามอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ และมีพลังในการต่อสู้ที่น่าทึ่ง นางจึงย่อมเป็นที่ได้รับความสนใจและความชื่นชม ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ตาม

หวังเยี่ยนที่อยู่ใกล้เคียงก็เผยท่าทางเห็นด้วยเช่นกัน โดยไม่คำนึงถึงภพมนุษย์หรือยมโลก พวกเขาล้วนปฏิบัติตามหลักการเคารพในความแข็งแกร่ง ถึงแม้การบ่มเพาะของเป้ยหลิงจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกเท่านั้น แต่กลับสามารถใช้พลังต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดได้ มันจึงน่าทึ่งอย่างแท้จริง!

เป้ยหลิงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ และนางเพียงแค่มองไปยังเฉินซีซึ่งกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ พร้อมกับครุ่นคิดในใจว่า ‘พวกเจ้าทุกคนไม่เคยเห็นการต่อสู้ของชายคนนั้น มิฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน …’

ในขณะเดียวกัน เหริ่นฉางเฟิงก็เดินเข้ามาและมองไปทางเป้ยหลิง ก่อนที่จะกล่าวว่า “ฝีมือของเจ้าไม่เลวจริง ๆ หากเจ้าสนใจ เจ้าสามารถเข้าร่วมหอการค้าสัพพัญญูของข้า และข้าจะชี้แนะการบ่มเพาะให้แก่เจ้าด้วยตัวเองได้”

ทันทีที่คำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทั้งทังอวิ๋นและหวังเยี่ยนต่างแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย เพราะพวกเขาดูจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเหริ่นฉางเฟิงจะประเมินหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าไว้สูงขนาดนี้

ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาขณะที่จ้องมองไปยังเป้ยหลิง เพราะพวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหริ่นฉางเฟิง และถึงแม้จะมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถให้เหริ่นฉางเฟิงแนะนำการบ่มเพาะด้วยตัวเองได้

แต่เป้ยหลิงกลับเป็นที่โปรดปรานของเหริ่นฉางเฟิง หลังจากประสบกับการต่อสู้เพียงครั้งเดียว และเขาถึงขนาดต้องการที่จะเป็นผู้แนะนำให้แก่นาง …นี่ย่อมหมายความว่าตราบเท่าที่นางบ่มเพาะจนถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ หญิงสาวจะสามารถประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าหอใต้พิภพทมิฬของหอการค้าสัพพัญญูแทนตัวเขาได้อย่างราบรื่น!

“แม่นางเป้ยหลิง นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เจ้าควรถนอมมันไว้”

“ใช่แล้ว ใต้เท้าเหริ่นได้ดูแลหอใต้พิภพทมิฬมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านได้ชื่นชมคนคนหนึ่งมากขนาดนี้”

ใบหน้าเย็นชาของเหริ่นฉางเฟิงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขากำลังจ้องมองไปทางเป้ยหลิง ในขณะที่มีร่องรอยของความคาดหมายอยู่จาง ๆ

อย่างไรก็ตาม เขากลับต้องประสบกับความผิดหวัง เพราะสีหน้าของเป้ยหลิงกลับสงบนิ่ง ขณะที่นางปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมกับหอการค้าสัพพัญญู และข้าพึงพอใจที่ได้ติดตามนายน้อย”

ขณะที่กล่าว นางก็ส่งยิ้มให้เฉินซีผ่านดวงตาคู่ชุ่มชื้นและรูปลักษณ์ที่งดงาม รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่หญิงสาวเผยออกมานั้น แทบจะทำให้ฟ้าดินรอบข้างดูหมองไปถนัดตา

เฉินซีตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะเกาจมูก ‘หรือเป้ยหลิงจะคิดเอาจริงเอาจังกับบทบาทของนาง?’

ทังอวิ๋นกับหวังเยี่ยนต่างชำเลืองมองกันและกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซึ่งนอกจากรู้สึกเสียดายแล้ว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฉินซี ขณะที่ครุ่นคิดในใจว่า ‘พลังของชายคนนี้ธรรมดายิ่งนัก แต่กลับมีสาวใช้ที่หาได้ยากเช่นนี้ เขาช่างโชคดีอย่างแท้จริง’

ทั้งสองคนกำลังจะพูดอะไรบางออกมา แต่เหริ่นฉางเฟิงเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ และขัดจังหวะพวกเขาเสียก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ไปกันเถอะ เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนที่คลื่นโลหิตจะปรากฏขึ้น”

ขณะที่กล่าว เขาดูจะจงใจเหลือบมองไปทางเฉินซี

แต่เฉินซีดูราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเพียงก้าวไปข้างหน้าและเริ่มสอบถามว่า “ท่านเจ้าหอเหริ่น ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าคลื่นโลหิตนั่นคือสิ่งใดกัน?”

เขาสังเกตเห็นมานานแล้วว่า กลุ่มสามคนของเหริ่นฉางเฟิงมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องจัดการ เมื่อพวกเขาออกทะเลในครั้งนี้ แต่ชายหนุ่มไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วม เพราะหากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น มันจะส่งผลให้เขาช่วยเหลือชิงซิ่งอี้ได้ล่าช้าลง

“ทังอวิ๋น เจ้าจงบอกเขาเถิด” เหริ่นฉางเฟิงสั่งก่อนจะกลับไปที่เรือเหาะสมบัติ ท่าทีของเขาดูเย็นชาและเฉยเมยกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“คลื่นโลหิตเป็นปรากฏการณ์ของฟ้าดินที่เกิดขึ้นในทะเลทุกข์เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น น้ำทะเลจะพลิกคว่ำสู่ท้องฟ้า เมื่อมองจากระยะไกล ท้องฟ้าดูราวจะตกสู่ทะเล และมันจะกวาดสมบัติโบราณหรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะบางอย่างออกจากก้นทะเล”

ทังอวิ๋นชำเลืองมองเฉินซีและไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอธิบายอย่างอดทนในที่สุด “แต่ใต้เท้าของข้าได้ค้นพบแล้วว่าคลื่นโลหิตในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับคลื่นโลหิตในอดีต และสมบัติโบราณจากนิกายพุทธอย่างโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติจะปรากฏขึ้น ตามตำนานที่เล่าขานกันมา มันได้ถูกทิ้งไว้โดยตัวตนอันสูงส่งจากภพพุทธองค์ ซึ่งถูกจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามปราบไว้ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และเป้าหมายของเราในครั้งนี้ก็คือสมบัติชิ้นนี้”

คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นในขณะที่เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ “โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ? ข้อมูลนั้นแน่นอนหรือไม่”

ท่าทางดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของทังอวิ๋นแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะหายวับไป “ไม่ว่ามันจะแน่นอนหรือไม่ก็ตาม เจ้าแค่ทำตามก็พอ เพราะข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย”

เฉินซียิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก

เห็นได้ชัดว่าทังอวิ๋นดูถูกเขา และที่สำคัญที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยึดถือสิ่งที่เรียกว่า ‘โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ’ เป็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของพวกเขาอยู่นานแล้ว ดังนั้นคนทั้งสามจึงระมัดระวังเวลาพูดจาเกี่ยวกับสิ่งนี้

“ไปกันเถอะ เมื่อเราไปถึงจุดหมายแล้ว ข้าจะชี้ทางให้เจ้าสองคนเอง” เหริ่นฉางเฟิงที่อยู่บนเรือเหาะสมบัติได้กล่าวอย่างเฉยเมย

ทุกคนกลับไปที่เรือเหาะสมบัติทันทีและเดินทางต่อไป

ยิ่งล่องเรือลึกเข้าไปในทะเลทุกข์มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสัมผัสถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

พายุห้วงมิติมักพัดผ่านไปมา มันกลืนกินวิญญาณที่น่าเกรงขามและดุร้ายจำนวนมาก ในขณะที่มวลเมฆสีดำบนท้องฟ้าซัดสายฟ้าจำนวนมากลงมาเป็นครั้งคราว อัสนีเหล่านี้อาบไล้ไปด้วยสีแดงของเลือด ทำให้พวกมันทั้งดูงดงามและน่าสะพรึงกลัว

แต่ภายใต้การนำของเหริ่นฉางเฟิง ทุกคนสามารถผ่านภูมิภาคที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย

แม้แต่ญาณเทวะอมตะของพวกเขาก็ยังถูกสยบเมื่ออยู่ในทะเล ทุกสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้ก็มีกลิ่นอายที่ขุ่นมัวและบิดเบี้ยว ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปลุกเร้าจิตวิญญาณและระมัดระวังมากขึ้น

บรรยากาศกดดันเป็นอย่างมาก

สีหน้าของเหริ่นฉางเฟิงหนักอึ้งขึ้นในเวลานี้ ความร้ายกาจของทะเลทุกข์ที่ทำให้เซียนสวรรค์หวาดกลัวได้ถึงขนาดนี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความอันตรายของมันว่าน่ากลัวเพียงใด

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นั่น มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีท่าทางสงบ เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนดาดฟ้าในขณะที่หลับตาทำสมาธิ ชายหนุ่มเป็นเหมือนรูปปั้นดินเผาที่ไม่เคลื่อนไหวและไม่ขยับเขยื้อน

เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการลืมเลือนที่อยู่ในทะเลทุกข์นี้ และในขณะที่ทำสมาธินี้ ชายหนุ่มสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า หากโคจรเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนไปทั่วทั้งร่างกาย เขาก็จะสามารถหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่นี้ได้อย่างง่ายดาย

มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับไปสู่อ้อมกอดของแก่นแท้แห่งเต๋ารู้แจ้ง และมันสบายเป็นอย่างมาก ทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกเลยว่า สภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นเลวร้ายเพียงใด

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ดวงตาของเหริ่นฉางเฟิงเบิกกว้างอย่างเต็มที่ และทันใดนั้นก็มีแสงจ้าพร่างพราวระยิบระยับ “ระวัง! เรากำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของคลื่นโลหิต!”

ทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของทังอวิ๋นและหวังเยี่ยนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ขณะที่พวกเขาลอบโคจรการบ่มเพาะทั้งหมด

ในขอบฟ้าอันไกลโพ้น ประกายแสงสีแดงเข้มงดงามปรากฏขึ้น มันราวกับปากเปื้อนเลือดมหึมาที่หมายมั่นจะกลืนกินทุกคน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท