บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 974 แหวนพิชิตโมฆะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 974 แหวนพิชิตโมฆะ

บทที่ 974 แหวนพิชิตโมฆะ

เฉินซีลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและจ้องมองไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้น

เมื่อเขาจ้องมองด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง ชายหนุ่มก็เห็นแสงสีแดงเข้มอันน่าหลงใหลอยู่ที่ขอบฟ้า ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะก่อตัวขึ้นจากคลื่นโลหิต มันย้อมมวลเมฆ ท้องฟ้า และแผ่นดินจนเป็นสีแดง

น้ำทะเลขุ่นมัวที่ไร้ขอบเขตดูจะกำลังเดือดพล่าน จากนั้นมันก็กลายเป็นคลื่นมหึมาพุ่งขึ้นฟ้า ซึ่งอาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงเลือด อีกทั้งยังส่งเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า

เลือดย้อมฟ้าดินจนกลายเป็นสีแดง ในขณะที่คลื่นซัดขึ้นไปบนท้องฟ้า!

เมื่อมองจากระยะไกล มันก็เป็นไปตามที่ทังอวิ๋นได้กล่าวไว้ ดูราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดจะตกลงไปในทะเล และจมอยู่ในเลือดสีแดงสดที่พร่างพราว

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและคุกคามก็แผ่ออกมาจากที่นั่น ซึ่งดูเหมือนปีศาจที่ไร้เทียมทานจะพุ่งออกมาจากก้นทะเลในอีกไม่ช้า

“คลื่นโลหิต!” เหริ่นฉางเฟิงอุทานออกมา ดวงตาของเขาเป็นดุจสายฟ้าสองสายที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะจดจ้องไปยังคลื่นโลหิตที่อยู่ไกลออกไป

“ใต้เท้า อีกนานแค่ไหนกว่ามันจะเริ่มขึ้น?” ทังอวิ๋นดึงคันธนูยาวออกมาและค่อย ๆ ลูบศรสีทองในมือ เขายังคงแสยะยิ้ม แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร อีกทั้งการเคลื่อนไหวของเขานั้นอ่อนโยน ราวกับว่ากำลังลูบใบหน้าของคนรักอยู่

หวังเยี่ยนเม้มปากและยังคงนิ่งเงียบ อย่างไรก็ตาม เขาลอบกำดาบที่ขาวราวกับหิมะในมือเงียบ ๆ ซึ่งมันก็เป็นสมบัติอมตะเช่นเดียวกัน และเป็นดาบที่มีจิตสังหารหนาแน่น

“ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น เมื่อวิญญาณร้ายตนนั้นพุ่งตัวออกมาในชั่วพริบตา เจ้าทั้งคู่จงขัดขวางมันไว้ ส่วนข้าจะจัดการกับมันเอง” ผมของเหริ่นฉางเฟิงพลิ้วไสว ในขณะที่ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“วิญญาณร้ายอันใดหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม ในขณะที่เป้ยหลิงก็งุนงงเช่นกัน

“วิญญาณร้ายนั้นคือผู้ยิ่งใหญ่จากภพพุทธองค์ที่ถูกสยบไว้ในทะเลทุกข์โดยจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเมื่อหลายปีก่อน มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันได้รับการฝึกฝนอยู่ใต้ทะเลทุกข์มาเนิ่นนาน ทำให้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมันเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์ และโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติก็อยู่ในความครอบครองของมัน” ทังอวิ๋นอธิบายจากทางด้านข้าง แต่เขากลับกำลังมองไปยังเป้ยหลิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อธิบายให้เฉินซีฟัง

เฉินซีเข้าใจอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาไม่ได้คิดใส่ใจท่าทางที่หยาบคายของทังอวิ๋นแต่อย่างใด

“ระวังตัวไว้ วิญญาณร้ายนั่นกำลังจะโผล่ออกมา อย่าได้ส่งเสียง ข้าจะปกป้องเราด้วยม่านพลังวิญญาณสวรรค์เก้าดารา ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบเห็น ส่วนเรื่องอื่นแค่ฟังคำสั่งของข้าก็พอ!”

ขณะที่เขากล่าว เหริ่นฉางเฟิงก็พลิกฝ่ามือขึ้น ทำให้เกิดม่านพลังที่ดูเหมือนขัดเกลาจากมวลหมู่ดาวลอยขึ้นไปกลางอากาศ และมันเปล่งรัศมีแห่งสวรรค์ปกคลุมทุกคนที่อยู่ในนั้น

ทันใดนั้น ร่างของพวกเขาดูจะเลือนหายไปในอากาศ และแม้แต่กลิ่นอายของพวกเขาก็ถูกแยกออกไป มันจึงน่ามหัศจรรย์มาก

ม่านพลังวิญญาณสวรรค์เก้าดารานี้ย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าในการปกปิดตัวตน

แสงสีเลือดส่องประกายแวววาวจากในระยะไกล และทอดยาวออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า

น้ำทะเลขุ่นมัวถูกพลิกกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับกระแสน้ำที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นชั้น ๆ ปรากฏเป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก และกลิ่นอายที่กดดันที่มันแผ่ออกมาก็รุนแรงยิ่งขึ้น

ฟิ้ว!

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสูงสี่จั้งก็พุ่งตัวออกมาจากก้นทะเล

ทันใดนั้นฟ้าดินทั้งหมดก็เดือดพล่าน ทะเลสั่นกระเพื่อม ขณะที่แสงสีเลือดพุ่งออกไปทุกทิศทาง และทำให้ร่างนี้ดูเหมือนปีศาจที่ไร้เทียมทาน

เมื่อลองสังเกตดี ๆ ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะร่างนั้นคือหลวงจีนที่มีใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา มีแววตาแจ่มใส หน้าผากใสสะอาดที่เปี่ยมด้วยรัศมีแห่งปัญญา

แต่ร่างของเขากลับถูกคลุมด้วยจีวรเปื้อนเลือด และปักด้วยลวดลายที่น่าสะพรึงกลัว เช่น อสูร วิญญาณร้าย วิญญาณพยาบาท และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีแม้แต่สายประคำที่ขัดเงาจากกระดูกที่ห้อยอยู่ที่คอของเขา ซึ่งแต่ละลูกก็ดูเหมือนหัวกะโหลกของปีศาจ อีกทั้งยังเผยให้เห็นรูปร่างที่บิดเบี้ยวและดุร้าย

นี่เป็นหลวงจีนที่แปลกประหลาดมาก ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความเมตตา สงบ และเผยให้เห็นถึงรัศมีแห่งปัญญา ทว่าร่างกายของเขากลับถูกห่อหุ้มด้วยจีวรและเครื่องประดับอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งแผ่ความเย็นไปถึงสันหลัง

หลวงจีนองค์นี้ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่ผี ไม่ใช่มนุษย์หรือมาร กลิ่นอายที่เขาเปล่งออกมานั้นดูเมตตา แต่กลับแฝงกลิ่นอายที่มืดมนและโหดเหี้ยม ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว

“กลิ่นอายร้ายกาจอะไรเช่นนี้!”

ดวงตาของเฉินซีจดจ่อ ในขณะที่เขาสังเกตเห็นทันทีว่า ร่างกายของหลวงจีนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองมหาศาล และอีกฝ่ายถูกสร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณ ซึ่งปราศจากร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง

ถึงอย่างนั้น กลิ่นอายของหลวงจีนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์เลย!

เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่า การบ่มเพาะของผู้ยิ่งใหญ่จากภพพุทธองค์จะน่ากลัวเพียงใด เมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะถูกสังหารที่นี่เมื่อหลายปีก่อน

“อมิตาภพุทธ เลือดของทวยเทพนั้นไม่ยอมสยบให้กับผู้ใด มันตั้งใจที่จะทะลวงผ่านท้องฟ้าและหลบหนี แต่นี่จะเป็นการเสียประโยชน์อย่างแท้จริง เหตุใดถึงไม่กลายเป็นอวัยวะภายในของอาตมาผู้ยากไร้ เผื่ออาตมาจะได้เติมเต็มท้องให้อิ่ม บางทีอาตมาอาจฝ่าพันธนาการเหล่านี้และกลับสู่แดนพุทธภูมิได้”

ทันทีที่หลวงจีนปรากฏกายขึ้น เขาก็เปล่งเสียงสวดมนต์เป็นพุทธบูชาด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา และดูเหมือนหลวงจีนต้องการจะปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ด้วยการพลิกฝ่ามือ โคมสัมฤทธิ์ก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา

โคมนี้มีความสูงประมาณสิบสองชุ่น และมีคราบสนิมเกรอะกรังเต็มไปหมด ทำให้ลวดลายต่าง ๆ บนพื้นผิวพร่าเลือน

ไส้ตะเกียงเป็นเหมือนลูกปัดที่แกว่งไปแกว่งมาไม่มีสิ้นสุด และถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวหยกที่นุ่มนวล แสงที่เปล่งออกมานั้นสลัว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะดับลงในอีกชั่วขณะ

แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น คลื่นโลหิตและพายุในทะเลใกล้เคียงก็ดูจะหวาดกลัว พวกมันต่างค่อยถอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ

“โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ! เป็นมันจริง ๆ!” ดวงตาของเหริ่นฉางเฟิงส่องประกายแสงที่หนาแน่นและร้อนแรงออกมา

จิตวิญญาณของทังอวิ๋นและหวังเยี่ยนก็ปลอดโปร่งเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก เพราะนั่นเป็นพุทธศาสนสมบัติโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยถูกครอบครองโดยตัวตนสูงส่งจากภพพุทธองค์ ดังนั้นจะเทียบกับสมบัติโบราณธรรมดาได้อย่างไร?

“มันเป็นสมบัติที่ดีจริง ๆ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่ของข้า…”

เฉินซีจ้องมองมันเพียงครู่เดียว แต่เขากลับลอบถอนหายใจแทน เนื่องจากชายหนุ่มไม่ได้มีเจตนาที่จะแย่งมันจากเหริ่นฉางเฟิง เพราะถึงอย่างไร เขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายเพื่อไปให้ถึงอีกฝั่งของทะเลทุกข์

ยิ่งไปกว่านั้น เหริ่นฉางเฟิงยังเป็นเซียนสวรรค์ และเขาไม่แน่ใจว่าสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่… ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“พุทธองค์เป็นผู้มีเมตตา ถ้าสายเลือดของเทพไม่สงบ แล้วอาตมาผู้ยากไร้รูปนี้จะเป็นพุทธองค์ได้อย่างไร? ไป! ไป! ไป! จงส่งวิญญาณและปัดเป่าภัยพิบัติ! ข้าจะทิ้งทั้งหมดไว้ให้เจ้า!” จู่ ๆ หลวงจีนก็ตะโกนเสียงดัง ในขณะที่สีหน้าของเขาผันเปลี่ยนเป็นดุร้ายป่าเถื่อน เขาสะบัดมือและเหวี่ยงโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติออกไปด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลาคลื่นโลหิตที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่

“จู่โจม!” ทันใดนั้น เหริ่นฉางเฟิงกู่ร้องออกมาขณะที่ร่างของเขาสว่างวาบ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปในระยะไกล ปราณเซียนส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วร่างของเขา มันถูกขดด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ แล้วเขาก็ใช้กระบวนท่าร้ายแรงทันทีที่โจมตี

โครม!

พลังฝ่ามือทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและทะลวงผ่านอากาศ มันเป็นเหมือนภูเขาที่บดขยี้ลงมายังหลวงจีน อานุภาพของฝ่ามือนั้นยิ่งใหญ่และเชื่อมโยงกับกฎ ทำให้มันเผยพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์อย่างเต็มที่

“ฮึ่ม! ผ่านมากี่ปีแล้ว? ยังคงใช้ลูกไม้เดิมเหมือนเคย อาตมาคาดการณ์ได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะต้องมีกลุ่มขยะบ้าบิ่นเอาชีวิตมาทิ้งในวันที่คลื่นโลหิตปะทุขึ้นเป็นแน่!”

สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ก่อนที่ฝ่ามือจะฟาดลงมา จู่ ๆ หลวงจีนก็หันหน้ากลับมา ในขณะที่รอยยิ้มอันเย็นชาและโหดร้ายปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก ในพริบตาต่อมา หลวงจีนก็หายไปจากอากาศแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติก็หายไปพร้อมกับหลวงจีนรูปนั้น

เหริ่นฉางเฟิงดูจะไม่แปลกใจเลยที่การโจมตีของเขาไม่ประสบผลสำเร็จ ร่างของเจ้าตัวสว่างวาบในขณะที่กำปั้นเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเป็นพิเศษ เมื่อตัวคนเคลื่อนตัวผ่านบริเวณโดยรอบและทุบการโจมตีที่ปกคลุมท้องฟ้าออกไป

โครม! โครม! โครม!

คลื่นเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ในขณะที่ฟ้าดินแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ และท่ามกลางน้ำทะเลที่แยกออกจากกัน จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ถูกบีบบังคับให้ออกมาจากห้วงมิติ

น่าประหลาดใจที่เป็นหลวงจีนรูปนั้น แต่ท่าทีของหลวงจีนกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจและงุนงง “เพลงหมัดแปดปรมัตถ์สยบอนัตตา!? นี่คือเคล็ดวิชาจากนิกายพุทธของข้า! เจ้าเรียนรู้มันได้อย่างไรกัน!”

เพลงหมัดแปดปรมัตถ์สยบอนัตตา สื่อถึงความหมายของหลักคำสอนทางพุทธศาสนา โดยทิศทั้งแปดก่อตัวเป็นโลกหนึ่ง ส่วนความว่างเปล่าคือกำแพงกั้นที่ก่อกำเนิดพุทธโลกแห่งอิสรภาพและความสุข เมื่อใช้เพลงหมัดนี้ออกไป มันจะใช้พลังของกฎเพื่อปิดผนึกฟ้าดิน ทำให้ศัตรูไม่มีที่ซ่อนหรือที่หลบหนี

จุดประสงค์ของมันก็เป็นเช่นเดียวกับศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการและเคล็ดวิชาผนึกมิติจองจำ แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน

“ข้าได้วางแผนและเตรียมการมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเต็มเพื่อที่จะบดขยี้เจ้า ไอ้วิญญาณร้าย! แล้วข้าจะยอมให้เจ้าหนีไปได้อย่างไร” เหริ่นฉางเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเขาเห็นหลวงจีนถูกบังคับให้ออกจากที่ซ่อน ก่อนที่เหริ่นฉางเฟิงจะพุ่งตรงไปยังหลวงจีนขณะที่กล่าว

ในขณะเดียวกัน ทังอวิ๋นกับหวังเยี่ยนก็มาถึงเช่นกัน หนึ่งในนั้นถือคันธนูยาวและทะยานไปรอบ ๆ ส่วนอีกคนถือดาบยาวพุ่งตรงไปทางหลวงจีน

“ลุยกันเถอะ” เป้ยหลิงกล่าว

“ช้าก่อน มันจะทำให้พวกเขาเสียสมาธิ” เฉินซีรีบหยุดนาง

“เสียสมาธิหรือ?”

เป้ยหลิงตกตะลึง จากนั้นนางก็เข้าใจ เพราะสิ่งที่เฉินซีกล่าวนั้นถูกต้องจริง ๆ หากเรารีบบุกเข้าไปในเวลานี้ พวกเขาอาจจะสงสัยว่าเรากำลังจะไปแย่งชิงสมบัติ และเป็นการง่ายมากที่จะเกิดเรื่องร้ายขึ้น

แม้ว่าหลวงจีนจะเป็นวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งได้รับการบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ แต่ความแข็งแกร่งของหลวงจีนก็น่ากลัวอย่างยิ่ง บางครั้งก็แผ่ปราณที่น่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจดุร้าย ในขณะที่บางครั้งก็เปี่ยมด้วยความเมตตาราวกับตั้งใจปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งแท้จริงแล้ว ดูเหมือนหลวงจีนรูปนี้จะเชี่ยวชาญในวิถีของพุทธองค์และปีศาจ

แต่เหริ่นฉางเฟิงดูจะคุ้นเคยกับความสามารถทั้งหมดของหลวงจีนอย่างลึกซึ้ง หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจในตัวหลวงจีนเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นยามต่อสู้กับหลวงจีนรูปนี้ เหริ่นฉางเฟิงดูจะไร้ความกลัวและเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า การโจมตีของเขาเหมือนเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ภูเขาที่พังทลาย และสายฟ้าที่ว่องไว ซึ่งดูเหมือนเจ้าหอผู้นี้จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่เล็กน้อย

ส่วนผลกระทบที่เกิดจากน้ำมือของทังอวิ๋นและหวังเยี่ยน ดูเหมือนจะไม่สำคัญนัก

ผ่านไปไม่นาน หลวงจีนรูปนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลรินออกมาจากริมฝีปาก ในขณะที่ใบหน้านั้นเผยความโหดเหี้ยมและไม่พอใจ จากนั้นจึงคำรามด้วยความขุ่นเคืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

โอม!

ในช่วงเวลาต่อมา เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และใช้โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ

เปลวเพลิงหยกแกว่งไกวขณะที่เปล่งแสงอันไร้ขอบเขตออกมา เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมต่าง ๆ เช่น พุทธองค์ส่องแสง พระเวทปราบมาร บงกชแห่งกรรมกำลังปลดปล่อยโลก มังกรสวรรค์ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย

“ปราศจากกิเลสก็ไม่มีความว่างเปล่า ปราศจากกิเลสก็ไม่แปดเปื้อนมลทินของสัตว์โลก…”

“ดุจความฝัน ดั่งฟ้าแลบ สรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์ อาตมาเคยได้ยินมาเช่นนี้…”

ในเวลาเดียวกัน เสียงสวดมนต์ของชาวพุทธก็ดังกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน ราวกับว่าพุทธองค์กำลังตรัสถึงดวงดาว มันสว่างไสวและกระทบที่หัวใจโดยตรง

ปรากฏการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ ราวกับมันตั้งใจที่จะปลดปล่อยฟ้าดินและกำจัดภัยพิบัติทั้งหมด

นี่คืออานุภาพของพุทธศาสนสมบัติโบราณ โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ มันทำให้จักรวาลตกตะลึงและสั่นคลอนเหล่าทวยเทพ! อย่างไรก็ตาม เหริ่นฉางเฟิงดูเหมือนจะรอช่วงเวลานี้มานานแล้ว เจ้าตัวยื่นมือออกไปเพื่อดึงแหวนทองแดงที่แตกหักออกมา ก่อนที่จะโยนมันออกไปกลางอากาศ และเสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังขึ้น ขณะที่โคมสัมฤทธิ์ก็ติดกับมันจริง ๆ!

“ทังอวิ๋น จับให้ได้!”

ฟิ้ว!

ในช่วงเวลาต่อมา แหวนสัมฤทธิ์ได้เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งไปในมือของทังอวิ๋น

“บัดซบ! มันคือแหวนพิชิตโมฆะที่สามารถปราบสมบัติได้ทั้งมวลหรอกเรอะ! ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมการหลายสิ่งหลายอย่างมาเพื่อจัดการกับข้า! ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ วันที่ข้าจะล้างบางตระกูลของพวกเจ้าจะมาถึงในไม่ช้า!” ทันใดนั้น หลวงจีนก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า จากนั้นร่างของอีกฝ่ายก็สว่างวาบด้วยความตั้งใจที่พุ่งจะเข้าสู่ทะเลทุกข์

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหริ่นฉางเฟิงพลันเงยหน้าขึ้นและคำรามลั่น จากนั้นร่างของเขาก็สว่างวาบ ในขณะที่ไล่ตามหลวงจีนไป “สารเลว! วันนี้ตัวเจ้านั่นคิดว่าจะหลบหนีได้หรือ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีคัมภีร์พระไตรปิฎกโบราณอยู่ในครอบครอง และเป็นมรดกสูงสุดจากภพพุทธองค์ ดังนั้นจงส่งมันมาให้ข้าเสีย!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท