บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 975 ชะตาลิขิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 975 ชะตาลิขิต

บทที่ 975 ชะตาลิขิต

ในพริบตาต่อมา เหริ่นฉางเฟิงพลันพุ่งเข้าสู่ก้นทะเลทุกข์พร้อมกับหลวงจีน

ด้วยเนตรเทวะแห่งความจริงของเฉินซี เขาจึงแยกแยะได้ว่าทั้งสองคนกำลังไล่ล่าอยู่ใต้ทะเลทุกข์ และกำลังพุ่งเข้าสู่ก้นทะเลอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาห่างออกไปราวหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ เนตรเทวะแห่งความจริงก็ตรวจจับอะไรไม่ได้อีกต่อไป

มันช่วยไม่ได้ การบ่มเพาะกายาในร่างหลักของเฉินซีนั้นระดับต่ำเกินไป และขีดจำกัดของระยะการมองเห็นที่เนตรเทวะแห่งความจริงสามารถตรวจจับได้ก็แค่หนึ่งร้อยห้าสิบลี้

“ใต้เท้าเหริ่นจะปลอดภัยหรือไม่?” ทังอวิ๋นเก็บแหวนสัมฤทธิ์ที่แตกหักอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างกังวล

หวังเยี่ยนส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าตัวเขาก็ไม่ทราบ ขณะที่สีหน้าของเจ้าตัวก็แข็งทื่อและสงวนท่าทีตามปกติ

“โอ้ เราคงได้แต่รอ วิญญาณร้ายนั้นไม่ใช่คู่มือของใต้เท้าเหริ่นอย่างแน่นอน” ทังอวิ๋นครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

พวกเขาต่างถือคันธนูและดาบ ในขณะที่เฝ้ารออย่างระมัดระวัง พร้อมกับตั้งท่าพร้อมต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

“เราควรยึดโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติและแหวนพิชิตโมฆะนั้นหรือไม่” ในระยะไกล เป้ยหลิงได้กล่าวผ่านกระแสปราณด้วยเสียงที่แผ่วเบา สีหน้าของนางเย็นชา ในขณะที่ดวงตาเผยให้เห็นความกระตือรือร้นเล็กน้อย

“ลืมมันซะ เราแค่ร่วมทางมาด้วยกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากเจ้าขาดแคลนสมบัติวิเศษ ข้าก็พอมีในครอบครองอยู่บ้าง” เฉินซีส่ายศีรษะ ขณะที่เขากล่าวผ่านกระแสปราณเช่นกัน

เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ใครจะอยากได้สมบัติวิเศษจากเจ้ากัน? ข้าแค่รู้สึกว่าท่าทีของสองคนนั้นเลวร้ายอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วข้าจะปล้นใครได้อีกนอกจากพวกเขา”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขบขัน ไม่ว่าการบ่มเพาะของนางจะสูงส่งเพียงใด แต่ความพยาบาทของสตรีย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

แน่นอนว่าเฉินซีย่อมรู้สึกยินดีในใจ เพราะถึงอย่างไร เป้ยหลิงที่ดูเหมือนจะเย็นชา แต่แท้จริงแล้วนางกลับอ่อนไหวมากและใส่ใจความรู้สึกของเขาอยู่เสมอ

ทันใดนั้น น้ำทะเลกระเพื่อมอย่างรุนแรง ร่างหนึ่งพุ่งออกมา น่าแปลกที่มันคือเหริ่นฉางเฟิง

อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าของเขาในยามนี้แปดเปื้อนไปด้วยเลือด ในขณะที่สีหน้าของเจ้าตัวซีดลงอย่างน่ากลัว และกลิ่นอายของเขาก็อ่อนแอลง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

ทันทีที่เขาพุ่งตัวออกจากทะเล เขาก็เขย่าม้วนไผ่ในมือพร้อมกับหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ! ดูซิว่านี่คือสิ่งใด! พระสูตรปัดเป่าภัยพิบัติแห่งวัดวิญญาณบรรพกาล ฮ่า ๆๆ!!” เสียงหัวเราะของเขาสั่นสะเทือนท้องฟ้าและเผยให้เห็นถึงความสุขที่ไร้ขอบเขต

แต่ในพริบตาต่อมา จู่ ๆ เขาก็เริ่มกระอักเลือดโขลก ๆ ในขณะที่ร่างโงนเงนไปมาและแทบจะร่วงหล่นลงไปในทะเลทุกข์ เห็นได้ชัดว่าเหริ่นฉางเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ที่ผ่านมา

เหริ่นฉางเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบเลือดลมในร่างกายของเขา จากนั้นจึงตะโกนเสียงดังว่า “ทังอวิ๋นรีบมอบโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติให้ข้าเร็วเข้า ข้าจะตรวจสอบสมบัติชิ้นนี้”

“ขอรับ ใต้เท้าเหริ่น”

ทังอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ตอบ ทว่าเขาไม่ได้มอบโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติให้กับเหริ่นฉางเฟิง แต่กลับง้างธนูยาวแทน ทำให้ลูกธนูพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้าและเจาะเข้าที่คอของหวังเยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยตรง!

การโจมตีครั้งนี้ไร้ความปรานีอย่างยิ่ง และทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะลอบทำร้ายสหายของตนเอง และไม่ต้องกล่าวถึงว่าหวังเยี่ยนอยู่ห่างจากเขาเพียงสามก้าว ดังนั้นการลอบทำร้ายเช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่จะหลบได้ทัน ทำให้หวังเยี่ยนเสียชีวิตทันที

ฉูด!

เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ในขณะที่หวังเยี่ยนตายตกอย่างไม่อาจขัดขืนหรือแก้ไขสิ่งใดได้

บรรยากาศหยุดชะงักทันทีเมื่อทุกคนเห็นฉากนี้

แม้แต่เป้ยหลิงกับเฉินซีก็รู้สึกเย็นเยียบในใจ เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ทังอวิ๋นที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาจะกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจและไร้ความปรานีในชั่วพริบตา

“ทังอวิ๋น เจ้า…” เมื่อเห็นฉากนี้ เหริ่นฉางเฟิงก็โกรธจัดจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง เพราะเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่า ไอ้ลูกสามแม่คนนี้ตั้งใจจะทรยศเขาและแย่งชิงสมบัติไป

“ใต้เท้าเหริ่น ข้าขออภัยด้วย หลังจากเจ้าปฏิเสธที่จะเป็นผู้แนะนำให้ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าทังอวิ๋นได้ตัดสินใจแล้วว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตของข้าจะต้องเหนือกว่าเจ้า และจะต้องเหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้เท้าข้าให้จงได้!”

ทังอวิ๋นเริ่มหัวเราะออกมา แต่เสียงหัวเราะของเขากลับเผยให้เห็นถึงความเย็นชาและความขุ่นเคืองเล็กน้อย “อย่าได้โทษว่าข้าไร้ความปรานี ข้าก็ต้องการก้าวหน้าและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของหอใต้พิภพทมิฬเช่นกัน ข้าอยากจะเลิกทำตัวประจบประแจง เลิกประจบสอพลอ และเลิกถูกคนอื่นสั่ง รู้หรือไม่ว่าข้ารู้สึกขยะแขยงแค่ไหน!”

ฟิ้ว!

ในขณะที่กล่าว ทังอวิ๋นได้ง้างสายธนูและวางลูกธนูลงบนมัน ก่อนที่ลูกธนูอีกดอกจะพุ่งทะลุท้องฟ้าอีกครั้ง

“ระวัง!” ดวงตาของเฉินซีจดจ่อ ในขณะที่เขาร้องเตือน

ทันทีที่เสียงของชายหนุ่มเพิ่งเปล่งออกมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมาอย่างรุนแรง เหริ่นฉางเฟิงกุมหน้าอกซ้ายของตน ที่ซึ่งปรากฏเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นทะลวงผ่าน!

ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ของเขา จึงยังคงไม่สามารถสกัดลูกธนูนี้ได้ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า อาการบาดเจ็บสาหัสที่เหริ่นฉางเฟิงได้รับจากการต่อสู้กับวิญญาณร้ายก่อนหน้านี้…รุนแรงเพียงใด!

บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ ทังอวิ๋นจึงกล้าที่จะละทิ้งเกียรติยศเพื่อผลประโยชน์ และคิดทรยศเหริ่นฉางเฟิงอย่างเด็ดเดี่ยว

“นึกไม่ถึงว่าสหายที่ข้าไว้ใจในฐานะมือขวาของข้ามาตลอด กลับกล้าที่จะหักหลังข้าจริง ๆ! เมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่ควรเก็บขยะอย่างเจ้าที่กำลังขอทานตามท้องถนนมาเลยจริง ๆ!” สีหน้าของเหริ่นฉางเฟิงซีดเผือด ในขณะที่ดวงตาของเขาแทบจะลุกเป็นไฟ เขาหันกลับไปมองทางเฉินซีและเป้ยหลิง ซึ่งดูราวจะตั้งใจขอความช่วยเหลือจากคนทั้งสอง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดอะไรบางอย่างได้และส่ายศีรษะในที่สุด

“แม้แต่ทังอวิ๋นยังทรยศข้า นับประสาอะไรกับคนนอกสองคนนี้?”

“หลังจากเห็นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาคงเกิดความคิดที่จะลงมือฆ่าข้าและแย่งชิงสมบัติไปด้วยกระมัง?”

“นึกไม่ถึงว่าสมบัติที่ข้าเหริ่นฉางเฟิงวางแผนและเตรียมการมากว่าร้อยปีเพื่อให้ได้มา จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นในท้ายที่สุด และข้าถึงกับต้องมาจบชีวิตตนเองด้วยซ้ำ…”

เหริ่นฉางเฟิงรู้สึกหดหู่และท้อแท้

จู่ ๆ ทังอวิ๋นก็เริ่มหัวเราะเสียงดังสนั่น “ฮ่า ๆๆ! จะกล่าววาจาไร้สาระอีกต่อไปทำไม? น่าเสียดายที่วันนี้ข้ากำลังจะฆ่าเซียนสวรรค์ แต่ข้ากลับไม่อาจบอกใครได้ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ”

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

สายธนูสั่นสะเทือนราวกับเสียงพายุฝนฟ้าคะนอง ลูกธนูสีทองสลัวมากมายที่แฝงไปด้วยพลังทะลุทะลวงอันน่าสะพรึงกลัว ได้ฉีกท้องฟ้าออกจากกันและกระหน่ำลงไปที่เหริ่นฉางเฟิง

วู้~ วู้~ วู้~

เสียงโหยหวนดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

เหริ่นฉางเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่มีพลังที่จะหลบเลี่ยงเมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะฝืนกัดฟัน และตั้งใจที่จะใช้พลังทั้งหมดในร่างกาย เพื่อทำลายม้วนคีมภีร์ไผ่ในมือที่บันทึกพระสูตรปัดเป่าภัยพิบัติไว้บนนั้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ มีร่างหนึ่งแวบเข้ามา และพาเขาให้รอดพ้นจากความตาย

ร่างนั้นทั้งสูงใหญ่และหล่อเหลา ซึ่งคือเฉินซีนั่นเอง

“เจ้า…” เหริ่นฉางเฟิงตกตะลึง และดูจะไม่กล้าเชื่อว่าเฉินซีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะอย่างน่าสมเพช “ให้ข้าเดาว่าเจ้าคงทำเพื่อพระสูตรปัดเป่าภัยพิบัติที่อยู่ในการครอบครองของข้าใช่หรือไม่?”

“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าจะไปถึงอีกฝั่งของทะเลทุกข์ได้อย่างไร ดังนั้นเจ้าจึงตายไม่ได้” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น ก่อนที่จะโยนเหริ่นฉางเฟิงไปให้เป้ยหลิง

“สารเลวน้อย! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” สีหน้าของทังอวิ๋นมืดมนทันที เมื่อการโจมตีของเขาไม่สำเร็จ “ตลอดทางที่แล้วมา ข้าต้องฝืนทนต่อเจ้ามาเป็นเวลานาน และถ้าเจ้ามีเหตุผลเพียงพอ บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป แต่น่าเสียดายที่การกระทำของเจ้านั้นบังคับให้ข้าต้องฆ่าเจ้า!”

ขณะที่กล่าว เขาได้มองไปทางเป้ยหลิง และแววตัณหาก็ระบายผ่านริมฝีปาก “แม่นางเป้ยหลิง เจ้าควรอยู่เฉย ๆ อย่างเชื่อฟังเสียดีกว่า และข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ หลังจากที่ข้าฆ่านายน้อยไร้ประโยชน์คนนี้ของเจ้า มิฉะนั้น เจ้าไม่มีทางจะออกจากทะเลทุกข์ด้วยตัวคนเดียวได้”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ คนผู้นี้ช่างโลภมากและบ้าตัญหาแท้!

“ฮ่า ๆๆ! เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดพล่ามต่อไปเล่า? หรือเจ้าคิดที่จะถ่วงเวลา? เจ้าช่างไร้ค่าเสียจริง! เจ้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะต่อสู้กับข้า! แม่นางเป้ยหลิง ลองดูนี่สิ นี่หรือนายน้อยที่เจ้าติดตาม! ช่างเป็นเศษขยะเสียจริง!” ทังอวิ๋นหัวเราะดังสนั่นอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งดูเหมือนเขาจะพึงพอใจยิ่ง ราวกับว่าสถานการณ์อยู่ในกำมือของตนแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ในพริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ ขณะที่รูม่านตาขยายออก ราวกับเขาพบเห็นภูตผีที่น่าสะพรึงกลัว “เจ้า…เจ้า…”

เพราะจู่ ๆ เฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ โดยที่ชายหนุ่มอยู่ห่างจากตัวทังอวิ๋นเพียงสองก้าวเท่านั้น!

แต่เขากลับไม่สังเกตเห็นสิ่งใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ!

สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดสำหรับเขาก็คือ ตอนที่ทังอวิ๋นตั้งใจจะลงมือและฆ่าเฉินซีโดยสัญชาตญาณ เขากลับต้องตกใจว่า ธนูยาวในมือพลันไปปรากฏอยู่ในมือของอีกฝ่ายแล้ว!

“บะ…บัดซบ… นี่มันเกิดอันใดขึ้น?”

ทังอวิ๋นตกใจมาก

ฟู่! ในขณะนี้ เขารู้สึกเจ็บข้อมืออย่างรุนแรง ก่อนที่มือขวาของทังอวิ๋นจะตกลงไปพร้อมกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากแขน

“อ๊าก!!” ทังอวิ๋นส่งเสียงร้องโหยหวนที่สั่นสะเทือนสวรรค์ ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่า ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เฉินซีไม่เพียงแต่จะประชิดตัวเข้ามาเท่านั้น อีกฝ่ายยังตัดมือขวาของเขาในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะคว้าคันธนูยาวไป!

เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป มันจึงทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ได้อย่างเต็มที่!

หลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวนของทังอวิ๋นก็หยุดลงทันที เพราะลูกธนูสีทองสลัวได้เล็งไปที่ปาก โดยที่ด้านหลังของลูกธนูก็คือเฉินซีที่กำลังง้างคันศรจนมันเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง…

“ไม่!” เมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิต สีหน้าของทังอวิ๋นก็ซีดลง ในขณะที่เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือที่แฝงความอ้อนวอนโดยไม่กล้าส่งเสียงร้องโหยหวน เขาไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เพราะเกรงว่าเฉินซีจะยิงลูกธนูทะลุปากทันทีที่เคลื่อนไหว

เหริ่นฉางเฟิงที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ …เป็นตอนนี้ที่เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ชายคนนี้ที่ตนเคยดูถูกมาตลอดคือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก็บงำพลังเอาไว้!

เคล็ดวิชาตัวเบาที่รวดเร็วเหมือนสายฟ้า และการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สามารถหยุดยั้งทังอวิ๋นได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น บุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดธรรมดาทั่วไปได้อย่างไร?

“ที่ข้าเก็บเจ้าไว้จนถึงตอนนี้ เพียงเพราะข้าต้องการบอกเจ้าบางอย่างก่อนที่เจ้าจะตาย เมื่อถึงเวลา ตัวหนอนจะสามารถกางปีกและโบยบินไปบนท้องฟ้า แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าต้องจำไว้ว่า แมลงวันไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมของการกินอาจมของมันได้เช่นกัน!” ท่ามกลางน้ำเสียงที่ไม่แยแส นิ้วของเฉินซีก็ปล่อยสายธนูออกไป

ฉึก!

เลือดพุ่งออกมาเป็นทาง ในขณะที่ลูกธนูสีทองสลัวพุ่งผ่านปากของทังอวิ๋น และพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวของลูกธนูก็ทำให้ศีรษะของเจ้าตัวระเบิด พร้อมกับบดขยี้ดวงวิญญาณทิ้งไป

ทังอวิ๋นเสียชีวิตทันที!

เหริ่นฉางเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้ และการตายของทังอวิ๋นทำให้เขารู้สึกขอบคุณต่อเฉินซีเล็กน้อย

แต่หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็ซีดลง ในขณะที่กล่าวด้วยความตกใจว่า “มารดามันเถอะ! ลูกธนูเคลือบด้วยยาพิษ!”

เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในอากาศไม่ทันเลือนหาย เมื่อรูเลือดบนหน้าอกซ้ายที่ถูกยิงด้วยลูกธนูกลายเป็นสีดำสนิท และยังแพร่กระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ใบหน้าของเหริ่นฉางเฟิงก็เต็มไปด้วยสีเขียวเข้มแปลกประหลาด

“นี่มันผงกาฬนภาใต้พิภพ! ดูเหมือนว่าไอ้สารเลวนี้ตั้งใจจะทรยศข้ามานานแล้ว!” เดิมทีเหริ่นฉางเฟิงคิดว่าเขาจะรอดพ้นจากหายนะ แต่เมื่อพบว่าตนเองติดพิษจริง ๆ สีหน้าของเหริ่นฉางเฟิงก็มืดหม่นลงทันที ในขณะที่ความคิดเรื่องการเอาชีวิตรอดของเขาก็ดับวูบโดยสิ้นเชิง

ผงกาฬนภาใต้พิภพเป็นยาพิษน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายรากฐานแห่งเต๋าของเซียนสวรรค์ และเป็นยาพิษที่สร้างขึ้นจากสูตรลับเฉพาะอันเป็นของนิกายลำธารโลหิตเท่านั้น มันเป็นยาพิษล้ำค่าที่หายากมากแม้แต่ในนิกายลำธารโลหิตเอง และจะไม่ถูกใช้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ!

“มันคือชะตาลิขิต… ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สุดท้ายแล้วมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าสองคน…” สายตาของเหริ่นฉางเฟิงหรี่ลงและกลายเป็นนิ่งงัน ซึ่งขณะที่เขาเหลือบมองเฉินซีและเป้ยหลิง ความรู้สึกซับซ้อนที่อธิบายไม่ได้ก็แล่นเข้ามาในหัวใจของเขา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท