บทที่ 3 ความกังวลของหมอ
บทที่ 3 ความกังวลของหมอ
คุณปู่ซูรุดขึ้นหน้าเอ่ยถามอย่างพะวงใจ “หลานของฉันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่หมิงไฉเคยชินกับความจริงที่ว่าคุณปูซูมักกล่าวเสมอว่าหลานชายทั้งหลายเป็นเด็กแสบ และหลานสาวเป็นเด็กดีที่แสนจะเชื่อฟัง
คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านลำเอียงเข้าข้างหลานชายมีมากมาย แต่ที่ลำเอียงในความโปรดปรานของหลานสาวมีแค่เขาคนเดียว!
“ฉันจะเขียนใบสั่งยาให้ กินสองมื้อแล้วค่อยดูอาการอีกครั้ง หากไข้ลดลงก็ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง ในอนาคตต้องระมัดระวังกว่านี้ หลานสาวของคุณร่างกายอ่อนมากจนไม่สามารถป่วยได้อีก หากเธอป่วยขึ้นมาอีกครั้งมันจะสาหัสมาก”
หลี่หมิงไฉเดินไปที่โต๊ะ หยิบปากกาและกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนใบสั่งยาอย่างเคร่งเครียด
ผู้ใหญ่ภายในห้องจับจ้องไปที่ปากกาในมือของหลี่หมิงไฉราวกับจะมีดอกไม้ผลิบานออกมา
หลายคนที่ไม่รู้ต่างคิดว่าผู้ใหญ่ในตระกูลซูล้วนรู้หนังสือทั้งหมด ทว่าความจริงแล้วนอกจากหลานชายของพวกเขา เหล่าอาวุโสไม่มีใครรู้หนังสือเลยแม้แต่คนเดียว
“หมอหลี่ กินยานี่แล้วก็จะหายใช่หรือไม่?” ครั้นเห็นหมอหลี่วางปากกาลง คุณย่าซูเอ่ยถามขึ้นอย่างประหม่า
“สังเกตอาการไปก่อน หากกินยาแล้ว พักผ่อนหนึ่งวันแล้วไข้ลดก็ถือว่าไม่เป็นอะไร ถ้าหากไม่หาย ฉันจะปรับยาให้ใหม่”
เมื่อได้ยินคำพูดของหมอเท้าเปล่าผู้นี้ ทั้งครอบครัวยังตกอยู่ในความกังวล ไข้จะสามารถลดลงได้หรือไม่
“ใครจะไปรับยากับฉัน” หมอหลี่ลุกขึ้นยืน เอ่ยหลังจากเก็บปากกาและอุปกรณ์เรียบร้อย
“หมอหลี่ ผมจะไปกับคุณ”
คนที่เอ่ยปากเสนอตัวคือลูกชายคนโตตระกลูซู สีหน้าของเขากระวนกระวายเสียยิ่งกว่าพ่อแท้ ๆ เสียอีก
“เหล่าต้า*[1] เอาเงินซื้อยาไป” คุณย่าซูหยิบตั๋วเงินเหมาจากกระเป๋าเสื้อหลายใบ
“สามเหมาห้าเฟิน!” สิ้นประโยคของหลี่หมิงไฉ คนก็ออกไปจากห้องแล้ว
“ไอ๊ ทราบแล้วหมอหลี่!” ลุงใหญ่ขานรับหนึ่งเสียง พร้อมรับเงินมาจากมือผู้เป็นมารดาและวิ่งไล่ตามหมอหลี่ไปทันที
หมอกลับไปแล้ว เด็กหนุ่มหลายคนต้องการเข้ามาพบน้องสาวของพวกเขา แต่คุณย่าไม่เห็นด้วย และไล่พวกเขาออกไปอย่างไม่ลังเล
“ครอบครัวของเหล่าซาน*[2] เฝ้าน้องเสี่ยวเถียนเอาไว้ ครอบครัวเหล่าต้าไปต้มโจ๊กให้น้องเสี่ยวเถียน ต้มจนละเอียดให้เธอดื่มก่อนกินยา ครอบครัวเหล่าเอ้อร์*[2] นำโถยาของบ้านเราออกมาล้างให้สะอาด เตรียมเคี่ยวยาให้หลานรักของฉัน เหล่าเอ้อร์เลิกเฝ้าได้แล้ว ไปเตรียมของเดี๋ยวนี้ เหล่าซานมีเรื่องใดต้องทำก็ไปทำเสีย อย่ามาเกะกะอยู่ที่นี่ ตาเฒ่า…ช่างเถอะ คุณอยู่ที่นี่แล้วกัน!”
เวลาชั่วพริบตาคุณย่าซูไล่ผู้คนออกไปจนหมด แม้แต่พ่อแท้ ๆ ของซูเสี่ยวเถียนก็ไม่เว้น
ภายในห้องเงียบสนิทหลังจากที่ทุกคนออกไป
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกอบอุ่นในใจ และผล็อยหลับไปในอ้อมแขนอันอบอุ่นของแม่
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเสี่ยวเถียนก็ถูกคุณย่าของเธอปลุกขึ้นมา
คุณย่าซึ่งใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักนั่งบนเตียงเตา ประคองชามเคลือบใบใหญ่ไว้ในมือ
“คุณย่า!” ซูเสี่ยวเถียนตะโกน
“หลานรัก กินโจ๊กสักนิดเถิด จากนั้นกินยาแล้วค่อยนอนนะลูก”
ในชีวิตก่อนหน้านี้ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บจากการตกลงไปในน้ำ จากนั้นไม่รู้ว่าเธอกินยาน้ำขมปี๋เหล่านี้ไปเยอะเท่าไร
เพื่อที่จะมีสุขภาพที่ดีในอนาคต แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจที่จะกินยาจีนรสชาติขมปี๋ แต่ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วมุ่น และดื่มยาจีนถ้วยนั้นเข้าไปฮึกใหญ่
ครั้นเห็นท่าทางน่ารักของหลานสาว หัวใจของคุณย่าพลันอ่อนยวบยาบ
คุณย่าซูหยิบลูกกวาดมาป้อนใส่ปากซูเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้ม
ยาจีนมีรสชาติขม แต่ซูเสี่ยวเถียนกลับรู้สึกว่ามันหวาน หวานไปถึงหัวใจ
ด้วยการดูแลของคุณยายซูและแม่ของเธอ ซูเสี่ยวเถียนจึงนอนหลับไปไม่นานหลังจากกินยา
ซูเสี่ยวเถียนตื่นขึ้นมาอีกครั้งในรุ่งอรุณวันใหม่ หล่อนตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น
วันถัดมาร่างกายของเธอฟื้นตัวดีขึ้นเช่นนี้ ดีกว่าชีวิตก่อนหน้ามาก ในชีวิตก่อนเธอนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสิบวันกว่าจะลุกขึ้นได้
ซูเสี่ยวเถียนโล่งใจยิ่งนัก
คุณย่าซึ่งยังไม่วางใจ ดังนั้นจึงนอนอยู่ข้าง ๆ เธอไม่ไปไหน
เมื่อหล่อนพลิกตัวกลับมา คุณย่าซูก็ตื่นแล้ว
“หลานรัก มีอะไรผิดปกติหรือ? หลานรู้สึกดีขึ้นไหม” คุณย่าพูดอย่างกระวนกระวายใจขณะสัมผัสศีรษะของซูเสี่ยวเถียน
“คุณย่า หนูดีขึ้นแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนโอบกอดผู้เป็นย่า ดวงตากลมโตดำขลับกะพริบปริบพลางเอ่ยออดอ้อน
“ดีขึ้นก็ดีแล้ว วันนี้อย่าออกไปข้างนอก นอนพักอีกสักหน่อยเถอะ” คุณย่าดึงผ้าห่ม และพูดกับซูเสี่ยวเถียนด้วยความเป็นห่วง
ซูเสี่ยวเถียนไม่สามารถยึดมั่นได้อีกต่อไป เจ้าของใบหน้าแดงก่ำเอ่ยกับผู้เป็นย่า “คุณย่าคะ หนูอยากไปห้องน้ำ”
“ย่าจะเอากระโถนมาให้ หลานไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ถ้าเป็นหวัดอีกจะทำอย่างไร?”
คุณย่าคัดค้านทันทีราวกับว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม
ถ้าเป็นเด็กจริงๆ ซูเสี่ยวเถียนอาจเห็นด้วย
แต่เนื่องจากซูเสี่ยวเถียนเคยเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าจึงไม่เห็นด้วย
เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเกลี้ยกล่อมคุณย่า ในขณะที่คุณย่ากำลังบ่นกระปอดประแปดซูเสี่ยวเถียนก็เข้าห้องน้ำเพื่อแก้ปัญหาทางกายภาพของเธอ
ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ในลานบ้านขนาดใหญ่ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส
ดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ในท่อแสงสาดส่อง แสงสีทองใต้ต้นถงอู๋มองดูแล้วมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
สวยงามจริง ๆ!
ทุกคนในตระกูลซูขยันขันแข็ง ลุกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อพวกเขาเห็นซูเสี่ยวเถียนออกมา พวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวในมือ วิ่งเข้ามาล้อมรอบเธออย่างกระตือรือร้นพลางถามด้วยความเป็นห่วงว่ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง? เวียนหัวไหม? หิวหรือเปล่า? กระหายน้ำหรือไม่?
ซูเสี่ยวเถียนตอบด้วยรอยยิ้ม และบอกว่าเธอสบายดี
บรรยากาศแบบนี้ทำให้ซูเสี่ยวเถียนอบอุ่น และสบายใจยิ่งยวด
แม้ว่าครอบครัวของเธอจะยากจน แต่เธอก็ไม่เคยลำบาก
การกินและการแต่งกายของเธอค่อนข้างดี ทั้งครอบครัวเสื้อผ้าของเธอเพียงคนเดียวที่ไม่มีรอยปะซ่อมแซม
เมื่อคิดว่าตอนนี้ที่ครอบครัวกินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่น ซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกปวดใจ
เธอต้องหาวิธีเปลี่ยนสภาพครอบครัวของเธอเพื่อให้ผู้เป็นปู่ย่าและพ่อแม่สามารถกินบะหมี่ กินข้าว และไข่ไก่ได้
ทว่าตอนนี้เพิ่งจะปี 1974 ยังห่างจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด*[4] อีกหลายปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะสร้างโชคลาภ
ในเวลานี้ทุกคนล้วนทำงานกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาทำงานภายใต้การจัดการอันเป็นหนึ่งเดียวของหัวหน้าทีมทุกวัน และไม่มีวิธีอื่นที่จะสร้างรายได้
ทันใดนั้นซูเสี่ยวเถียนก็คิดถึงระบบของเธอ
การปรากฏตัวของระบบมันสร้างความประหลาดใจให้เธออย่างแน่นอน หรือบางทีมันอาจจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการสร้างโชคลาภ
เธอรอแทบไม่ไหวที่จะได้ศึกษามัน แต่ตอนนี้อาหารเช้าพร้อมแล้ว ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้ว
หลังอาหารเช้า ทุกคนในครอบครัวออกไปทำงาน รวมถึงพี่ใหญ่และพี่รองของเธอด้วยเช่นกัน สำหรับพี่น้องคนอื่นพวกเขาต้องไปโรงเรียน
หลังมื้ออาหาร เธอเดาว่าคุณย่าจะไม่ปล่อยให้เธอไปโรงเรียน ดังนั้นเธอจะสามารถศึกษาระบบอย่างลับ ๆ ที่บ้านได้
ครอบครัวตระกูลซูกินมื้อเย็นภายในห้องโถง
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ซูเสี่ยวเถียนก็ปฏิเสธคุณย่าที่ให้เธอกินอาหารตามลำพังในห้อง และเลือกที่จะไปยังห้องโถง
โต๊ะบนเตียงเตาภายในห้องโถงมีไว้สำหรับผู้อาวุโส นอกจากนี้บนพื้นยังมีโต๊ะซึ่งมีไว้สำหรับเด็กชายเก้าคน
ตำแหน่งของซูเสี่ยวเถียนอยู่ที่โต๊ะใหญ่ถัดจากคุณย่าซู
“หลานรัก มาหาย่าเถอะ” คุณย่าเรียกซูเสี่ยวเถียนอย่างอ่อนโยน
สมาชิกในครอบครัวซูมีจำนวนมาก และพวกเขาทั้งหมดมีอายุห่างกันครึ่งปี ในทุก ๆ ปีเสบียงอาหารของพวกเขามักจะไม่พอยาไส้
ตลอดทั้งปีอาหารเช้าเต็มไปด้วยบะหมี่ธีญพืช ตอนกลางวันและตอนเย็นจะเป็นผักก้อนนึ่งแป้ง
วันนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม สะใภ้ใหญ่และลูกสะใภ้รองถือกะละมัง และแต่ละโต๊ะเต็มไปด้วยกะละมังบะหมี่ข้าวโพด น้ำแกงใสแจ๋วจนเห็นก้นกะละมัง
สะใภ้สามตามสะใภ้สองเข้ามาพร้อมกับชามกระเบื้องหนากองใหญ่ในอ้อมกอด
*[1] ลูกคนที่ 1
*[2] ลูกคนที่ 3
*[3] ลูกคนที่ 2
*[4] ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด เป็นระบบเศรษฐกิจที่ปล่อยให้กลไกราคาทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร และแก้ปัญหาพื้นฐานในสังคมเศรษฐกิจ โดยที่รัฐบาลจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ค่าเงินตราของจีน
สกุลเงินของประเทศจีนคือเงินสกุลเหรินหมินปี้ มีหน่วยเรียกเป็น ‘หยวน’ ‘เจี่ยว’ และ ‘เฟิน’
10 เฟิน มีค่าเท่ากับ 1 เหมา
10 เหมา มีค่าเท่ากับ 1 หยวน
ในภาษาพูดคนจีนนิยามใช้คำว่า ‘ไคว่’ แทน ‘หยวน’ และ ‘เหมา’ แทน ‘เจี่ยว’ ซึ่งในนิยายเรื่องนี้จะเลือกใช้หยวนและเหมา