เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 11 แกเป็นหมาหรืออย่างไร

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 11 แกเป็นหมาหรืออย่างไร?

บทที่ 11 แกเป็นหมาหรืออย่างไร?

เด็ก ๆ ต่างมีมารยาท และไม่ใช่เพราะไม่เคยได้กินเนื้อมาเป็นเวลานานก็เลยโหยกระหายไม่ต่างจากหมาป่า

พวกเขารออย่างเป็นระเบียบเรียบน้อยเพื่อให้คุณย่าซูขึ้นไปบนเตียงเตา และรออย่างอดทนเพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสเริ่มลงมือ เมื่อได้ยินเสียงฮึมฮัมก็ลงมือแย่งแป้งทอดทันที

พี่น้องหลายคนใครเร็วใครได้ และมือของทุกคนก็แย่งมาได้คนละชิ้นสองชิ้นแล้ว

พวกผู้ใหญ่ที่โต๊ะหลักมองดูแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเศร้าสร้อยอีกครั้ง

คุณย่าซูพึมพำ “โชคดีที่เอาเนื้อสามจินมาทำ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะพอกับหมาป่าพวกนี้กินหรือเปล่า!”

เนื้อสามจินมีอยู่ไม่มากนัก มีคนในบ้านสิบคน แต่คนหนึ่งคนก็ทำได้แค่ลิ้มรสเท่านั้น

ถึงจะบอกว่าเป็นแป้งทอดไส้เนื้อ แต่อันที่จริงไส้ส่วนใหญ่ก็เป็นกุยช่าย

ถึงแม้ว่าจะเป็นกุยช่าย แต่เมื่อผ่านความชุ่มชื้นของน้ำมัน รสชาติก็ไม่เหมือนเดินอีกต่อไป

แต่สำหรับสมาชิกบ้านซูที่ไม่ได้กินน้ำมันมาเป็นเวลานาน มันเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยาก

ทั้งครอบครัวกินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมัน เบิกบานใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศในครอบครัวดีกว่าก่อนหน้านี้นัก

อันที่จริงปีใหม่ที่ผ่านมาก็ไม่มื้ออาหารที่ได้กินเนื้อมากขนาดนี้

ปีใหม่ที่ผ่านมา ในครอบครัวก็มีการแจกจ่ายเนื้อยี่สิบจินด้วย ซูหม่านเซียงจะมาสามวันสองรอบ เกาะติดไม่ห่าง ก่อนจะเอาเนื้อไปสิบจิน

ทิ้งไว้แต่ไขมันจากเนื้อเอาไว้ ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้สักอย่าง

สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ เกี๊ยวของปีใหม่ที่ผ่านมาก็เป็นเกี๊ยวผักกาดขาวผัดน้ำมัน

“คุณแม่ครับ วันนี้พวกเราได้กินเนื้อดีกว่าปีใหม่ที่ผ่านมาอีก!” ซูคนโตที่ถือแป้งทอดเนื้อเต็มมือพูดขึ้นหลังจากกัดไปหนึ่งคำ

เมื่อพูดออกมาผู้ใหญ่ในบ้านต่างตกตะลึง

เพิ่งถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเนื้อพวกนี้มาจากไหนกัน?

“คุณแม่ครับ แล้วเนื้อมาจากไหนล่ะ” จู่ ๆ ซูเหล่าเอ้อร์ก็เอ่ยถามด้วยความโง่งมหลังจากผ่านไปได้ไม่นาน

เด็ก ๆ ยังคงง่วนอยู่กับการกินแป้งทอดไส้เนื้อ ส่วนผู้ใหญ่กินไม่ลงอีกต่อไป สายตาจดจ้องไปยังคุณย่าซูเพื่อเค้นหาคำตอบ

สถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างไรทุกคนล้วนรู้ดี จู่ ๆ จะไปมีเนื้อกินได้อย่างไร?

คุณย่าซูกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ และพูดอย่างโกรธเคือง

“กินแป้งทอดยังหยุดปากพวกแกไม่ได้อีกหรือ? มีเนื้อให้กินก็กินไปสิจะยุ่งอะไรนัก?”

ด่าพวกลูกชายไปประโยคหนึ่ง คุณย่าซูก็อดพูดไม่ได้อีกว่า “ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่ให้พวกแกกิน แป้งทอดไส้เนื้อพวกนี้เก็บไว้ให้หลานรักฉันกินดีกว่า!”

เธอไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร แล้วก็ไม่สามารถตอบได้ จึงทำแค่แสร้งหัวฟัดหัวเหวี่ยง!

ที่ตอบอย่างฉุนเฉียวก็เพื่อหยุดเรื่องที่จะเกิดขึ้นคล้าย ๆ กันอีก

ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่สามารถให้เถียนเถียนมาเสี่ยงได้

เรื่องนี้อันที่จริงตอนที่ซูเหล่าซานไปซื้อเนื้อวันนี้ก็คิดขึ้นได้ว่าบ้านเราก็ดันมีตั๋วเนื้ออย่างกะทันหัน

แต่ถ้ามารดาผู้ให้กำเนิดไม่พูด เขาก็ไม่กล้าถาม จึงรีรอไว้ตลอดบ่าย

ตอนนี้พี่รองกำลังถามอยู่ แต่แม่เฒ่าไม่ตอบอะไรสักอย่างอีกทั้งยังถูกตำหนิกลับมา แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่สามารถถามได้แน่นอน

คุณปู่ซูมองไปยังภรรยาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟโดยไม่มีเหตุผลแล้วจ้องมองด้วยความสงสัย หากแต่เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงทักทายเหล่าลูกชายและลูกสะใภ้ที่กินแป้งทอดเท่านั้น

“ทุกคนรีบกินข้าวซะ กินเสร็จยังมีงานต้องทำอีก!”

ไม่ว่าจะเป็นความลับแบบไหน ยายเฒ่าก็จะไม่พูด นั้นก็หมายความว่าไม่อยากให้คนรู้เยอะ

เหล่าลูกชายและลูกสะใภ้หยุดพูด แล้วลงมือกินอย่างเงียบ ๆ

ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นเต็มไปด้วยเสียงเคี้ยวของทุกคน ความสามัคคีได้กลับมาอีกครั้ง

“คุณย่าคะ อีกสักพักพวกเราไปขอบคุณพี่ชายบ้านฉือที่คอกวัวข้าง ๆ กันค่ะ เอาน้ำตาลหนึ่งจินไปด้วย แล้วก็ห่อแป้งทอดเนื้อสักสองสามชิ้นไปด้วยได้ไหมคะ?”

ซูเสี่ยวเถียนกินแป้งทอดเกือบเสร็จแล้ว

เธอลูบท้องแล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีจังหวะเพื่อลบความอึดอัดบนโต๊ะ

“ได้สิ รอให้ปู่ของหลานพาไปที่นั่นนะ ได้พวกเขาช่วยชีวิตเอาไว้เป็นพระคุณยิ่ง บ้านเรายังมีฟักทองแก่อยู่สองสามลูก ทำไมไม่เอาไปด้วยล่ะ”

ในยุคที่เสื้อผ้าและอาหารขาดแคลน อาหารเป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย และคุณย่าซูไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการจึงหันไปถามคุณปู่ซูแทน

คุณปู่ซูพยักหน้า “เอาสิ พวกเราต้องตอบแทน!”

ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้นของบ้านฉือก็ไม่แน่ใจว่าหลานสาวตัวน้อยของพวกเราจะยังมีชีวิตรอดอยู่ไหม

ยายเฒ่ายินดีที่จะนำอาหารพวกนี้เพื่อพิสูจน์ว่าตอบแทนได้

แม้ว่าครอบครัวฉือจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กข้างคอกวัวในชุมชนการผลิตหลายปีมานี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไร กลับกันแล้วยังช่วยคนไปไม่น้อยเลย

ผู้คนในชุมชนการผลิตก็ยังใจดีต่อครอบครัวฉืออยู่ และบางครั้งก็จะมีคนฝ่าฝืนแอบส่งอาหารให้คอยช่วยเหลือ

เพียงแต่บ้านของพวกเขากินไม่อิ่มจึงไม่ส่งให้

ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงสิ่งตอบแทนให้ได้ แค่แอบไปตอนเย็นอย่าให้คนอื่นเห็นก็พอ

“เหล่าซานก็ไปด้วยสิ” คุณปู่ซูพูดอีกครั้ง

ซูเหล่าซานรีบตอบรับ

เมื่อคนในครอบครัวได้ยินว่าจะส่งของกินไปให้มากขนาดนั้นก็รู้สึกปวดใจ แต่เมื่อคิดถึงเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวของตระกูลซู ชีวิตที่ได้ช่วยเอาไว้ก็เพียงพอแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนกำลังชิมน้ำบะหมี่มันเทศ ฉับพลันก็คิดเรื่องที่คังเหรินเต๋อเห็นครอบครัวเขาซื้อเนื้อในวันนี้

สมาชิกของตระกูลคังรวมถึงอาหม่านเซียงล้วนมีศีลเสมอกัน ถ้ารู้เรื่องจะรีบมาที่นี่อย่างแน่นอน

ไม่แน่ว่าเช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ ซูหม่านเซียงจะต้องกลับบ้านแม่มาขอเนื้อขอน้ำตาลเป็นแน่

“คุณย่าคะ แป้งทอดพวกนี้ต้องกินให้หมดเย็นนี้นะ พอถึงพรุ่งนี้จะต้องมีคนมาแย่งแน่!”

“แย่ง? ใครจะกล้าแย่งกัน?” คุณย่าซูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครกล้าแย่งไปยายเฒ่าคนนี้จะใช้ไม้กวาดกวาดมันออกไปเอง…”

ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงของหลิวซิ่วอิงดังออกมาจากในลานบ้าน “โอ้โห วันนี้กินอะไรอร่อย ๆ เนี่ย? กลิ่นจากลานบ้านพวกเธอลอยไปไกลถึงสามลี้นู่น!”

หลิวซิ่วอิงเป็นคนประเภทเสียงนำมาก่อนตัว

ผู้คนในห้องโถงสบสายตากัน ใครจะไม่รู้วว่าหลิวซิ่วอิงมักนำเรื่องไม่ดีมาด้วย

นี่เป็นกลิ่นที่ลอยมาสินะ?

คุณย่าซูสั่งหลานชายคนโตและภรรยาของลูกชายคนโตอย่างใจเย็นว่าให้ซ่อนกะละมังแป้งทอดไว้เนื้อเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงดัง “เป็นสะใภ้รองมาสินะ! มายืนพูดพร่ำอะไรอยู่ในลานบ้านน่ะ?”

เธอยังไม่ลืมมองดูหลานสาวตัวน้อยด้วย ทำไมเด็กคนนี้ถึงแปลก ๆ นัก? เพิ่งจะพูดว่าจะมีคนมาแย่งแป้งทอดก็มีคนเข้ามาในลานบ้านเลย

“พี่สะใภ้ ทำไมฉันได้กลิ่นเนื้อจากบ้านพวกพี่ล่ะ!” หลิวซิ่วอิงเดินเข้าประตู ตามด้วยเด็กผู้ชายสองคนและเด็กผู้หญิงหนึ่งคนอยู่ด้านหลัง

เด็กผู้หญิงคือซูเสี่ยวฉิน ส่วนเด็กผู้ชายสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ พวกเขาช่างแตกต่างจากซูเสี่ยวฉินที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งแต่สะอาด แต่เด็กชายทั้งสองเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม จมูกปล่อยน้ำมูกเป็นฟองออกมา น่าคลื่นไส้เหลือเกิน

ตระกูลผู้ซูกำลังกินข้าวอยู่ เมื่อเห็นสิ่งที่ชวนคลื่นไส้เข้ามาก็ทำให้ความอยากอาหารลดลง

“กลิ่นเนื้ออะไรกัน ฉันเพิ่งจะใช้น้ำมันหมูเช็ดก้นหม้อ ไม่เห็นน้ำมันหมูมานาน หม้อเก่าที่บ้านจะขึ้นสนิมแล้ว!” คุณย่าซูพูดอย่างสงบ

ถ้ามีอะไรดี ๆ ภรรยาของน้องชายคนนี้จะต้องมาตักตวงมันกลับไปแน่ ๆ

ถ้าแป้งทอดไส้เนื้อถูกหล่อนเห็นเข้าคงเก็บไว้ไม่ได้แน่ หากไม่กินให้ท้องแตกตายก็จะไม่ยอมแพ้แน่นอน!

“แต่กลิ่นไม่เหมือนนะ กลิ่นเหมือนแป้งทอดไส้กุยช่ายเลย” หลิวซิ่วอิงท่าทางไม่เชื่อ

หล่อนสูดกลิ่นไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตากลอกมอง กลัวว่าจะพลาดตรงไหนไป แต่ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

แต่เธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี จึงมองคุณย่าซูด้วยความสงสัย

คุณย่าซูโมโหจนแทบเป็นบ้า

“แค่ทำแป้งทอดกุยช่ายน้ำมันหมู แกก็ได้กลิ่นแล้ว? เป็นหมาหรืออย่างไรกัน” คุณย่าซูด่าออกมาอย่างโกรธเคือง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท