บทที่ 20 ให้ตบแกก็ตบแล้วไง
บทที่ 20 ให้ตบแกก็ตบแล้วไง
“คนที่ช่วยซูเสี่ยวเถียนคือเด็กผู้ชายที่เป็นไอ้เด็กเหลือขอคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าไม่ต้องให้กินของหายากอย่างน้ำตาลหรือเปล่าคะ คุณแม่ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ถ้าอยู่ใกล้คนแบบนั้นต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน”
ยิ่งซูหม่านเซียงพูดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตนพูดสมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น เธอไม่สามารถดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพ่อแม่เธอได้เลย หากเกี่ยวข้องกับเธอด้วยจะต้องเหนื่อยแน่
“คุณแม่คะ คุณแม่ก็อายุปูนนี้แล้วจะไขว้เขวไม่ได้นะ ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงหลานที่บ้านได้ไหมคะ?”
ซูหม่านเซียงวาจามีคุณธรรมราวกับนึกถึงครอบครัวของเธอจริง ๆ
“ฉันสอนแกมาอย่างไร? ได้รับความเมตตาแล้วก็ต้องตอบแทนบุญคุณ แล้วทำไมแกถึงพูดแบบนี้ออกมา? นั่นคือผู้มีพระคุณของน้องเสี่ยวเถียนนะ!”
ใบหน้าคุณย่าซูเคร่งขรึม “ฉันว่านะ แกอย่ารอกินข้าวเลย ดื่มน้ำแล้วก็รับกลับไปเสีย อย่ามาสร้างความรำคาญที่นี่”
“คุณแม่คะ ในเมื่อแม่ไม่ให้ฉันกินข้าวที่บ้าน งั้นก็แบ่งเนื้อครึ่งหนึ่งที่ซื้อมาเมื่อวานมาให้ฉันสิ แล้วฉันจะรีบไปทันที”
ซูหม่านเซียงพูดอย่างไร้มารยาท แล้วขอด้วยท่าทางราวกับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
“ทำไมแกไม่เอาไปทั้งหมดเล่า?” คุณย่าซูมองที่ซูหม่านเซียงด้วยสายตาไม่น่าเชื่อถือ “เนื้อสามจินให้แกหมดเลยตกลงไหม?”
แต่ซูหม่านเซียงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของคุณย่าซู ได้ยินเพียงว่าจะเอาเนื้อสามจินให้เธอเท่านั้น
เธอพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณแม่คะ ให้ฉันได้หมดเลยเหรอ? เยี่ยมไปเลยค่ะ คุณแม่ไม่รู้หรอกว่าปีนี้ครอบครัวของฉันยากลำบากถึงขนาดลูก ๆ ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันเลยนะ”
เธอพูดไปด้วยแล้วก็หันไปพูดกับลูกของเธอด้วย “ยังไม่รีบขอบคุณคุณยายอีก ดูสิ คุณยายยังเอ็นดูพวกหนูนะ มีอะไรดี ๆ ก็ยังนึกถึงด้วย”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกขบขัน อาคนนี้เป็นคนโง่หรือเปล่า? ถึงฟังไม่เข้าใจคำพูดของย่าน่ะ?
คุณย่าซูไร้เรี่ยวแรงจะสู้ เห็นได้ชัดว่าลูกสาวก็เป็นคนที่เธอสอนมา จะไม่เหมือนลูกคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
“ให้เนื้อแกนี่มันดีจริง ๆ รีบไปได้แล้ว ฉันยังต้องทำงานอีก ทุกคนกำลังรอกินอยู่นะ”
คุณย่าซูโบกมือไล่ แม้กระทั่งน้ำอึกเดียวก็ยังยากที่จะให้เธอดื่มด้วย
“คุณแม่ แล้วเนื้อล่ะ?” ซูหม่านเซียงมองคุณย่าซูอย่างมีความหวัง รอคอยที่จะนำเนื้อกลับบ้าน
ถ้ากินที่นี่สามีเธอคงไม่ได้กินด้วยซึ่งเสียเปรียบมาก เอากลับบ้านไปก็จะได้กินกันทั้งครอบครัวด้วย
“เนื้อ? อยากหั่นสักชิ้นไปจากร่างกายแม่แกไหมล่ะ? ครอบครัวฉันใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ชวนเลยนะ? มีของดี ๆ แล้วจะให้แกเอาไปงั้นเหรอ?” คุณย่าซูคิดอยากถือไม้กวาดไล่หล่อนออกไปนัก
“กินแล้ว?” ซูหม่านเซียงได้ยินคราวนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
“กินไปแล้ว!”
“คุณแม่ นั่นเนื้อสามจินเลยนะ จะไปกินหมดในมื้อเดียวได้อย่างไร คุณแม่ต้องหลอกฉันแน่ ๆ ใช่ไหม?” ซูหม่านเซียงมองคุณย่าซูอย่างไม่เชื่อ
ล้อเล่นสินะที่ว่ากินเนื้อสามจินในมื้อเดียวน่ะ ซูหม่านเซียงไม่อยากเชื่อเลย แม่ของเธอไม่ใช่คนแบบนั้นนี่
อย่าว่าเนื้อสามจินกินในมื้อเดียวเลย แค่ขาลาแห้งสามอัน แม่เธอยังทำออกมาเป็นน้ำมันทำกินได้ทั้งเดือนเลย!
“คนตั้งเยอะ หนึ่งคนหนึ่งคำ เนื้อสามจินก็หมดแล้ว!” คุณย่าซูพูดอย่างเหลืออด
“คุณแม่คะ ถ้าคุณแม่ไม่ให้พวกพี่สะใภ้เข้าไปหยิบ หนูจะไปหาเอง!”
ซูหม่านเซียงไม่เชื่อสุดใจ แล้วกระโดดขึ้นไปหาบนบ้าน
“คุณแม่ครับ ผมอยากกินเนื้อ คุณแม่สัญญากับผมว่าจะให้กินเนื้อนะ” คังจงฮวาดึงเสื้อของซูหม่านเซียงที่กำลังเอะอะโวยวาย
คังจงฮวาเป็นลูกชายคนเล็กของซูหม่านเซียง ปีนี้อายุห้าขวบ เมื่อสักครู่ก็ฟังเข้าใจที่คุณยายบอกว่าเนื้อหมดไปแล้ว
เมื่อคิดถึงเนื้อ น้ำลายก็ไหลย้อยด้วยความตะกละ
ที่เดินมาตลอดทางได้ก็เพราะเอาแต่คิดถึงเนื้อ แต่เมื่อเนื้อนั้นถูกกินหมดเกลี้ยงแล้ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกโมโห
คังจงฮวาเป็นคนที่เติบโตมาโดยถูกพ่อแม่เอาอกเอาใจ แม้ว่าจะอายุห้าขวบ แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่มีเหตุผลเลย
“เนื้อที่ให้ฉัน ใครใช้ให้พวกแกกินกัน? แกใช่ไหม? ต้องเป็นแกแน่ ๆ ซูเสี่ยวเถียน ฉันรังเกียจแกที่สุด!” คังจงฮวาที่ถูกความหิวครอบงำพุ่งเข้าหาซูเสี่ยวเถียน ตวัดขาหมายจะถีบเธอ
เขายังด่าทอต่อ “ซูเสี่ยวเถียนนังตัวดี ทำไมไม่ตายไปซะ ถ้าแกตายเนื้อก็จะเป็นของฉัน!”
แม้ว่าคังจงฮวาจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่อายุน้อยกว่าสองปี เมื่อเห็นเขาพุ่งเข้ามา ซูเสี่ยวเถียนก็หลบได้อย่างรวดเร็ว
มีเพียงรอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของเขาที่หายไป
คังจงฮวาวัยเท่านี้จะไปมีความแค้นฝั่งลึกต่อเธอได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะพวกผู้ใหญ่พูดมากไปจนเด็กจำได้หรอกหรือ?
ไม่น่าแปลกใจที่คังเหม่ยฮวาจะผลักเธอลงไปในแม่น้ำได้ ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผลงานของซูเสี่ยวฉินเท่านั้น แต่อาคนนี้ก็ยังมีส่วนด้วย
คังจงฮวายังเด็ก ร่างกายก็อ้วนท้วน เขาไม่สามารถควบคุมแรงของตัวเองได้ จึงล้มลงไปกับพื้น
เมื่อซูหม่านเซียงเห็นลูกชายล้มลงกับพื้นก็ปวดใจมาก จึงรีบวิ่งเข้าไปตบหน้าซูเสี่ยวเถียนทันที
“นังเด็กสารเลว ทำไมถึงร้ายขนาดนี้? น้องชายแกเพิ่งจะกี่ขวบ? มารังแกแบบนี้ได้อย่างไร!”
ซูหม่านเซียงจ้องไปที่ซูเสี่ยวเถียนอย่างเดือดดาล ก่อนดึงลูกชายของเธอขึ้นจากพื้น ทั้งลูบทั้งปลอบ
ไม่คิดเลยว่าซูเสี่ยวเถียนจะถูกซูหม่านเซียงตบจนล้มไปที่พื้น
เธอไม่ได้คาดหวังว่าซูหม่านเซียงที่เป็นผู้ใหญ่สามารถลงมือกับเด็กได้จริง ๆ
หน้าไม่อาย?
ผู้คนมักพูดว่าต้นไม้จะตายโดยไม่มีเปลือก และคนจะอยู่ยงคงกระพันโดยไม่มีผิวหนัง ส่วนอาของเธอก็เป็นคนหน้าไม่อายที่อยู่ยงคงกระพันกระมัง?
“หนูมีแค่พี่ชาย ไม่มีน้องชาย!” ซูเสี่ยวเถียนที่ล้มลงกับพื้น พูดอย่างไม่แยแส
“แกพูดอะไร? คุณแม่คะ ฟังนังเด็กสารเลวสิ ฟังว่ามันกำลังพูดอะไรอยู่?”
ซูหม่านเซียงตะคอกเสียงดังด้วยท่าทางไม่พอใจ ไม่รู้เรื่องรู้ราวคิดจริง ๆ ว่าซูเสี่ยวเถียนได้ทำเรื่องที่ชั่วร้าย
คุณย่าซูเห็นหลานสาวตัวน้อยของเธอถูกผลักลงกับพื้นก็ปวดใจอย่างมาก รีบรุดหน้ามาดึงหลานสาวขึ้น
เหลียงซิ่วรีบพุ่งเข้าไปกอดซูเสี่ยวเถียนเอาไว้
“น้องเสี่ยวเถียน หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม? บอกแม่มาว่าเจ็บตรงไหนบ้าง” เหลียงซิ่วถามย้ำ ๆ
“ก็แค่เด็กชั่วช้าคนหนึ่ง มีค่าขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?” ซูหม่านเซียงพูดอย่างเฉยเมยโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
“ตระกูลซูของพวกเรามีหลานสิบคน และเสี่ยวเถียนเป็นน้องคนสุดท้อง เธอไม่มีน้องชาย ประโยคนี้ไม่มีอะไรผิดแต่อย่างใด”
คุณย่าซูก็ถูกลูกสาวคนนี้ทำให้โกรธ จึงไม่มีคำดี ๆ จะพูดให้ฟัง
ซูหม่านเซียงอยู่บ้านแม่ในฐานะที่ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็ราบรื่น จึงไม่รู้ว่าตนมีความผิด เพราะอย่างนั้นก็เลยเริ่มสร้างปัญหาเสียในตอนนี้
“ซูหม่านเซียง วันนี้หล่อนทุบน้องเสี่ยวเถียนลูกรักของฉัน ถ้าหล่อนไม่อยากถูกตบก็รีบไสหัวออกไปซะ” เหลียงซิ่วตาแดงก่ำ อุ้มซูเสี่ยวเถียนขึ้นไปบนเตียงเตาก่อนจะยืนอยู่ต่อหน้าซูหม่านเซียง
“ทำไม? หล่อนกล้าตบฉันหรืออย่างไร? นี่คือท่าทางของพี่สะใภ้หรือ?” ซูหม่านเซียงที่หยิ่งผยองจนคุ้นชิน เลยไม่กลัวเหลียงซิ่วเลย
แล้วเหลียงซิ่วก็ตบหน้าเธอจริง ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครตอบสนอง จึงได้ยินแต่เสียงตบดังชัดเจน
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหลมที่ก่นด่าจนแสบหูของซูหม่านเซียง
“เหลียงซิ่วนังบ้า กล้าตบฉันเหรอ!”
“ให้ตบแก ก็ตบแล้วไง จะโทษฉันหรือไงที่เลือกวันไม่ดีเองน่ะ?”
เหลียงซิ่วอดคิดไม่ได้ว่าลูกสาวที่คนในครอบครัวคอยทะนุถนอมก็ถูกซูหม่านเซียงทำร้าย ตนเองจึงยอมไม่ได้