เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 24 สหายจากแดนไกล

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 24 สหายจากแดนไกล

บทที่ 24 สหายจากแดนไกล

ฉืออี้หย่วนไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงต้องแอบมาที่ประตูบ้านซูด้วย

ยามเห็นพี่น้องตระกูลซูอ่านหนังสืออย่างจริงจังภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ในสวน ท่าทางสนิทสนมเช่นนั้น ต้องยอมรับเลยว่าเขาอิจฉา

เขาอยากเข้าไปร่วมวงด้วย แต่สุดท้ายก็หวาดกลัวและเลือกที่จะเดินกลับ

เพราะยังคงเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หลังจากที่กลับมาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความอิจฉาให้ฉือเก๋อได้รู้

“อี้หย่วน แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเช่นนี้ ลูกหลานของตระกูลซูก็ไม่ได้สูญเสียความหวังในชีวิตเลย น่ายกย่องยิ่งนัก!” ฉือเก๋อรู้สึกเหลือเชื่อ

เขาคิดว่าซูเสี่ยวเถียนจะแตกต่าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

บางทีเป็นแบบครอบครัวซูก็ดีนะ

ในหมู่บ้านมีอยู่หลายครอบครัวนัก แต่ที่เข้ากันได้ดีที่สุดคือตระกูลซู ซึ่งหาได้ยากมากที่คนในครอบครัวจะอยู่อย่างสนิทสนมและอบอุ่นเช่นนี้!

“คุณปู่ คุณปู่เชื่อว่าจะมีรุ่งอรุณหลังความมืดมิดใช่ไหมครับ” ฉืออี้หย่วนมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ แล้วถามเสียงต่ำ

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาใกล้จะเคยชินแล้วละ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็เริ่มจะลืมเลือนช่วงชีวิตก่อนนี้แล้ว

ในตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังสับสน คุณปู่เป็นผู้รอบรู้ แต่สามารถอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ได้ ทั้งยังถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอย่างเด็ดเบญจมาศริมรั้วทิศบูรพา แหงนหน้าปะภูผทิศทักษิณ*[1]

พวกเขามีความหวังที่จะกลับไปจริง ๆ หรือ?

“ปู่เชื่อว่าหลังจากความมืดมิด รุ่งอรุณจะต้องมาถึง!” ฉือเก๋อมองหลานชาย แล้วพูดอย่างหนักแน่น

“ผมเข้าใจแล้วครับคุณปู่!” ดวงตาของเด็กชายดูอ่อนลงเล็กน้อย!

เมื่อนึกถึงสองสามีภรรยาเฒ่าอย่างคุณปู่ตู้และคุณย่าตู้ เด็กหนุ่มตัดสินใจจะดูแลพวกเขาให้ดี

สองสามีภรรยาเฒ่าคู่นี้เป็นคนยากจนจริง ๆ

แต่พวกเขาเชื่อเสมอว่า การทำดีกับผู้อื่นจะนำมาซึ่งการตอบแทนที่ดี

ยุคสมัยสงครามแบบนี้ ไม่รู้ว่าคนสองคนที่ขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจะช่วยเหลือผู้คนไปมากเท่าไรแล้ว

ในช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น คุณปู่ตู้และคุณย่าตู้ก็ยังได้บริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัวด้วย

แต่ครอบครัวที่ทำเรื่องดี ๆ เช่นนี้กลับไม่ได้รับการตอบแทนใด ๆ ส่วนลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาก็ถูกสังเวยในสนามรบ

สองสามีภรรยาเฒ่าอยู่กันตามลำพัง ทั้งยังต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่ด้วย

ฉือเก๋อมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนเงียบ ในที่สุดก็เอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของหลานชาย

“อี้หย่วน แกยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ การพัฒนาในยุคนั้นย่อมประสบกับความเจ็บปวดอยู่แล้ว มันผ่านไปก็ดีแล้วล่ะ”

เขาก็ไม่รู้ว่าพูดโน้มน้าวตนเองหรือหลานชายกันแน่ บางทีอาจเป็นทั้งสองอย่าง!

“ถ้าแกมีโอกาส คอยสร้างสัมพันธ์กับลูกหลานตระกูลซูไว้เยอะ ๆ นะ”

ลูกหลานของตระกูลซูเป็นคนคิดบวก พวกเขาไม่ได้สูญเสียความหวังเพราะความยากแค้นของชีวิต

ฉืออี้หย่วนเห็นแต่สิ่งไม่งดงามมากเกินไป จึงต้องการใครสักคนพาเขาออกไปจากที่นี่

“คุณปู่ ผมเข้าใจแล้ว!”

“ช้าก่อน พวกคุณปู่ตู้ของแกกำลังจะมาแล้ว แกต้องมีความสุขสักหน่อยอย่าทำให้พวกเขาเศร้า” ฉือเก๋อเตือน

ขณะที่สองปู่หลานกำลังคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงจากข้างนอกประตู

“ลุงฉือ ลุงฉือ!”

“หัวหน้าชุมชน คุณมาแล้วหรือ?” ฉือเก๋อรีบออกมาจากคอกวัว

ซูฉางจิ่วหรือหัวหน้าชุมชนการผลิตยืนอยู่ด้านนอกคอกวัว ด้านหลังเขายังมีคู่สามีภรรยาที่มีผมหงอกเป็นสีขาว อายุราวหกสิบปี ทั้งคู่คอยพยุงแขนกัน อ่อนแรงและผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัด

ซูฉางจิ่วเป็นชายวัยสี่สิบปี จริงใจและซื่อตรง ปกติแล้วเขาก็เป็นคนที่จริงจังคนหนึ่ง

แม้แต่สองปู่หลานบ้านฉือก็ได้รับการดูแลเช่นกัน เมื่อเทียบกับชุมชนการผลิตรอบข้างที่ปฏิบัติต่อพวกเขาแล้ว นับว่าดีกว่ามาก

“ลุงฉือ นี่คือตู้ถงเหอที่มาใหม่ จากนี้ไปจะเป็นเพื่อนข้างบ้านของลุงนะครับ” หัวหน้าชุมชนไม่ได้พูดนอกเรื่อง เขาตรงเข้าประเด็นทันที

ตอนที่ฉือเก๋อมองไป แววตาประกายความรู้สึกทนดูไม่ได้และความข์ใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

อีกสองคนก็พยักหน้าให้ฉือเก๋อด้วย

“ถือว่าเป็นอันรู้จักกันแล้วนะครับ ลุงฉือ พวกเขาเพิ่งมาถึง จึงยังไม่ค่อยรู้อะไร ช่วงนี้ลุงช่วยดูแลพวกเขาไปก่อนนะครับ ให้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้” ซูฉางจิ่วพูดเตือน

ฉือเก๋อรีบตอบทันที ก่อนจะแสดงว่าตนเองจะดูแลคนมาใหม่อย่างดี

“พวกเขาก็มาจากเมืองหลวงด้วยนะลุงฉือ”

หัวหน้าชุมชนซูฉางจิ่วจงใจพูด และไม่ลืมที่จะจ้องมองไปยังฉือเก๋อกับสองสามีภรรยา

“ขอบคุณหัวหน้าชุมชนที่คอยดูแลนะ จากนี้ฉันจะเรียนรู้จากสหายฉือให้มาก!” ตู้ถงเหอไม่รอฉือเก๋อพูด รีบกล่าวขอบคุณซูฉางจิ่วก่อน

“ไม่เป็นไร ถึงงานพวกคุณจะสกปรกไปบ้างแต่ไม่หนักนัก และไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร”

ซูฉางจิ่วมองอายุคนเหล่านี้สุดท้ายก็พูดออกมา รู้สึกสบายใจนัก

หลังจากเห็นซูฉางจิ่วจากไป ฉือเก๋อก็ทักให้ฉืออี้หย่วนช่วยสองสามีภรรยาขนสัมภาระไปบ้านหลังเล็กที่อยู่ถัดจากพวกเขา

หลังจากเข้าไปในบ้าน และแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอก ฉือเก๋อถึงค่อยกอดตู้ถงเหอ

ผู้เฒ่าวัยหกสิบปีกว่า ๆ สองคนร้องไห้ราวกับเป็นเด็ก ๆ แม้น้ำตาจะนองหน้าแต่ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

หลังจากร้องจนพอแล้ว ฉือเก๋อถึงพูดขึ้น “สหายตู้ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เจอนายในที่แบบนี้!”

“สหายฉือเอ๋ย พวกเราถือว่ามีชะตากรรมร่วมกันแล้วนะ!” มุมปากตู้ถงเหอมีรอยยิ้มเยาะเย้ย

อวี่รุ่ยหยวนหรือภรรยาของตู้ถงเหอกลับอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง

ไม่คิดเลยว่าอายุจนปูนนี้แล้วยังต้องผ่านความทุกข์ยากอยู่อีก ทิ้งบ้านเกิดไว้ข้างหลังและอาศัยอยู่ในคอกวัว!

“รุ่ยหยวน ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี จากนี้ไปพวกเราจะอยู่บ้านข้างสหายฉือแล้ว และยังได้ดูแลกันและกันด้วย!” ตู้ถงเหอผละจากฉือเก๋อ แล้วจับไหล่ภรรยาก่อนปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีกันอยู่สองคนผัวเมีย จะไม่ได้อยู่ร่วมกันได้อย่างไร!”

“พวกเราอายุมากแล้วนะ แต่ยังต้องตกอยู่ในสถานที่แบบนี้อีก! ฉันไม่เต็มใจเลย!”

ตู้ถงเหอกล่าวว่า “ฟ้าหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ ดอกบ๊วยดอกน้อย มิไร้ถิ่นที่อยู่ รุ่ยหยวน อย่ากังวลไปเลย!” ตู้ถงเหอปลอบภรรยาของเขาเบา ๆ

“ฉันคิดถึงจิ่งหวนของเรา ถ้าเขารู้ว่าตอนนี้พวกเรามีชีวิตแบบนี้ เขาคงอยู่ไม่สุขแน่!” อวี่รุ่ยหยวนกลับโศกเศร้าเล็กน้อย จึงซบหน้าลงไว้ในอ้อมแขนของสามีแล้วร้องไห้เสียงเบา

เมื่อพูดถึงลูกชายเพียงคนเดียว ดวงตาของตู้ถงเหอกลายเป็นสีแดงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา!

“อันที่จริงผู้คนในชุมชนการผลิตหงซินก็ดีนะ อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องทนทุกข์นัก” ความรู้สึกในใจฉือเก๋อผสมปนเปกัน บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่ก็พยายามปลอบโยนสหายเก่าอย่างเต็มที่

ตู้ถงเหอส่ายหัว “ดีไม่ดี ก็ยังใจดีกับพวกเราไม่เปลี่ยนใช่ไหม?”

“ต่อไปเดี๋ยวก็รู้เอง อย่างน้อยชีวิตในชุมชนการผลิตก็ดีกว่าที่อื่นมาก สหายตู้ ฉันมีของดี ๆ อยู่ วันนี้จะทำเลี้ยงนายเอง” ฉือเก๋อฉีกยิ้ม “มาฉลองการพบกันของพวกเราอีกครั้งเถอะ”

ฉือเก๋อมีความตั้งใจและตู้ถงเหอก็ไม่ปฏิเสธ เมื่ออวี่รุ่ยหยวนค่อย ๆ สงบลงก็เริ่มเก็บกวาดบ้านที่ทรุดโทรม

ฉือเก๋อและฉืออี้หย่วนกำลังยุ่งกับการทำอาหารเย็น

อาหารเย็นเป็นแป้งทอดฟักทองมันเทศและข้าวฟ่างต้ม

นี่เป็นชามข้าวฟ่างใบเล็กชามเดียวที่ฉือเก๋อมี แล้วต้มให้เป็นข้าวฟ่างต้มข้น ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น

กลิ่นหอมหวานของฟักทองและมันเทศถูกกระตุ้นออกมา มันหวานมากและมีกลิ่นหอม

เส้นทางของสามีภรรยาตู้ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้กินดีอยู่ดี เมื่อได้กลิ่นที่หอมหวานเช่นนี้ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

“มาเถอะ คืนนี้พวกเรามากินข้าวกันก่อน เรื่องของพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!” ฉือเก๋อแบ่งข้าวฟ่างต้มและแป้งทอดฟักทองมันเทศให้แต่ละคน

เมื่อสองพี่น้องซูเสี่ยวเถียนซูซื่อเลี่ยงมาถึง ก็ได้กินหอมกรุ่นนี้

แต่น่าเสียดายกับกลิ่นที่ส่งออกมาจากที่แห่งนี้ ทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคย

*[1] ความยิ่งใหญ่ในชีวิตสามัญ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท