เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 26 น่าอัศจรรย์มาก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 26 น่าอัศจรรย์มาก

บทที่ 26 น่าอัศจรรย์มาก

เมื่อฉือเก๋อเดินออกไป สิ่งที่เห็นคือภาพวาดที่ตั้งอกตั้งใจของซูซื่อเลี่ยง

เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปดู แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าแม้ลายเส้นภาพวาดของซูซื่อเลี่ยงจะยังไม่โตเต็มที่ดี กลับหายากที่จะมีความงดงามเช่นนี้ได้

“หนุ่มน้อย ใครสอนเธอวาดรูปหรือ?” ฉือเก๋อถามอย่างสงสัย

“ไม่มีใครสอนครับ ผมแค่วาดเล่น ๆ วาดได้ไม่เก่งหรอก คุณปู่ฉืออย่าหัวเราะผมนะ” ซูซื่อเลี่ยงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังจะใช้ดินที่พื้นลบภาพวาดของเขา

“ไม่ต้อง ๆ ให้ปู่ดูหน่อยสิ!” ฉือเก๋อรีบหยุดไว้

“สหายฉือ เจออะไรอีกหรือ?” ตู้ถงเหอได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของฉือเก๋อ จึงเดินขึ้นหน้าเพื่อมาถาม

เขารู้จักฉือเก๋อดี ฉือเก๋อเป็นคนที่ละเอียดตั้งแต่ยังเด็ก โดยปกติไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สามารถทำให้เขาตื่นเต้นได้

ฉือเก๋อไม่ได้ตอบ แต่มองไปที่ซูซื่อเลี่ยงอย่างครุ่นคิด

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อเหลือเกิน ลูกของตระกูลซูเป็นเด็กแบบไหนกันนะ?

อย่างแรกมีซูเสี่ยวเถียนผู้มองทะลุปรุโปร่ง ทั้งยังมีเด็กชายอีกคนที่เรียนรู้การวาดรูปได้ด้วยตนเองอีก ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ในครอบครัวนี้กินอะไรเป็นอาหารกันแน่

เมื่อตู้ถงเหอเห็นภาพวาดบนพื้นก็ตกใจเช่นกัน ภาพวาดของเด็กคนนี้ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่หาได้ยากมากที่จะมีความงดงามเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่สหายฉือก็ตกใจเช่นกัน

“เธออยากเรียนวาดรูปกับปู่หรือไม่” ฉือเก๋อถามในที่สุด

เขาไม่ใช่ครูศิลปะมืออาชีพ และในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้หาครูศิลปะมืออาชีพได้ยากมาก

ตระกูลซูวางใจให้เขาสอนซูเสี่ยวเถียน แล้วก็ยังสามารถวางใจให้เขาสอนซูซื่อเลี่ยงได้ด้วย

อวี่รุ่ยหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้โชคดีจริง ๆ ทำให้สหายฉือชื่นชอบด้วย”

แต่เมื่ออวี่รุ่ยหยวนพูดจบ ก็ได้ยินคำตอบของซูซื่อเลี่ยง

“วาดรูป? มีอนาคตอะไรด้วยหรือ? ผมอยากอ่านหนังสือ!”

ซูซื่อเลี่ยงส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว แสดงให้รู้ว่าตนเองไม่มีความสนใจ

อะไรกัน? โดนเมินงั้นหรือ?

แทบไม่เชื่อว่าตนเองจะได้ยินคำตอบเช่นนั้น

ตู้ถงเหอมองไปยังสีหน้าของสหายเก่าที่มีความขบขันเล็กน้อย เอ่ยปากรับศิษย์ด้วยตนเองแต่กลับถูกเมินเสียอย่างนั้น เขาคงไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนสินะ?

ซูเสี่ยวเถียนเก็บปากกาและกระดาษอยู่เลยออกมาช้ากว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ประจวบเหมาะกับออกมาทันบทสนทนาดังกล่าว

เธอรู้ว่าฉือเก๋อไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศอีกด้วย

เขาเสนอตัวที่จะสอนซูซื่อเลี่ยงวาดภาพ นั่นก็เพื่อพิสูจน์ว่าซูซื่อเลี่ยงมีพรสวรรค์ในด้านนี้

ซูเสี่ยวเถียนไม่ต้องการให้พี่รองละทิ้งโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไป

เธอรีบเดินขึ้นหน้าแล้วเอ่ยอย่างปรีดา “คุณปู่ฉือวาดรูปเก่ง ถ้าพี่รองสามารถวาดออกมาได้สวยคงจะดีไม่น้อยเลยค่ะ”

แววตาเปล่งประกายที่มองมายังซูซื่อเลี่ยงทำให้เขาทนไม่ไหวจนเกือบตอบตกลง

หากแต่เขาก็ยังลังเล

การวาดรูปมันไม่ใช่อาชีพหลัก แต่ถ้าน้องสาวอยากให้เขาวาด เขาจะทำอย่างไรดี?

“พี่รอง คุณปู่ฉือยินดีที่จะสอนวาดรูปให้พี่เลยนะ!” ซูเสี่ยวเถียนย้ำอีกครั้ง “ถ้าพี่ได้เรียนก็สามารถวาดรูปให้หนูได้นะ พอหนูโตขึ้นก็จะได้รู้ด้วยว่าหนูโตขึ้นมาหน้าตาเป็นอย่างไร”

ซูเสี่ยวเถียนคะยั้นคะยอ พี่รองชอบวาดรูปและมีความสามารถในด้านนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้พี่ชายตอบตกลง

ตู้ถงเหอมองไปยังสองพี่น้องด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงคุยกันแบบนี้

“น้องเถียน พี่ได้ยินคนพูดว่าในอำเภอมีร้านถ่ายภาพด้วย กดหนึ่งครั้งก็จะวาดออกมาเสร็จเลย เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว” ซูซื่อเลี่ยงเอ่ยอย่างลังเล

“แต่บ้านเราไม่มีเงินนะ!” ซูเสี่ยวเถียนพูดตรง ๆ “แถมยังไม่ง่ายเลยที่จะไปอำเภอด้วย ถ้าพี่รองเรียนวาดรูป พี่จะวาดให้หนูตอนไหนก็ได้นะ”

ฉือเก๋อสับสนนิดหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

วาดภาพก็คือวาดภาพ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย?

แต่คำเช่นนี้กลับเปลี่ยนความคิดของซูซื่อเลี่ยงได้

“คุณปู่ฉือ ปู่สอนผมให้วาดภาพน้องสาวออกมาได้ใช่หรือไม่ครับ” ซูซื่อเลี่ยงถาม

“แน่นอนสิ”

“งั้นผมก็จะเรียนวาดรูปกับปู่ด้วย! ใครบอกน้องสาวให้ขอให้ผมเรียนกันเนี่ย?” ซูซื่อเลี่ยงพูดอย่างกลัดกลุ้มใจ

แม้ว่าการวาดรูปจะไม่มีอนาคตจริง ๆ แต่ใครเล่าที่จะทำให้น้องเถียนชอบน่ะ เพื่อน้องเถียนแล้วเขายอมทำก็ได้!

สองสามีภรรยาตู้มองเด็กทั้งสอง นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

เพราะน้องสาวอยากให้เรียนก็เลยเรียนงั้นหรือ?

อืม เช่นนั้นก็ได้!

อย่างไรเสีย ถ้าฉือเก๋อไปบรรลุเป้าหมายก็ดีแล้ว

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มให้พี่รองด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นเธอก็เดินไปหาฉือเก๋อก่อนพูดขึ้น “คุณปู่ฉือ พี่รองของหนูวาดรูปเก่งมาก”

ฉือเก๋อพยักหน้า “เห็นแล้วล่ะ เขาทำได้ดีเลย”

ซูซื่อเลี่ยงกำลังครุ่นคิด ทำได้ดีเนี่ยพูดถึงเขาอยู่หรือเปล่า

ไม่มีใครในบ้านพูดว่าเขาทำได้ดีเลย ไม่บอกว่าเป็นตัวปัญหาก็บอกว่าเป็นเด็กดื้อ!

ทำไมคุณปู่ฉือถึงชมว่าเขาทำได้ดีเล่า?

“เสี่ยวเถียน หนูฉลาดมาก แล้วพี่รองก็เก่งมากเช่นกัน มันทำให้ปู่สนใจอยากเจอพวกพี่ ๆ คนอื่นเลย” ฉือเก๋ออดไม่ได้ที่จะลูบผมนุ่มของซูเสี่ยวเถียน

“ถ้าวันหลังมีโอกาสหนูจะพาพวกพี่ ๆ มาหาคุณปู่ค่ะ” หลังจากพูดขอบคุณ ซูเสี่ยวเถียนก็หมุนตัวหมายจะเดินจากไป ฉับพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้

“คุณปู่ฉือ หนูมีคำถามอีกข้อค่ะ ขอถามได้ไหมคะ” ซูเสี่ยวเถียนเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังไม่ได้คาดหวังอะไร เท่าที่เธอรู้มาฉือเก๋อดูเหมือนจะไม่ใช่เกษตรกร

“มีปัญหาอะไรหรือ พูดให้ฟังหน่อยสิ บางทีปู่อาจจะรู้น่ะ?”

“คุณปู่ฉือคะ ทำไมข้าวสาลีที่ปลูกไว้แล้วเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ผลผลิตถึงไม่ลดลง แต่การสำรองเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดถึงทำให้ผลผลิตลดลงล่ะ? ไม่มีวิธีที่ทำให้การสำรองเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดโดยผลผลิตไม่ลดลงบ้างหรือคะ?”

ฉือเก๋ออ้าปากค้าง เด็กผู้หญิงตัวน้อยถามคำถามเกี่ยวกับการเกษตร แต่เรื่องนี้เขาไม่ต่างจากคนโง่เขลา ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง!

เขามองไปที่ตู้ถงเหอด้วยรอยยิ้มขมขื่น “สหายตู้ มาอธิบายให้เด็กคนนี้ฟังทีสิ!”

ตู้ถงเหอรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ เมื่อเขาได้ยินคำถามของซูเสี่ยวเทียน

เด็กตัวแค่นี้จะคิดถึงปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไร?

นี่มันเด็กวิเศษอะไรกัน?

“นี่เป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก และมันเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมพืช ในความคิดของฉันนะ มันยากเกินไปสำหรับหนูที่จะเข้าใจ” ตู้ถงเหอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน

เขารู้สึกว่าการเล่าความเข้าใจในเรื่องนี้ให้เด็กฟังก็ไม่ต่างไปจากการสีซอให้ควายฟังหรือเปล่า?

แต่ซูเสี่ยวเถียนยังเพียรถาม “คุณปู่ตู้ หนูรู้ว่าถ้าควบคุมสภาวะได้อย่างเหมาะสม ข้าวสาลีจะไม่เสื่อมสภาพลง และพันธุกรรมของมันหลังจากนี้จะคงอยู่ได้ด้วย หากเป็นเช่นนี้เราจะสามารถรักษาคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมต่อไปได้ แล้วทำไมข้าวโพดถึงทำไม่ได้คะ? มีวิธีไหนบ้างที่ข้าวโพดจะทำได้เหมือนข้าวสาลีบ้าง อย่างกับสำรองเมล็ดแล้วคงผลผลิตได้สูงด้วยคะ?”

เด็กหญิงถามยังคงถามไม่หยุด

ตู้ถงเหอรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้ไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจถึงได้ถาม ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินเด็กผู้หญิงคนนี้ต่ำไป

ครั้งนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อซูเสี่ยวเถียนที่เป็นเด็กอีก แต่เป็นคนคนหนึ่งที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดด้วยกันได้ และคุยอย่างจริงจังถึงเหตุผลอื่น ๆ รวมถึงแนวโน้มการพัฒนาในอนาคตที่สามารถเข้าใจได้ด้วย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท