เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 27 เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 27 เปลี่ยนแปลงตัวเอง

บทที่ 27 เปลี่ยนแปลงตัวเอง

สิ่งที่ตู้ถงเหอไม่คาดคิดคือ ซูเสี่ยวเถียนตอบโต้กับเขาได้ดี

แม้ว่าจะมีบางคำถามที่ไม่เคยเข้าใจก็ได้รับความกระจ่างจากเธอ

ซูเสี่ยวเถียนเองก็รู้สึกว่าการได้ฟังตู้ถงเหอพูด ดีกว่าการอ่านหนังสือเป็นสิบปีเลย!

หนึ่งคนแก่ หนึ่งคนเด็ก แล้วยังมีการสนทนาดี ๆ เช่นนี้อีก ฉือเก๋อมองแล้วก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ทำไมนักเรียนที่เขารับมาถึงคุยกับตู้ถงเหอได้ดีกว่าตนเองเสียล่ะ?

“ไม่ว่าจะเป็นธัญพืชแบบไหน ย่อมเป็นแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะส่งเสริมพันธุ์ลูกผสมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น เสี่ยวเถียน หนูต้องรู้ว่ายังมีคนในประเทศของเราอีกมากที่กินไม่อิ่ม และจำเป็นต้องเพิ่มผลผลิตทางธัญพืชด้วย” ตู้ถงเหอกล่าวอย่างจริงจัง

หากเด็กเก่งแบบนี้ได้ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมในอนาคต จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณปู่ตู้ ปู่ไม่ต้องกังวลนะคะ ในอนาคตจะมีธัญพืชที่ให้ผลผลิตสูงอย่างแน่นอน และทุกคนจะได้กินข้าวอิ่ม ๆ ด้วย!” ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างหงึกหงัก

ข้าวเปลือกลูกผสมจะเกิดขึ้นแน่ ๆ แล้วหลังจากที่มันเกิดขึ้นจะไม่มีผู้ใดหิวโหยอีก เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่ทุกคนจะได้กินข้าวอิ่มเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าอาหารมากเท่าไร ที่กลายเป็นของไร้ประโยชน์

และในยุคสมัยนี้อาหารล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด!

ซูเหล่าซานกำลังรอลูกสาวอยู่จึงไม่ได้กลับไป ก็เลยทำได้เพียงแอบไปที่คอกวัวแล้วตามหาเท่านั้น

เมื่อเขาเดินไปถึงประตูก็พบกับคนแปลกหน้าอีกสองคนในคอกวัว และกำลังคุยกับน้องเถียนอย่างมีความสุข

ซูเหล่าซานรู้สึกปวดหัว เหตุใดลูกสาวที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านมากนัก แต่มีผูกมิตรพวกคนในคอกวัวแทน

คนในคอกวัวพวกนี้มีเสน่ห์ใดถึงทำให้เถียนเถียนน้อยกลับบ้านช้ากัน?

“คุณพ่อ มาได้อย่างไรคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามเมื่อเห็นซูเหล่าซาน และจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดขาเขา

“ไม่ใช่ว่าหนูกับพี่รองยังไม่กลับหรืออย่างไร พ่อก็เลยต้องมารับน่ะ” ซูเหล่าซานเหลือบมองซูซื่อเลี่ยงอย่างตำหนิ

อย่าปล่อยให้เด็กคนนี้ส่งน้องเถียนเชียว! เป็นเด็กดื้อรั้นคนหนึ่งแล้วจะดูแลน้องสาวดี ๆ ได้อย่างไร?

“คุณพ่อ นี่คือคุณปู่ตู้ค่ะ พ่อยังไม่เคยเห็นแน่เลย เขามีความรู้เยอะมากเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนแนะนำให้ซูเหล่าซานด้วยใบหน้าชื่นชม

ซูเหล่าซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่น และคิดว่าตนเองยังจริงจังไม่พอ!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กคนนี้ไม่ยอมรีบกลับบ้าน เพราะมีคนที่มีความรู้เยอะในครอบครัวน้อยใช่ไหมล่ะ?

ฮึ!

พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือ แม้แต่ศัพท์ก็รู้ไม่เท่าไร

แล้วจะคุยด้วยกับเด็กได้อย่างไรเล่า?

ไม่ได้การแล้ว จากนี้ไปตอนที่เข้าเรียนหนังสือ เขาต้องตั้งใจเรียนกับครูแล้ว

หากทำอย่างอื่นไม่ได้ การรู้ศัพท์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าการกระทำที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ซูเหล่าซานคิดเป็นอย่างอื่น

แม้ว่าซูเหล่าซานจะรู้สึกขมขื่น ทั้งลูกสาวยังชอบคนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันมากกว่าด้วย แต่เขาก็ยังทักทายตู้ถงเหอด้วยความสุภาพ

ท้องฟ้ามืดสลัว ทุกคนไม่อยากให้ช้าไปกว่านี้อีก จึงแยกย้ายกันกลับบ้านตนเอง

ตู้ถงเหอยังคงถอนหายใจกระทั่งร่างซูเสี่ยวเถียนลับสายตาไป

“สหายฉือเอ๊ย นายไปหาเด็กเก่งเช่นนี้มาจากไหนกัน? อี้หย่วนก็เป็นเด็กล้ำค่าที่หาได้ยากอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้นายยังเจออีกคน”

อยู่คอกวัวแท้ ๆ แต่ยังเจอต้นอ่อนดี ๆ ได้ นี่มันโชคอะไร?

แต่ไม่รู้ว่าสหายฉือโชคที่ดีหรือโชคที่ร้ายกันแน่

“ไม่ใช่ว่านายก็เจอด้วยหรือสหายตู้ จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกอยากช่วยนายรับนักเรียนด้วย” ฉือเก๋อพูดอย่างเฉียบแหลม

“เด็กคนนี้เข้าใจอะไรมากมาย แต่ความรู้พวกการเกษตรของเธอยังไม่ครอบคลุมมากนัก”

ตู้ถงเหอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านมีความรู้ความเข้าใจด้านการเกษตรอย่างถ่องแท้หรือเปล่า”

“ประสบการณ์น่ะมีอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงความรู้ด้านการเกษตรฉันคิดว่ามันไม่จำเป็น”

หลังจากอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิตหงซินเป็นระยะเวลาสามปี ฉือเก๋อมีความเข้าใจพวกชาวบ้านมากขึ้น

คนส่วนใหญ่ในชุมชนแห่งนี้ไม่รู้จักตัวอักษรจีนสักตัว และพวกเขาอาศัยประสบการณ์ในการทำไร่ทำนาเท่านั้น

เด็กผู้ชายเมื่ออายุถึงสิบเอ็ดสิบสองปี หลายคนเลือกที่จะให้ลูกลาออกจากโรงเรียนและตามพวกผู้ใหญ่ไปทำงานในนา

“ถ้าเด็กคนนี้ได้รับการสอนอย่างดี จะเป็นเด็กมีพรสวรรค์หายากคนหนึ่งทีเดียว น่าเสียดายที่พวกเราเป็นมังกรติดอยู่ในน้ำ*[1]!” ตู้ถงเหอรู้สึกเสียใจ

“อันที่จริงนายควรรู้สึกโชคดีสิ ถ้าไม่ได้มาที่ชุมชนการผลิตหงซิน จะเจอเด็กเก่งเช่นนี้ได้อย่างไร” ฉือเก๋อพูดอย่างเปิดเผย “ตั้งแต่ที่ได้พบกัน พวกเราจะสอนให้ดี ไม่แน่ว่าอาจมีอนาคตจริง ๆ ในภายภาคหน้านะ”

วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ยิ่งคิดมากก็ยิ่งทุกข์มาก

หากไม่สามารถเปลี่ยนสังคมนี้ได้ เช่นนั้นก็ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูเสีย

“สหายฉือ นายพูดถูกแล้ว อี้หย่วนเอ๊ย ในอนาคตข้างหน้า หลานมีคู่ต่อสู้แล้วล่ะ” ตู้ถงเหอกล่าวอย่างมีความสุข

ฉืออี้หย่วนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินมันอย่างชัดเจน

ในยามนี้เขาสนใจเด็กผู้หญิงที่ช่วยชีวิตไว้โดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว และในขณะเดียวกันก็กลั้นใจคิดจะทำตัวให้ดีขึ้นด้วย

เขาเป็นเด็กผู้ชาย อย่างไรก็ไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกับเด็กผู้หญิงได้!

“ฮึ่ม คิดจะแซงพี่ มันไม่ง่ายหรอกนะ!” ฉืออี้หย่วนกล่าวอย่างไม่สบายใจ

อวี่รุ่ยหยวนอดไม่ได้ที่จะจ้องสามี คน ๆ นี้รู้ดีว่าน้องหย่วนเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ แต่ก็ยังคอยกระตุ้นเขา!

เมื่อซูเหล่าซานกลับถึงบ้าน ครอบครัวต่างกำลังรอพวกเขากลับมากินข้าว จากนั้นทุกคนก็กินอย่างมีความสุข

ซูเสี่ยวเถียนบอกคุณปู่ซูและคุณย่าซูว่าฉือเก๋อก็วางแผนที่จะรับซูซื่อเลี่ยงเป็นนักเรียนด้วย

ผู้เฒ่าทั้งสองคาดไม่ถึงว่าหลานชายคนรองของตระกูลจะมีบางสิ่งที่ทำให้ฉือเก๋อเล็งเห็น จึงอดไม่ได้ที่จะมองซูซื่อเลี่ยง

“เป็นเรื่องที่ดีเลย!” คุณปู่ซูพูดขณะม้วนเคราเล่น

ถึงอย่างไร หลานสาวก็ได้ติดตามฉือเก๋อแล้ว ให้ซูซื่อเลี่ยงตามด้วยอีกคนคงไม่เป็นอะไร

เขาคอยเฝ้ามองมาตลอดหลายปี แม้ว่าฉือเก๋อจะอาศัยอยู่ในคอกวัว แต่เขาป็นคนดีและไม่ได้มีปัญหาอะไร คนแบบเขา หากจะส่งลูกหลานไปให้ก็วางใจได้

“ตาเฒ่า เด็กทั้งสองกำลังเรียนกับอาจารย์ฉือ พิธีคำนับอาจารย์ไม่อาจจัดเล็ก ๆ ได้แล้ว!” คุณย่าซูรู้สึกลังเลเล็กน้อย คิดจะมอบของดี ๆ จำนวนไม่น้อยให้ น่าลำบากใจยิ่งนัก!

“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น! นี่ไม่ใช่แค่มีคนส่งของมาให้พวกเราเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นคอยเตรียมของที่พอดูได้สักหน่อยแล้วส่งไปก็ดี!”

แม้ว่าคุณย่าซูจะรู้สึกลำบากใจ แต่ในเมื่อคุณปู่ซูพูดแล้วเธอจึงเห็นด้วย

เพราะรอซูเสี่ยวเถียนและซูซื่อเลี่ยงกลับมาถึงเพิ่งได้กินข้าว หลังจากกินเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิท

ทุกคนในตระกูลซูกลับห้องของตนเพื่อพักผ่อน ส่วนซูเหล่าซานก็นำสิ่งที่เขาพบในวันนี้ไปเล่าให้เหลียงซิ่วภรรยาของเขาฟัง และยังบอกอีกว่าต่อไปนี้ตนเองจะตั้งใจเรียน

“จากนี้ ไปพวกเราจะตั้งใจเรียนด้วย พวกเด็ก ๆ ในครอบครัวรู้ศัพท์แล้ว นอกจากเข้าชั้นเรียนแล้ว เรายังให้เขาสอนหนังสือพวกเราได้” เหลียงซิ่วพบวิธีแก้ปัญหาในทันที

เธอไม่ได้คาดหวังว่า ท้ายที่สุดแล้วลูกสาวคนเล็กใกล้ชิดกับคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวของตนเอง แต่เพื่อซูเสี่ยวเถียนแล้วนั้น ถึงแม้การจำศัพท์จะยากก็ต้องเอาชนะให้ได้

“หลายวันมานี้ชั้นเรียนยังไม่เริ่มเลย ให้อู่ร่างสอนพวกเราก่อนแล้วกัน เรียนวันละนิดวันละหน่อย สักช่วงนึงจะต้องได้ผลแน่นอน” ซูเหล่าซานกล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็วางแผนที่จะไปหาลูกชายเพื่อให้เขาสอนอ่านศัพท์ แต่ถูกเหลียงซิ่วหยุดไว้!

*[1] หมายถึง สูญเสียอำนาจ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท