เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 33 คุณปู่ซูออกโรง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 33 คุณปู่ซูออกโรง

บทที่ 33 คุณปู่ซูออกโรง

“ใครก็ได้ ไอ้เรื้อมันนอนาจาร… ฮือ ๆ” คังอี้เยี่ยเริ่มร้องไห้คร่ำครวญในทันที ทั้งร้องไห้ทั้งแหกปากเสียงดัง

เดิมทีหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากลำธารมากนัก ตอนนี้เป็นเวลามื้อเย็น บางคนมาเดินเล่นใกล้บริเวณลำธารเพื่อรับอากาศเย็น ๆ

ไม่นานนักสมาชิกกลุ่มแรกของชุมชนก็รีบเข้ามา

ตอนที่คนในชุมชนการผลิตมาถึง พวกเขาเห็นชายขี้เรื้อนที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าไม่ใส่ กำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าแปลกประหลาด

ส่วนคังอี้เยี่ยก็ปิดหน้าปิดตา ร้องไห้อย่างน่าเวทนา

ฉากนี้ทำให้ผู้คนอุปาทานหมู่ไปเอง และตัดสินไอ้เรื้อนตั้งแต่แรกเห็น

ชุมชนการผลิตไม่มีเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ในตอนกลางวันแสก ๆ ท่ามกลางถิ่นทุรกันดารแท้ ๆ กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?

เหลียงซิ่วและซูเหล่าซานนั่งยอง ๆ อยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่อยู่เงียบ ๆ

แววตาทั้งสองคู่แสดงความเหลือเชื่ออกมา และพวกเขาไม่คิดว่าคังอี้เยี่ยจะเป็นคนเช่นนี้

“พ่อคุณ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย?” เหลียงซิ่วถามแผ่วเบา

เรื่องนี้หากไม่มีหลักฐาน ไอ้เรื้อนนั่นแย่แน่

สำหรับความผิดโทษฐานอนาจาร หากเบาหน่อยจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกพิพากษา ถ้าหนักหน่อยจะเป็นเรื่องที่คิดจนหัวหมุน

“คังอี้เยี่ยคนนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว!” ซูเหล่าซานกระซิบ

ไอ้เรื้อนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับถูกผู้หญิงพูดจาให้ร้าย

เป้าหมายของเธอไม่ใช่ไอ้เรื้อน แต่คือเขาใช่หรือไม่?

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ขึ้นมา ซูเหล่าซานก็หวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่ง

โชคดีที่ภรรยาของเขามาทัน ไม่อย่างนั้นวันนี้คงกลายเป็นเขาที่พบเจอเรื่องโชคร้ายนี้

เขาเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว และปัญหาจะร้ายแรงกว่าไอ้เรื้อนมากนัก

ตอนที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ผู้คนในชุมชนการผลิตได้ล้อมหัวโรคเรื้อนแล้วมัดเอาไว้

“ผมไม่ได้ ผมไม่ได้…” ในตอนนั้นเองที่ไอ้เรื้อนเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองกำลังถูกเล่นงาน

ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังคังอี้เยี่ย หญิงที่เป็นฝ่ายหลอกล่อเขาแล้วยังเอาแต่เรียกเขาว่าพี่สาม ๆ ไม่หยุด นี่ก็เพื่อจัดการเขาให้ตายไปเลยใช่หรือไม่

ถึงโรคเรื้อนจะทำให้สกปรกอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคังอี้เยี่ยไม่ใช้เหรอ?

แล้วเหตุใดเธอต้องทำร้ายเขาด้วยเล่า?

“คังอี้เยี่ย เหตุใดคุณถึงใส่ร้ายผมล่ะ? ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ทำไมต้องใส่ร้ายกันด้วย?” ไอ้เรื้อนดิ้นรนสุดชีวิต แววตาแดงก่ำขณะตะคอกเสียงดังลั่น

แต่เสียงตะคอกที่บีบคั้นหัวใจนั้น ไม่สามารถทำให้คนในชุมชนเห็นอกเห็นใจได้

ตอนที่ไอ้เรื้อนต่อต้าน ก็ถูกทั้งเตะ ทั้งเหยียบ เขาขดตัวด้วยความเจ็บปวด

ในยามนี้ไอ้เรื้อนเสียใจนัก เขาควรจะผลักผู้หญิงคนนี้ออกไปตั้งนานแล้วถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องแย่ ๆ เช่นนี้เกิดขึ้น!

แต่ตอนนี้ มันสายเกินไปที่จะพูดเสียแล้ว…

เหลียงซิ่วเป็นคนจิตใจดี เธอไม่อยากให้ไอ้เรื้อนถูกคังอี้เยี่ยหลอกล่อเช่นนี้

แต่เธอรู้ว่าตนเองและซูเหล่าซานเป็นคนหนุ่มสาว พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หากพูดไม่ดีเข้าหน่อยอาจจะโดนหางเลขไปด้วยก็ได้

เธอดึงซูเหล่าซานขึ้น และวิ่งกลับไปที่บ้านผู้เฒ่าซูอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลับมาถึง คุณย่าซูและคนอื่น ๆ กำลังรอให้พวกเขากลับมาทานอาหารเย็นพร้อมกัน แต่เมื่อเห็นทั้งสองวิ่งหอบหายใจจึงรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เหลียงซิ่วรีบอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ ไอ้เรื้อนถูกกล่าวหา พวกท่านต้องช่วยเขานะ!” เหลียงซิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง

คังอี้เยี่ยเป็นคนถิ่นที่อื่น แถมยังกล้าที่จะทำให้คนในชุมชนเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้

คุณปู่และคุณย่าซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงทำตามคำขอของลูกสะใภ้

คังอี้เยี่ยไม่ใช่คนดี และครั้งนี้เธอก็ฉวยโอกาสกับเหล่าซานของบ้านพวกเขาอีก หากไม่ใช่เพราะอะไรดลใจให้ลูกสะใภ้ผ่านไปเห็นพอดี ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาคงจะพบเจอกับความโชคร้ายไปแล้ว

คนแบบนี้สารเลวยิ่งนัก

คนชราสองไปยังลำธารเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ได้ยินเสียงดุด่าของคนจำนวนมากดังสนั่น รวมถึงเสียงร้องไห้ของคังอี้เยี่ยด้วย แต่ไม่ได้ยินเสียงของไอ้เรื้อนเลย

พวกเขาต่างตระหนกตกใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะมาช้าเกินไป? ไอ้เรื้อนถูกพวกมันตีจนตายไปแล้ว?

คนในชุมชนการผลิตรังเกียจเรื่องพรรค์นี้มาก การที่ถูกคนเห็นเข้ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอยู่แล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความเร็วฝีเท้าของเขาจึงเพิ่มมากขึ้น

กระทั่งเห็นไอ้เรื้อน คุณปู่ซูตกใจแล้วรีบตะโกนให้คนพวกนั้นยั้งมือ

เพราะเป็นคำพูดของคุณปู่ซู พวกเขาจึงหยุดตีไอ้เรื้อน แต่สายตาของทุกคนยังคงขุ่นเคืองและเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“คุณลุง ท่านดูเถิด เพราะไอ้เรื้อนตัวนี้เลยทำให้สูญเสียคนในชุมชนไป ออกไปไหนจะไม่วายถูกคนหัวเราะเยาะเหรอ?”

“ใช่แล้ว ไอ้เรื้อนอึหนู ทำลายน้ำแกงอร่อย ๆ ของพวกเราเสียแล้ว!”

“คนนี้แบบนี้ควรส่งไปเดินประจานนัก สมควรถูกวิพากษ์วิจารณ์”

ไอ้เรื้อนนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น ไม่ตอบสนองต่อคำสาปแช่งของผู้คนเลย

ดวงตาคู่นั้นไร้แววไปนานแล้ว

คุณปู่ซูเป็นผู้อาวุโสในชุมชนการผลิต เป็นคนน่าเชื่อถือ ถ้อยคำของเขาล้วนมีน้ำหนัก

เขากระแอมไอ “ไอ้เรื้อนก็เป็นเด็กที่โตมาด้วยกัน พวกผู้ใหญ่ยังไม่รู้อีกหรือว่าเขาเป็นคนอย่างไรน่ะ?”

หลังจากที่ถูกเตือนสติเช่นนี้ก็ดูเหมือนจำขึ้นได้จริง ๆ

ใช่ไหมเล่า? ถึงไอ้เรื้อนจะไม่ใช่คนหน้าตาดี ทั้งยังเกียจคร้านและสกปรกมาก แต่ต้องพูดว่าเขาเป็นคนซื่อตรงจริง ๆ

ถึงจะอายุยี่สิบกว่าปีและยังหาภรรยาไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องอะไรกับผู้หญิงคนไหนในหมู่บ้านเลย

กลับกันแล้ว นักศึกษาคังต่างหากที่แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ชื่อเสียงเรียงนามกลับไม่ดีสักนิด

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อม่ายเฒ่ากับผู้ชายคิดไม่ดีในชุมชนการผลิตพวกนั้นเลย พวกเขาล้วนมีข่าวลือแย่ ๆ กับนักศึกษาคังทั้งนั้น

พอคิดแบบนี้ได้ ทุกคนก็รู้สึกว่าเรื่องราวอาจจะไม่เป็นเช่นนี้จริง ๆ

พอคังอี้เยี่ยได้ยินจึงหยุดร้องไห้ แล้วจ้องไปยังคู่สามีภรรยาเฒ่าของตระกูลซู ไม่คิดซ่อนเร้นแววตาความคับแค้นใจ

คุณปู่ซูเมินเฉยคังอี้เยี่ย เรื่องในคราวนี้ หากไม่ช่วยไอ้เรื้อนไว้และปล่อยให้ผู้หญิงอย่างคังอี้เยี่ยบรรลุความต้องการของตน ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าอาจวางแผนเรื่องลูกชายบ้านเขาอีกก็ได้

มีแต่โจรเป็นพันวัน ไฉนเลยจะป้องกันได้พันวัน

หากลูกชายผู้โง่เขลาถูกหลอกลวง ครอบครัวต้องไม่สงบสุขแน่ ไม่ต้องพูดถึงพวกหลานที่โตแล้วเลย

“ไอ้เรื้อน แกมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า?” คุณปู่ซูถาม

ไอ้เรื้อนที่ถูกการกระทำของคนในชุมชนทำให้ช้ำใจมานาน เดิมทีวางแผนที่จะตั้งใจตายด้วยซ้ำ

คาดไม่ถึงว่าจะมีคนออกปากช่วยเขาไว้ เขาพยายามมองคุณปู่ซูด้วยความซาบซึ้ง

แต่ก่อนที่ไอ้เรื้อนจะได้พูด คังอี้เยี่ยก็สร้างปัญหาอีกครั้ง

“ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว คนในชุมชนหงซินข่มเหงนักศึกษา เรามาตั้งไกล ทั้งทุ่มเทวัยเยาว์และหยาดเหงื่อแรงงานเพื่อสร้างชนบท แต่สุดท้ายก็ถูกคนข่มเหงเช่นนี้อีก ฉันไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว…” คังอี้เยี่ยย่อตัวลงนั่งและปิดหน้า ส่งเสียงคร่ำครวญ ร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ

“ฉันได้ยินมาว่า ป้อมตำรวจชุมชนรับพิจารณาคดีของทั้งสองฝ่ายด้วยนะ พวกเราฟังความข้างเดียวไม่ได้ใช่ไหมเล่า” คุณปู่ซู่พูดอย่างแน่วแน่

“พยานบุคคลกับพยานวัตถุก็มี ทุกคนต่างก็เห็น แล้วยังมีอะไรต้องพูดอีกคะ? คุณลุงซู ฉันเคารพคุณในฐานะที่เป็นผุ้อาวุโสนะ แต่คุณกับไอ้เรื้อนนั่นเป็นคนในชุมชนการผลิตด้วยกัน คุณจะมาทำลายชื่อเสียงของฉันแบบนี้ไม่ได้นะ!”

คำพูดที่มีความชอบธรรม ไม่รู้ว่าแค่เป็นคุณปู่ซูพูดมันกลับรุนแรงมาก!

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท