บทที่ 36 การแข่งขันที่ดี
บทที่ 36 การแข่งขันที่ดี
ในความทรงจำของชีวิตครั้งก่อน ฉือเก๋ออดทนรอจนได้กลับเมืองไป
แต่เธอคลับคล้ายคลับคลาได้ยินคนพูดว่า หลังจากกลับไปได้ไม่นานก็เสียชีวิตลงด้วยอาการป่วย
ที่คาดเดาได้คือตอนนี้ฉือเก๋อป่วยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร รอไปหาอีกรอบค่อยถามแล้วกัน
จิตใจของซูเสี่ยวเถียนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง การได้พูดคุยกับฉืออี้หย่วนจึงเป็นสิ่งที่ง่ายมาก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือซูเสี่ยวเถียนเป็นลูกศิษย์ของฉือเก๋อ อีกฝ่ายไม่มีทางปิดบังเธอแน่นอน
ในไม่ช้าก็รู้ว่าฉือเก๋อเป็นโรคกระเพาะ
ในช่วงทุพภิกขภัย มีคนเป็นโรคกระเพาะเยอะมาก
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้กินกันอิ่มท้อง ทั้งยังขาดแพทย์และยารักษาโรค พวกเขาป่วยแต่ไม่มีเงินรักษาจึงลังเลที่จะใช้จ่ายเพื่อดูแลตนเอง
แต่โรคกระเพาะขึ้นอยู่กับการกินอาหารบำรุงเป็นหลัก ถ้าดูแลดี ๆ อาการจะดีขึ้นมาก
ในความทรงจำของเธอ มันจะมีข้าวต้มที่สามารถบำรุงกระเพาะอาหารอยู่หลายอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย
หลังจากคิดได้ ซูเสี่ยวเถียนก็ไปหาคุณหมอหลี่
ถึงหลี่หมิงไฉจะสงสัยในสิ่งที่เธอถาม แต่ก็ยังเป็นกรุณาให้ใบสั่งยาที่มีประโยชน์มาอยู่ดี
หลังจากที่อ่าน เธอก็ซื้อกึ๋นไก่จำนวนหนึ่งจากหลี่หมิงไฉด้วยราคาหนึ่งเหมา
“คุณย่าอวี่คะ อันนี้เป็นกึ๋นไก่ค่ะ ใช้ปรุงกับข้าวฟ่างต้มได้ โรคกระเพาะคุณปู่ฉือจะได้ดีขึ้น”
อวี่รุ่ยหยวนไม่ได้คาดหวังว่าเด็กน้อยอย่างซูเสี่ยวเถียนจะคิดได้ถึงขนาดนี้ แถมยังไปซื้อกึ๋นไก่มาให้โดยเฉพาะด้วย
“เด็กดี ลำบากหนูแล้วที่คิดเผื่อขนาดนี้”
เป็นโชคของฉือเก๋อนักที่ได้พบกับเด็กคนนี้โดยบังเอิญ
“เหนื่อยคุณย่าแล้วที่ต้องทำข้าวฟ่างต้มให้คุณปู่ฉือทุกวัน รอทำเสร็จเมื่อไร หนูจะหาวิธีเอามาให้คุณปู่อีกนะคะ”
“ข้าวฟ่างยังมีอีกเยอะเลย พอให้คุณปู่ฉือกินไปอีกสักพักจ้ะ เด็กดี ไม่ต้องนึกถึงพวกเราตลอดก็ได้นะ” อวี่รุ่ยหยวนกล่าวอย่างเร่งรีบ
ไม่ว่าคนในตระกูลซูจะรักซูเสี่ยวเถียนมากแค่ไหน แต่พวกเขาจะไม่ให้เด็กผู้หญิงคนนี้ทำให้คนในครอบครัวของเธอหิวโหยหรอก
ข้าวฟ่างเป็นสิ่งล้ำค่า คิดว่าตระกูลผู้เฒ่าซูเองก็คงมีไม่มาก แล้วทำไมถึงได้ใจกว้างขนาดนี้
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
การที่เธอตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันทำให้ได้รับความรู้มาไม่น้อยเลย และตั้งแต่ที่เปิดใช้งานทักษะ ‘ทบทวนความรู้และเรียนรู้สิ่งใหม่’ ความสามารถในการเข้าใจก็เพิ่มขึ้นแล้วตามมาด้วยเงินที่ได้รับมากขึ้นเช่นกัน
เรื่องตั๋วเงิน เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาตลอดเลยไม่ต้องกังวล
ตกเย็น อวี่รุ่ยหยวนบอกฉือเก๋อกับตู้ถงเหอเรื่องกึ๋นไก่ที่ซูเสี่ยวเถียนเอามาให้ พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเธอ
“รับเด็กแบบนี้มาเป็นศิษย์แท้ ๆ แต่ฉันกลับจะใช้ประโยชน์จากเธอเสียอย่างนั้น” ฉือเก๋อเอ่ยหลังจากเงียบงันมานาน
“สหายฉือ นายต้องดูแลตัวเองนะ ได้สอนเด็กคนนั้นเพิ่มอีกหน่อยเป็นเรื่องที่ดีเลย”
ตู้ถงเหอรู้สึกว่าสหายเก่าคนนี้มองโลกในแง่ร้ายอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดเลยว่าสภาพจิตใจของฉืออี้หย่วนก็ตึงเครียดขึ้น กระทั่งได้ยินฉือเก๋อสัญญาว่าจะใช้ชีวิตให้ดีถึงได้วางใจเล็กน้อย
หลังจากที่ซูเหล่าซานกลับจากอำเภอก็ผ่านมาห้าวันแล้ว
หลังจากกลับมาก็เล่าว่าชีวิตไอ้เรื้อนพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณหมอของโรงพยาบาลที่อำเภอมีความสามารถมาก และได้ช่วยไอ้เรื้อนเอาไว้ได้
นอกจากนี้ เขายังบอกอีกว่าคังอี้เยี่ยถูกส่งไปที่อำเภอแล้ว คนที่คอยดูแลที่นั่นได้จัดการให้คังอี้เยี่ยทำความสะอาดห้องน้ำเป็นเวลาสามเดือน
เมื่อคุณย่าซูได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ เธอก็พึมพำสวดภาวนาพระอมิตาภพุทธะ พระโพธิสัตว์อยู่หลายประโยค
“คุณแม่ ถ้าคนอื่นได้ยินคงไม่ดีแน่” ซูเหล่าซานรีบเตือนมารดาด้วยความกังวล
ก่อนหน้านี้เขาอยู่แต่ในหมู่บ้านจึงไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อน แต่เมื่อได้ไปอำเภอถึงได้รู้ว่ามันน่ากลัวมาก
พวกคนหนุ่มสาวที่กระปรี้กระเปร่าเอาแต่เดินไปเดินมาไป มองหาข้อผิดพลาดไปทั่ว ทำเอาคนไม่น้อยต้องทนทุกข์เพราะพูดไม่ถูกหู
ผู้สูงอายุกับเด็กก็ยังไม่เว้น
คนเช่นเขาที่ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนกลัวจริง ๆ ถึงกับคิดว่าไม่ไปอำเภอเสียเลยจะดีกว่า
จากนั้นซูเหล่าซานก็ลดเสียงลง “คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ผมได้ยินมาว่า คังอี้เยี่ยเอาแต่พูดว่าเธอถูกใครบางคนยุยงให้ไปที่แม่น้ำด้วย”
เขาชั่งใจอยู่นานถึงได้ตัดสินใจพูดออกไป มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
ตอนที่เขาได้ยินยังไม่กล้าเชื่อเลย
“แล้วใครจะเป็นคนยุยงกัน นี่นับว่าเป็นแผนเล่นงานตระกูลซูของพวกเราแน่!” คุณย่าซูพูดทันที
“ซูเสี่ยวฉิน แต่คนในอำเภอต่างไม่เชื่อเมื่อได้ยินมัน เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กเท่านั้น” ซูเหล่าซานกล่าวทุกอย่างที่ได้ยินมา
ถึงคนในอำเภอจะไม่เชื่อ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องจริง
“เด็กนั่นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” คุณย่าซูแทบไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้ที่คังอี้เยี่ยจะพูดโดยไม่มีเหตุผล จากนี้ไปคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว!” คุณปู่ซูพูดพร้อมกับสูบยาเส้น
ซูเสี่ยวเถียนมีความสุขกับการอ่านหนังสือ สุ่มรางวัล และเรียนกับฉือเก๋อกับตู้ถงเหอทุกวัน
ฉือเก๋อพบว่าซูเสี่ยวเถียนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสรุปจากเรื่องหนึ่งก็สามารถอนุมานไปเรื่องอื่นได้ ไม่เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเลย
ฉือเก๋อเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง ส่วนความสามารถในเรียนรู้ของซูเสี่ยวเถียนก็ดีมาก เขาเลยไม่ปิดบังอะไรเลยและสอนทุกอย่างที่รู้
ส่วนซูซื่อเลี่ยงเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก เขาเรียนรู้การวาดภาพได้เร็วมาก แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือขาดความอดทนและเป็นพวกล่องลอยเกินไป ถ้าตั้งใจและเอาใจใส่ได้มากกว่านี้จะทำได้ดีอย่างแน่นอน
และความฉลาดทั้งหมดของซูซื่อเลี่ยงดูเหมือนจะอยู่ที่การวาดภาพหมดเลย นอกจากนี้ก็ไม่มีความพิเศษด้านอื่นแล้ว
แต่ฉือเก๋อไม่อยากให้นักเรียนของตนด้อยในด้านอื่น ๆ ด้วย นอกเหนือไปจากการสอนวาดภาพก็ยังสอนความรู้ด้านอื่นให้ด้วย
อาจกล่าวได้ว่าการปรากฏตัวของเด็กทั้งสองได้เปลี่ยนชีวิตฉือเก๋อจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เด็กคนอื่นๆ ของตระกูลซูต่างก็อิจฉาซูเสี่ยวเถียนและซูซื่อเลี่ยงที่ได้รับการสอนอย่างเอาใจใส่จากอาจารย์ฉือ
เพราะงั้นในบางครั้งก็จะมาเป็นผู้ฟังที่ดี ช่วงเวลาที่เหลือก็จะเป็นการสอนที่ตั้งใจของซูเสี่ยวเถียนแทน
แต่คนในตระกูลซูนั้นระมัดระวังตัวมาก เวลาจะไปก็จะระวังกันสุด ๆ รวมถึงเวลามาที่ไม่แน่ไม่นอนด้วย
เพราะอย่างนั้นคนในหมู่บ้านจึงจับไม่ได้ แม้แต่ซูเสี่ยวฉินที่มักจะให้ความสนใจกับพี่น้องตระกูลซูเสมอก็ไม่รู้เช่นกัน
ในไม่ช้า ซูเสี่ยวเถียนก็รู้เรื่องการสะกดรอยตามของซูเสี่ยวฉิน และเธอระวังตัวมากขึ้นเพื่อป้องกันตัวจากอีกฝ่าย
เธอมีเหตุผลให้เชื่อว่า ถ้าซูเสี่ยวฉินรู้ว่าพวกเขากำลังเรียนอยู่บ่อย ๆ จะต้องทำอะไรสักอย่างแน่
ซูเสี่ยวเถียนหวงโอกาสในการเรียนมาก และไม่อยากให้คนมาทำลายมัน
สิ่งที่ทำฉือเก๋อประหลาดใจคือดูเหมือนฉืออี้หย่วนจะแตกต่างไป
บุคลิกของเด็กคนนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กที่ควรจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่สดใสอีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้นคือ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หยิ่งผยองไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ พยายามอย่างยิ่งที่จะไล่ตามซูเสี่ยวเถียนให้ทัน
เพราะการแข่งขันถึงจะทำให้ก้าวหน้า และมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้มาก
แต่ซูเสี่ยวเถียนเนื้อในเป็นผู้ใหญ่และเธอได้รับความสามารถจากระบบ ไม่แปลกหากจะก้าวหน้าเร็วขนาดนี้
ส่วนความก้าวหน้าของฉืออี้หย่วนค่อนข้างน้อย
สิ่งนี้ทำให้ฉืออี้หย่วนปรารถนาให้มีเวลาเรียนสี่สิบแปดชั่วโมงต่อวัน
ฉือเก๋อมีความสุขนักที่ได้เห็นมัน