บทที่ 40 คุณย่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
บทที่ 40 คุณย่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ซูอู่ร่างถูกเหลียงซิ่วเรียกเข้ามาในห้อง แล้วถามว่าวันนี้เกิดสิ่งใดขึ้น
เด็กหนุ่มงุนงง เกิดอะไรขึ้น? เขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย!
เหลียงซิ่วมองท่าทางโง่เขลาของลูกชายก็โกรธจัด เกิดเรื่องขึ้นยังไม่สนใจอีก?
“พวกลูกไปเก็บเห็ดมาจากไหน? ทำไมมีเยอะขนาดนี้?”
“ก็บนเขาไงครับ มีเห็ดเยอะแยะเลยตอนที่พวกเราไปถึง น้องเก้ายังบอกเลยว่าเสี่ยวเถียนเดินไปที่ไหนก็มีเห็ดโตที่นั่น
ยามซูอู่ร่างพูดออกมา เหลียงซิ่วตระหนักได้ทันทีว่าแม่สามีต้องได้ยินที่น้องเก้าพูดแบบนี้แน่ ๆ เลยถูกแม่สามีทำให้ตกใจกลัว
ครั้นคิดถึงความรักที่ท่านมีต่อลูกสาวของตน เหลียงซิ่วรู้สึกละอายใจนัก
เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าที่จริงแล้วลูกสาวของตนเป็นฝ่ายทำให้คุณย่าตกใจ
คุณย่าซูซ่อนก้อนทองไว้ในกล่อง ก่อนจะกลับเข้าครัวเพื่อเตรียมทำอาหาร
“เห็ดเยอะขนาดนี้วันนี้คงกินไม่หมดหรอก พวกเธอพาพวกเด็ก ๆ เอาไปตากแห้งเถอะ รอจนมันกลายเป็นเห็ดแห้ง เราสามารถเอามาทำกินในฤดูหนาวได้”
คุณย่าซูหยิบเห็ดออกมาทำเตรียมทำแกงเห็ดในค่ำคืนนี้ แล้วปล่อยให้พวกลูกสะใภ้นำส่วนที่เหลือไปตากแห้ง
“คุณย่าคะ หนูเอาไปให้คุณปู่ฉือและคนอื่น ๆ หน่อยนึงนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนจำได้ว่าฝั่งฉือเก๋อยังขาดแคลนอาหารการกินเลยรีบพูดขึ้น
“หนูไม่ต้องไปหรอก ให้พี่รองไปแทนเถอะ เขาวิ่งไวกว่า” คุณย่าซูตอบ
ซูซื่อเลี่ยงหยิบเห็ดที่คุณย่าเตรียมไว้ให้อย่างขยันขันแข็งแล้ววิ่งออกไป ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าตนไม่มีเรื่องต้องทำจึงกลับห้องไป
คนอื่นในครอบครัวยุ่งอยู่กับการตากเห็ดที่ลานหลังบ้านใกล้กับกำแพง
ทำไมถึงเอาไปไว้ที่ลานด้านหลังน่ะเหรอ? เพราะกลัวหลิวซิ่วอิงจะเห็นน่ะสิ
ตราบใดที่หลิวซิ่วอิงพบเข้า หล่อนจะต้องหาวิธีทางเพื่อแย่งมันไปเป็นแน่ พวกเธอไม่อยากเสียประโยชน์ให้กับคนนอก
ในตอนเย็นหลังจากคุณย่าซูปิดประตูห้องโถง ก็หยิบก้อนทองออกมาจากกล่องเพื่อแอบเอาให้คุณปู่ดู
คุณปู่ซูกำลังดื่มน้ำอยู่ ครั้นยาเห็นยายเฒ่าถือทองก้อนขนาดนั้นออกมาก็เกือบสำลักน้ำ
“ตาเฒ่า ช้าลงหน่อย!” คุณย่าซูกุลีกุจอลูบหลังให้สามี
“คุณต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ให้มิดนะ ไม่ว่ากับใครก็ห้ามพูด” หลังจากคุณปู่ซูสงบลงก็พูดอย่างจริงจัง “น้องเถียนโชคดีเหลือเกิน แต่เราจะให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้นะ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้น”
คุณย่าซูพยักหน้า “คิดว่าฉันไม่รู้หรืออย่างไร? แม้แต่พ่อแม่ของน้องเถียนฉันยังไม่บอกเลย”
“แต่เราทิ้งทองไว้ในบ้านแบบนี้ไม่ได้ ฉันคิดว่าหลังจากนี้เราต้องหาโถใบเล็กสักใบเอาไว้ พอถึงเวลา…พวกเราค่อยไปขุดกันเถอะ”
เดิมคุณปู่ซูอยากจะบอกว่ารอซูเสี่ยวเถียนแต่งงานค่อยขุดออกมาไว้เป็นสินสอดทองหมั้น แต่คิด ๆ ดูกลับรู้สึกไม่สบายใจ
“ฉันจะฝังมันไว้ในบ้านเราเอง จะได้ไม่ต้องขุดหลุมข้างนอกให้ใครเห็น” คุณย่าซูเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ทองคำที่ถือไว้ในตอนนี้ ถึงจะกินอะไรไม่ได้ แต่ไม่ดีเท่าเก็บเอาไว้หรอก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันไปทำงานก็ได้ยินเด็กผู้หญิงสองสามจากตระกูลฉางร้องไห้กระจองอแง
“ไม่รู้จะคิดว่าอย่างไรดีเลย เด็กพวกนั้นขยันและตั้งใจทำงาน แต่ยายแก่ฉางก็ยังไม่พอใจ” คุณย่าให้อาหารไก่ไปด้วยพลางพูดไปด้วย
เธอเอ็นดูพวกหลาน ๆ และก็ไม่เคยทำร้ายพวกเขาเลย
แต่จะรักหรือไม่รักก็เป็นลูกบ้านของตน อย่างไรก็ต้องดูแลให้ดี
“คุณแม่คะ ชุมชนการผลิตของเรามีคนชราใจกว้างแบบคุณแม่ไม่เยอะนัก” เหลียงซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนี้เป็นความจริงจากใจ คุณย่าซูเป็นหญิงชราที่ดีจริง ๆ
“อย่าทำให้ฉันเหลิงเลย” คุณย่าซูหยิบไข่สองฟองออกมาจากคอกไก่ด้วยรอยยิ้ม “ไก่พวกนี้ตั้งแต่ที่ได้กินอาหารที่น้องเถียนว่า ก็ออกไข่อย่างน่ารักนัก”
ไข่ไก่คือสมบัติ
ถ้าที่บ้านมีไข่ไก่ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
“น่าเสียดายที่ไม่สามารถเลี้ยงไก่ได้มาก ถ้าเลี้ยงเพิ่มได้อีกสักสองสามตัวก็ไม่ต้องกลัวว่าเด็ก ๆ จะไม่มีไข่ไก่กินสินะคะ?” หวังเซียงฮวาปลงตก
“ใครว่าไม่ได้กันเล่า ไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนจะมีวิธีอะไรอีกถึงจะสามารถเพิ่มผลผลิตของธัญพืชในทุ่งได้ ถ้ามันโตได้เยอะกว่านี้ก็ไม่ต้องกลัวอดยากอีกแล้ว” คุณย่าซูว่า
หลายปีที่ผ่านมากลัวอดยากจริง ๆ และคิดเสมอว่าพืชผลในทุ่งจะเติบโตได้ดีขึ้น และดีขึ้นยิ่ง
ทว่าเรื่องราวกับไม่เป็นดั่งที่ใจปรารถนา พืชผลมันแย่ลงทุกปี
“คุณย่าคะ หนูไม่มีวิธีหรอก แต่คุณปู่ตู้มีค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนเดินออกมาพอดี ครั้นได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็วิ่งเข้ามาหา
“คุณปู่ตู้? หนูพูดถึงคนมาใหม่ที่คอกวัวเหรอ?”
“ใช่แล้วคุณย่า คุณปู่ตู้เก่งมาก”
“พวกเขามาจากในเมือง ต้องเก่งกว่าพวกเราชาวนาแน่ แต่คนเมืองจะปลูกพืชผลได้เหรอ” เห็นได้ชัดว่าคุณย่าซูไม่เชื่อ
คนที่มาจากในเมืองมีจำนวนเยอะมาก แต่พอบอกว่าปลูกพืชผลได้ เธอไม่อยากเชื่อจริง ๆ
“คุณปู่ตู้บอกว่าพืชผลของเราเติบโตได้ไม่ดีเพราะความอุดมสมบูรณ์ของทุ่งนามีไม่พอ ถ้าปลูกพืชชนิดเดียวกันทุกปี เราต้องเสริมธาตุอาหารตามความต้องการของพืชค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างจริงจัง
แต่การแสดงออกเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีใครเห็น
คุณย่าซูหัวเราะลั่น “หลานรัก อย่าไปฟังเขาเลย พวกพืชผลต้องได้รับสารอาหารตามความต้องการน่ะ คนยังไม่ต้องการสารอาหารเลย ไปกันเถอะ ย่าจะต้มไข่ให้หนูเอง วันนี้ต้มสี่ฟอง ของหนูหนึ่งฟอง ส่วนพี่ชายสามคนต่อหนึ่งฟอง”
ครั้นได้ยินว่าคุณย่าซูไม่เชื่อ เธอก็ไม่โต้เถียงอีกต่อไป
“คุณย่าคะ เก็บไว้อีกสองวันดีกว่าค่ะ ถึงตอนนั้นจะได้กินสองคนต่อหนึ่งฟอง ทุกคนจะได้กินด้วยกัน” ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากกินคนเดียว
ครั้นนึกถึงจำนวนคนในครอบครัว คุณย่าซูก็ลังเล แต่ละคนต่างก็อยากได้ไข่มากกว่าสิบฟองทั้งนั้น
“คุณย่าคะ ถ้าเราเลี้ยงไก่ดี ๆ วันหนึ่งจะได้ไข่ไก่ห้าถึงหกฟองต่อวันเลยนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนไม่พลาดโอกาสที่จะเอ่ยเตือน
คุณย่าซูคิดถึงว่าในอีกสองวันข้างหน้าจะได้ไข่สี่ถึงห้าฟองก็รู้สึกมีความหวัง เธอกล่าวว่า “งั้นวันนี้กินไข่กันเถอะ ทุกคนจะได้ลองลิ้มรสดู”
“คุณย่าดีที่สุดเลย!” เด็กหญิงตัวน้อยเยินยอคุณย่าเหมือนคนขี้ประจบ
ยังโชคดีที่คุณย่ารักหลานเท่ากัน ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอคงเหมือนเด็กบ้านฉางแน่
“เด็กคนนี้นี่ทำให้ย่ามีความสุขนัก” คุณย่าซูจูงมือหลานสาวพาเดินไปที่ครัวอย่างปรีดา “ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงบ้านผู้เฒ่าฉางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ตอนไหน”
ประโยคนี้เตือนสติซูเสี่ยวเถียน เธอจำได้ว่าเด็กผู้หญิงบ้านนั้นเหมือนจะจบลงไม่สวยนัก
หลังจากที่พวกหล่อนโตขึ้นก็ถูกหญิงชราฉางเอาไปแลกกับเงินหมั้น ไม่แต่งงานกับคนพิการหรือพวกพ่อม่าย ก็แต่งกับพวกใช้ความรุนแรง และสุดท้ายก็ถูกทุบตีจนตาย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าตนโชคดีจริง ๆ จึงจับมือเล็ก ๆ ของคุณย่าแน่นขึ้น
คุณย่าซูคิดว่าหลานสาวถูกตระกูลผู้ฉางทำให้หวาดกลัว จึงพูดอย่างเริงร่า “หลานรักไม่ต้องกลัวไปนะ ย่าจะปกป้องหนูเอง ย่าไม่เหมือนกับยายฉางคนนั้นหรอก”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า “คุณย่ารักหนู รอหนูโตขึ้น จะหาเงินมาให้คุณย่าใช้ แล้วก็ซื้อขนมไข่มาให้ย่ากินทุกวันเลย”
“โอ้โห ถ้าอย่างนั้นย่าจะรอนะ เป็นหลานที่กตัญญูจริง ๆ พวกเด็กดื้อยังไม่คิดถึงย่าขนาดนี้เลย”
สีหน้าของพวกพี่ ๆ แสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไร้เดียงสามาก คุณย่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!