บทที่ 41 คุณย่าซูต่อสู้
บทที่ 41 คุณย่าซูต่อสู้
โชคดีที่พวกเด็กหนุ่มโตมากับเหตุการณ์เหล่านี้ หลังจากที่วางปืนยอมแพ้ก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีชีวิตชีวาได้
ตกบ่าย ในที่สุดคุณย่าซูก็รู้ว่าทำไมตระกูลซูจึงส่งเสียงดังกันแต่เช้า
พอได้ยินก็ใจชื้นนัก พวกหลานเธอดีกว่าจริง ๆ
ที่บ้านมีเด็กหญิงผู้อ่อนโยนเพียงคนเดียว ควรให้ความรักความเอ็นดูไม่ใช่หรือ?
แต่ต่อหน้าคนอื่นเธอพูดแบบนั้นไม่ได้
จึงทำได้เพียงหัวเราะแทน “เจ้าเด็กดื้อบ้านฉันก็รักน้องเล็ก พูดก็พูดเถอะ เธอเป็นเด็กดี เมื่อเช้าเธอบอกฉันว่าโตขึ้นจะกตัญญูต่อยายเฒ่าคนนี้ด้วย”
มีที่ไหนจะบ่นลูกหลานบ้านตัวเองกัน นี่กำลังอวดอยู่ชัด ๆ
ยายฉางยิ่งไม่สบายใจเมื่อได้ยิน จึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดยาม “ก็แค่พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก จะมาเป็นแก้วตาดวงใจได้อย่างไร แค่บอกว่าจะกตัญญูเธอก็เชื่อแล้วหรือ? เคยเห็นลูกสาวบ้านใครแต่งงานออกไปแล้วกตัญญูต่อญาติพี่น้องบ้างไหม!”
ยายฉางไม่เคยเห็นคนบ้านนี้พูดถึงพวกเลี้ยงเสียข้าวสุกเลย
เดิมทีคุณย่าซูไม่อยากพูดประเด็นนี้กับพวกที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่ทนไม่ได้ที่ยังมีคนข้าง ๆ เอาแต่ยุยงให้โมโห
“ฉันบอกพี่สะใภ้ใหญ่แล้วไง แต่พี่ก็เอาแต่ลำเอียงกับพวกนั้นอยู่ได้ พอยัยเด็กแสบนั่นแต่งงานออกไปเมื่อไรก็เป็นคนบ้านอื่นแล้ว จะให้มากตัญญูต่อพี่เหรอ ฝันไปเถอะจ้ะ”
เมื่อยายฉางได้ยินว่ามีคนเห็นด้วย เธอกลายเป็นคนมีเหตุผลทันที
“ฉันบอกแล้วไง มันก็แค่เด็กแสบคนหนึ่ง ยกให้คนติดอ่างก็ดีถมถืดแล้ว ไม่ใช่ความผิดฉันที่พูดกับเธอนะยายซู แต่หลานชายพวกนั้นที่แบกยัยเด็กแสบนั่นขึ้นหลังน่ะ จากนี้ไปต้องโชคร้ายแน่”
โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว คุณย่าซูไม่พอใจมากเมื่อได้ยินคำพูดของยายฉาง
เดิมทีเธอไม่ใช่พวกมีนิสัยอ่อนโยนอยู่แล้ว จึงพับแขนเสื้อขึ้นทันทีแล้วเริ่มสาปแช่ง “อ้าปากก็เด็กแสบที หุบปากก็ยัยเด็กแสบที ทำไม? เมื่อก่อนแกไม่ใช่พวกเด็กแสบเหมือนกันหรือไง? พ่อแม่ก็แบกแกมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นจะโชคร้ายเลยเล่า?”
“อะไร แกอยากจะมีเรื่องหรือไง?”
“ดูเหมือนจะเป็นแกมากกว่านะ ยายฉาง ปกติเวลาที่แกพูดจาหยาบคาย ฉันไม่เคยว่าอะไรเลย แต่แกไม่สมควรมาแช่งลูกหลานบ้านฉัน”
เธอรักหลานสาวมาก แต่หลานชายก็เป็นชีวิตจิตใจด้วย ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอก
“ไม่คิดว่านังเด็กคนนั้นเป็นตัวโชคร้ายหรืออย่างไรกัน ฉันแค่พูดสองสามประโยคก็ทนไม่ได้แล้วหรือไงกัน?”
“แกน่ะสิที่เป็นตัวโชคร้าย ร้ายมาสิบแปดชั่วโคตรแล้วยังไม่รู้ตัวอีก…”
ใบหน้าของคุณย่าซูดำทะมึนเกือบหยดน้ำหมึกออกมาได้ ถึงเธอจะด่าอยู่แต่ก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ครั้นคนข้างกายเห็นก็รีบพูดทันที “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าโกรธพี่สะใภ้ฉางเลย เธอก็แค่พูดไม่คิดเอง”
“พูดไม่คิดแล้วจะอ้าปากหาอะไร? พ่นแต่ของแย่ ๆ ออกมา หรือแกกินมันเข้าไปด้วย?”
ยายฉางถูกคุณย่าซูด่าจนสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง เธอทนรับไว้ไม่ไหวจึงพุ่งเข้าไปสู้
“อยากสู้กันไหมเล่า? ยายแก่คนนี้ไม่ได้ออกแรงมาหลายปีแล้ว แกคงคิดว่าฉันเป็นพวกไร้ความสามารถสินะ?”
คุณย่าซูก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนจะลงไม้ลงมือกันในทุ่ง ทั้งสองตะลุมบอนจนกลิ้งไปทั่ว
คนข้าง ๆ คิดไม่ถึงว่าหญิงทั้งสองที่มีอายุรวมกันมากกว่าร้อยปีจะขัดแย้งจนทะเลาะกันเช่นนี้ จึงตาลีตาเหลือกเข้าไปห้าม
ระหว่างที่ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากัน ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ คนที่อยู่ตรงนั้นเป็นหญิงชราวัยหกสิบกว่าปี จึงแยกพวกเธอให้ออกจากกันไม่ได้
“รีบไปเรียกคนมาเร็วเข้า!”
“หัวหน้าชุมชน ตามหาหัวหน้าชุมชนเร็ว พวกเธอทะเลาะกันแบบนี้ไม่ดีแล้ว”
“ไอ๊หยา อายุของพวกเธอสองคนรวมกันก็เกินร้อยปีแล้ว จะมาตีกันอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวคนหัวเราะเยาะเอาเหรอ?”
“พวกเด็กๆ ต้องโดนเหยียดหยามแน่ สะใภ้ใหญ่ซู สะใภ้ใหญ่ฉาง อย่าตีกันเลย”
…
ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ทั้งสองไม่ฟังเลย คนหนึ่งทึ้งผม คนหนึ่งหยิกเนื้อ กำลังมีความสุขเลย
หลิวซิ่วอิงมีความสุขมากเลย กู่ร้องอยู่ในใจให้ยายฉางตบคุณย่าซูให้ตาย
แต่เห็นได้ชัดว่าในด้านพละกำลังแล้ว ยายฉางสู้ไม่ได้เลย
ฝีปากของเธอยอดเยี่ยม แต่เรื่องการต่อสู้เธอสู้ไม่ได้เลย หล่อนถูกคุณย่าซูกระทำเพียงฝ่ายเดียวจนพ่ายแพ้
“คิดว่าฉันชินชากับแกหรือไงยายซู? ที่เห็นฉันไม่ฉีกทึ้งปากที่กินอึของแกน่ะ” ถึงยายฉางจะโดนคุณย่าซูกดไว้แต่ก็ยังแหกปากได้
“เห็นฉันไม่ตีแกจนตายเข้าหน่อยก็ด่าหลานฉัน แล้วยังบอกว่าเป็นตัวโชคร้ายอีกนะ เห็นทีถ้าฉันไม่ตบให้ปากแตก ก็จะได้ไม่ต้องเอาไปละเลงอึอีก…” คุณย่าซูทั้งด่าทั้งตบ ชำนาญเป็นอย่างมาก
แต่ถึงคุณย่าซูจะแหกปากว่าจะตบปากยายฉาง แต่เลือกที่จะลงมือในที่ที่มองไม่เห็น ต่อให้ตบเช่นนี้ก็มองไม่เห็นรอยอยู่ดี
ยายฉางถูกคุณย่าซูตบจนกรีดร้อง หล่อนพยายามดิ้นรนดึงอีกฝ่ายออก
“พี่สะใภ้ พี่จะสู้กับหล่อนไม่ได้นะ พี่สะใภ้รีบปล่อยมือเร็ว ถ้าหัวหน้าชุมชนมาเห็นจะแย่เอานะ”
เมื่อหลิวซิ่วอิงเห็นยายฉางที่ถูกตบตีสู้กลับไม่ได้ ก็แสร้งทำเป็นคว้าตัวคุณย่าซูเอาไว้
การกระทำของเธอไม่ได้กระโตกกระตาก เพราะอย่างนั้นยายฉางจึงมีโอกาสใช้แรงพลิกร่างขึ้นมา
เกือบชั่วพริบตาที่ยายฉางพลิกตัวกลับมาคร่อมร่างคุณย่าซูเอาไว้ได้ แล้วข่วนใส่ใบหน้าของคุณย่าซูอย่างรวดเร็ว
หลิวซิ่วอิงแสร้งทำเป็นว่าไม่สามารถแยกทั้งคู่ออกจากกันได้ เธอถอยหลังสองก้าว
“หลิวซิ่วอิง นังคนสมควรตาย แกช่วยยายฉางหรือ รอฉันก่อนเถอะ ฉันจะกลับไปข่วนหน้าแกแน่” คุณย่าซูเสียเปรียบเสียแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลิวซิ่วอิงจงใจดึงเธอเพื่อช่วยยายฉาง
แต่การต่อสู้กันยังไม่จบลง เธอทำได้แค่ผลักเรื่องของหลิวซิ่วอิงออกไปก่อน
ตอนนั้นเองที่หัวหน้าชุมชนซูฉางจิ่ววิ่งกระหืดกระหอบมา
“ให้ผมจัดการเอง อายุเท่าไรกันแล้ว ไม่กลัวคนเขาหัวเราะเยาะหรือไงครับ”
“หัวหน้าชุมชนเอ๊ย เขาจะตายกันอยู่แล้ว ทำไมเพิ่งมาเล่า”
คุณย่าซูถูกยายฉางกดเอาไว้เอาพอดี ผมก็เลยถูกดึงจนขาด บนใบหน้ามีเลือดซิบจากรอยเล็บ มองดูแล้วน่าอนาถยิ่งนัก เธอกรีดร้องเสียงดัง เห็นได้ชัดว่ากำลังเสียเปรียบ
อย่างน้อยซูฉางจิ่วก็จะรู้สึกว่านางเสียเปรียบ จึงตะคอกเสียงดัง “คนบ้านฉางยังไม่ปล่อยอีกหรือไง?”
ทีแรกยายฉางถูกตบ แต่ตอนนี้เป็นฝ่ายได้ลุกฮือจะยินยอมได้ที่ไหน แต่ครั้นหัวหน้าชุมชนเอ่ยปากแล้ว ต่อให้ไม่ยอมก็ต้องยอม
แต่ก่อนจะลุกก็ข่วนหน้าคุณย่าซูไปอีกหนึ่งที ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายจับแขนเอาไว้
“หัวหน้าชุมชนเอ๋ย คนไร้เหตุผลของตระกูลฉางคนนี้ไม่ใช่แค่ทุบตีคนเท่านั้น แต่ยังเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงด้วย เธอรักลูกชายมากกว่าลูกสาว ฉันแค่พูดไม่เข้าหูสองประโยคก็ไม่ให้อภัยกันแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่าสตรีก็แบกรับฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง*[1] พวกเราไม่สามารถแบ่งแยกกันได้นะ” คุณย่าซูนั่งกับพื้น เธอไม่ได้ลุกขึ้นยืนจึงพร่ำบ่นแทน
แต่โจรที่สวมหมวกคนนี้ยังมีท่าทางสบาย ๆ ทำให้หัวหน้าชุมชนยิ่งรู้สึกประหม่ามากขึ้น
สุดท้ายคนจากตระกูลฉางผู้นี้ก็เป็นคนที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ก่อนหน้านี้ยังเคยพาหลานสาวเข้าไปในหุบเขาแล้วหายตัวไปด้วย
ซูฉางจิ่วพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น? ตระกูลฉาง เมื่อไรสติของคุณจะดีขึ้นบ้าง?”
*[1] ชายหญิงเท่าเทียมกัน